ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 110 วันนี้ท่านดูอบอุ่นมากทีเดียว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]
- บทที่ 110 วันนี้ท่านดูอบอุ่นมากทีเดียว
เหยาเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ว่าสิ่งใดอาเหราก็สามารถทำได้หมด ได้ยินต้าเป่าเอ้อเป่าพูดว่าเขายังช่วยอาซูทำงานบ้านด้วย”
เมื่อเหยาต้าหลางได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าหงึกหงักอยู่ด้านข้างพลางเลื่อนจานที่อยู่ในมือให้แก่ผู้เป็นปู่ดูอีกด้วย “ท่านปู่! นี่คือผัดผักที่ท่านอาเขยทำขอรับ!”
พ่อเฒ่าเหยาหัวเราะหึ ๆ พร้อมกับตบบ่าหลินเหราเล็กน้อย ก่อนจะโอบไหล่ของเขาและพูดว่า “วันนี้ปู่กับอาเขยจะต้องดื่มด้วยกันสักจอกแล้ว! ไม่เมาไม่กลับ!”
หลินเหราพยักหน้า “ได้ขอรับ”
อาหารสองถึงสามอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ ทั้งครอบครัวรวมตัวบนโต๊ะอาหารพร้อมด้วยสุราหนึ่งไห จากนั้นก็เริ่มกินอาหารมื้อนี้
บางทีเด็ก ๆ อาจจะหิวกันแล้วก็ได้ เมื่อพวกผู้ใหญ่เริ่มพูดคุยกัน พวกเขาฟังไปพลางก้มหน้าก้มหน้ากินอาหารอย่างมีความสุข
ในขณะที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตประจำวันอยู่ แม่เฒ่าเหยาก็ได้เอ่ยหัวข้อหนึ่งขึ้นว่า “อาซู อาเหรา ได้ยินว่าพวกเจ้ามีข่าวบางอย่างจะบอกกับครอบครัวไม่ใช่หรือ?”
เหยาซูและหลินเหราสบตากัน หญิงสาววางตะเกียบลงก่อนจะยิ้มและพูดว่า “คืออย่างนี้เจ้าค่ะ อาเหราจะต้องไปรับตำแหน่งสายตรวจการที่จวนตรวจการอย่างกะทันหัน พวกเราเลยคิดว่า สู้ย้ายครอบครัวไปอยู่ในเมืองดีกว่า ในวันปกติจะได้ดูแลกันและกัน….”
แม่เฒ่าเหยาค่อนข้างประหลาดใจ “ย้ายไปอยู่ในเมืองงั้นหรือ? นี่…เหตุใดถึงกะทันหันเช่นนี้ล่ะ?”
ในขณะที่พูดนางก็หันไปมองทางพ่อเฒ่าเหยาพร้อมส่งสัญญาณให้เขาพูดบางอย่าง
พ่อเฒ่าเหยาเงียบลงเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “รับตำแหน่งในหน่วยงานสายตรวจเป็นเรื่องดี เพียงแต่เสาะหาสถานที่ที่อยู่อาศัยในเมืองไว้แล้วหรือ? การจัดหาบ้านหลังใหม่มีเรื่องที่ต้องกังวลไม่น้อยเลยนะ พวกเจ้าวางแผนกันไว้อย่างไร?”
คราวนี้ถึงตาหลินเหราแล้วอธิบายแล้ว เขากล่าวอย่างนอบน้อม “พ่อตา แม่ยายขอรับ วันนี้เราไปดูสถานที่ที่อยู่บ้านในเมืองมาแล้ว ของใช้ภายในบ้านครบครัน ทำเลก็ไม่เลว หากจะย้ายบ้านก็สามารถทำได้ทุกเมื่อ”
เหยาซูกล่าวเสริมอยู่ด้านข้างว่า “บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่พี่รองช่วยหาให้เจ้าค่ะ ห่างจากบ้านของเขาไม่ไกลนัก”
ในใจของแม่เฒ่าเหยายังคงไม่วางใจลูกสาวของตน ทว่าจะให้พวกเขาแยกกันอยู่ก็คงไม่ดีเป็นแน่ จึงได้แต่ขุ่นข้องหมองใจ “พี่รองของเจ้าก็ปากหนักใช่เล่น! เหตุใดถึงไม่ยอมปริปากบอกกันสักคำ? พวกเจ้าดูบ้านเสร็จแล้ว เพิ่งจะมาบอกสองเฒ่าอย่างเรางั้นรึ? อาเว่ย เจ้าเคยได้ยินอาเฉาเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่?”
สะใภ้รองเหยาส่ายหน้า “อาเฉาไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้าเจ้าค่ะ”
หลินเหราได้แต่พูดเชิงประนีประนอม “จริง ๆ ข้าก็ไม่ได้จะปิดบังพวกท่านนะขอรับ เพียงแต่พี่รองเพิ่งจะรู้ว่าเราจะย้ายไปอยู่ในเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน เลยไม่ทันได้บอกกล่าวกับคนในบ้านก็เท่านั้น”
แม่เฒ่าเหยาทอดถอนใจ “เฮ้อ เจ้าเด็กพวกนี้ บัดนี้ก็เติบโตกันหมดแล้ว ข้าเองก็คงจะไปดูแลไม่ได้ แต่เพื่อชีวิตในภายภาคหน้า เช่นนั้นก็ย้ายไปเถิด”
เมื่อเหยาซูเห็นสีหน้าของแม่เฒ่าเหยาดูยังไม่วางใจนัก แม้แต่พ่อเฒ่าเหยาก็ยังไม่ค่อยพอใจเท่าใด จึงรีบยิ้มปลอบโยนผู้เฒ่าทั้งสองในทันที “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ แค่ในเมืองเอง ข้าและเด็ก ๆ ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาเยี่ยมพวกท่านอยู่แล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นอาเหราและพี่รองก็รับตำแหน่งที่เดียวกัน รอให้ถึงวันหยุดพวกเขา จะได้กลับบ้านมาพร้อมกันไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?”
พ่อเฒ่าเหยาพยักหน้า พลางพูดกับแม่เฒ่าเหยาว่า “ที่อาซูพูดก็มีเหตุผล ลูกก็โตกันหมดแล้ว ไฉนเลยจะเฝ้าอยู่ข้างกายพ่อแม่ตลอดได้?”
เมื่อแม่เฒ่าเหยาได้ยินประโยคนี้ก็อดถลึงตาใส่ผู้เป็นสามีไม่ได้ “พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ห้ามหนีห่างข้างกาย ลูกชายของท่านก็ไม่อยู่ข้างกายคนหนึ่งแล้ว ลูกสาวยังจะมาจากพวกเราอีกหรือ?”
บางครั้งสองผู้เฒ่าก็เป็นเช่นนี้ เห็น ๆ อยู่ว่าไม่มีอะไรน่าโวยวาย แต่ทุกครั้งที่นั่งด้วยกันก็มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ
พ่อเฒ่าเหยาจึงได้แต่หัวเราะเหอะ ๆ และพูดว่า “ข้าไม่ได้พูดแบบนี้เสียหน่อย เจ้ามักจะชอบคิดมั่วซั่วเองเสมอ ข้าว่าอาเฉาไม่อยู่ข้างกายก็ดีนะ จะได้ไม่ทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านตลอดเวลา ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่ขี้บ่นนี่?”
ปล่อยให้สองเฒ่าทะเลาะกันไป ส่วนเด็ก ๆ ก็พูดคุยกันตามประสาเพราะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางทะเลาะกันจริง ๆ เป็นแน่ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
สะใภ้ใหญ่เหยาหยิบเมล็ดข้าวออกมาจากข้างแก้มให้เอ้อหลางพลางถามเหยาซูว่า “แล้วจะย้ายไปเมื่อใดล่ะ? เก็บของเรียบร้อยแล้วหรือ?”
เหยาซูตอบกลับ “ไฉนจะเร็วปานนั้นเล่าเจ้าคะ! วันนี้เพิ่งจะไปดูบ้านเอง อีกสักสองสามวันถึงค่อยย้าย”
เด็กทั้งสองของตระกูลเหยาพากันถามด้วยความสนใจ “ท่านอาขอรับ บ้านหลังใหม่ใหญ่หรือไม่? สวยหรือไม่ แล้วอยู่ที่ใดหรือขอรับ?”
อาจื้อและอาซือยังไม่แน่ใจมากนักเกี่ยวกับบ้านหลังใหม่ในอนาคต เมื่อได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปทางเหยาซูด้วยสายตาออดอ้อนด้วยความสงสัยใคร่รู้
หญิงสาวยิ้มและตอบคำถามของเด็ก ๆ ทีละคน “บ้านหลังใหม่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ห่างจากบ้านพ่อของเอ้อหลางไม่ไกล ส่วนจะสวยหรือไม่สวยนั้น พวกเจ้าต้องไปดูเองถึงจะรู้”
เอ้อหลางยืดตัวตรงทันที “ว้าว! ท่านอา เราไปดูได้หรือขอรับ?”
เหยาซูพยักหน้ายิ้ม “ได้แน่นอนอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเมื่ออาเขยของพวกเจ้าไปรับตำแหน่ง อาและลูกพี่ลูกน้องจะมาขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้าแล้วค่อยย้ายบ้านกัน!”
เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันอย่างมาก บ้างก็กระซิบกระซาบกัน บ้างก็แอบทำตัวลับลมคมใน แม้แต่พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาที่มองอยู่ก็ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่มีทีท่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันอีก
พ่อเฒ่าเหยาเคยเป็นพ่อที่เข้มงวดเมื่อครั้งอดีต แต่หลังจากเป็นปู่แล้วกลับปฏิบัติต่อหลานอย่างอ่อนโยนเสมอมา
เขาลูบไปบนศีรษะของหลานตัวน้อยทั้งสองคน ก่อนจะยิ้มตาหยีและกำชับว่า “ช่วยอาและอาเขยย้ายบ้านดี ๆ ล่ะ อย่ามัวแต่ห่วงเล่นสร้างปัญหา”
เหยาต้าหลางและเหยาเอ้อหลางตอบรับอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะหันไปพูดเจื้อยแจ้วกับน้องชายและน้องสาวต่อ
เมื่อเห็นเด็ก ๆ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ความอึดอัดภายในใจของแม่เฒ่าเหยาก็ค่อย ๆ เบาบางลง จากนั้นก็พูดกับเหยาซูและหลินเหราว่า “ในเมื่อตัดสินใจจะย้ายบ้านแล้ว บ้านหลังใหม่ขาดเหลืออะไรก็บอกที่บ้านแล้วกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเจ้าสองคนอย่าคิดจะแบกรับไว้เองเชียว! หากทำเองทุกเรื่องเช่นนั้นจะมีครอบครัวไว้ทำไมกัน?”
คนเป็นบิดามารดาไม่เคยไม่พอใจที่ลูก ๆ รบกวนครอบครัวตนเลยแม้แต่น้อย กลับอยากช่วยส่งเสริมเส้นทางที่สมบูรณ์ให้แก่ลูก ๆ เสียด้วยซ้ำถึงจะวางใจลงได้
เหยาซูยิ้มและรีบตอบทันทีว่า “ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่ทั้งหมดเจ้าค่ะ บ้านหลังนี้ยังเป็นบ้านที่พี่รองช่วยหา วันข้างหน้าต้องมีเรื่องรบกวนครอบครัวอย่างแน่นอน”
แม่เฒ่าเหยาได้ยินดังนั้น จึงโล่งใจมากเลยทีเดียว
ทุกคนล้วนอิ่มหนำสำราญกับอาหารค่ำมื้อนี้กันเต็มที่ ถึงคราที่พ่อเฒ่าเหยาและเหยาเฟิงจะต้องมอมสุราหลินเหราแล้ว สุดท้ายหลินเหราก็ยังมีสติครบถ้วน ทว่าสองพ่อลูกตระกูลเหยากลับทรงตัวไม่ค่อยอยู่เสียแทน
“อาเหรา เจ้า ช่างเป็นเด็กดียิ่งนัก!” พ่อเฒ่าเหยากอดไหล่ของลูกชายก่อนจะพูดกับลูกเขยด้วยความมึนเมาว่า “เป็นลูกหลานในตระกูลเหยาของเรา จะต้องปฏิบัติกับสะใภ้อย่างดี!”
แม่เฒ่าเหยาถลึงตาตำหนิใส่เขา “มาดูอาเฟิงหน่อยเร็ว! ไม่เห็นหรือว่าเขาจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่แล้ว? อีกอย่างอาเหราจะเป็นลูกในตระกูลเหยาได้อย่างไรกัน เมาจนแยกทิศเหนือใต้ออกตกไม่ได้เลยจริง ๆ สินะ”
เมื่อเห็นพ่อตาและพี่ใหญ่ต่างโงนเงนโซเซไปมา หลินเหราจึงเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว จับแยกซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้ทั้งสองคนล้มหน้าทิ่ม
พ่อเฒ่าเหยาพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแต่กลับยังกระตือรือร้นจะพูดต่อ “จะไม่ใช่ลูกในตระกูลเหยาได้อย่างไร? เหตุใดอาเหราจะไม่ใช่ลูกของตระกูลเหยากันเล่า? แม้จะบอกว่ามีแซ่หลิน แต่กลับเป็นลูกชายครึ่งหนึ่งของข้าเหยาจือหลี่นะ ก็ต้องเป็นลูกในตระกูลเหยาของเราสิ!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของพ่อเฒ่าเหยาสะเปะสะปะไร้ทิศทาง บ่งบอกได้ว่าเป็นคำพูดของคนเมา แต่เมื่อหลินเหราได้ยินดังนั้นกลับรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
แม้แต่แม่เฒ่าเหยาเองก็ยังแย้มยิ้ม “ดี ๆ วันนี้เจ้าผีสุราผู้นี้พูดถูก อาเหราก็เหมือนกับอาเฟิงและอาเฉา ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลเหยาของเรา”
พ่อเฒ่าเหยาโงนเงนโซเซไปมา แต่ก็ยังไม่วายพูดกับเหยาเฟิงว่า “อาเฟิง! ข้าว่าตอนนั้นสายตาของเราก็ไม่เลวเลยนะ …. อึก เห็นแวบเดียวก็ชื่นชอบลูกเขยที่แสนดีเช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะปฏิบัติกับสะใภ้ดี มีความสามารถ ทั้งยังดูแลครอบครัวอย่างดี อึก!”
เหยาเฟิงพยักหน้าอย่างสะลึมสะลือและพูดบางอย่างกับผู้เป็นบิดาโดยไม่รู้ตัว
แม่เฒ่าเหยามองไปยังหลินเหราด้วยความเมตตา “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่เหมือนกับอาซู เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจกับเจ้าละนะ ….เจ้าผีสุราสองคนนี้ เกรงว่าคงต้องเป็นหน้าที่ของอาเหราที่ต้องแบกกลับไปเสียแล้ว”
สะใภ้ใหญ่เหยายิ้ม “ใช่ วันนี้อาเฟิงเองก็ดื่มไปไม่น้อย เกรงว่าข้าคนเดียวคงจะยกหามเขาไม่ไหว”
หลินเหราพยักหน้า จากนั้นก็ประคองซ้ายคนหนึ่ง ขวาคนหนึ่งโดยไม่ได้ออกแรงนักก่อนจะแบกพ่อตาและพี่ใหญ่ขึ้นมา โดยมีแม่เฒ่าเหยาและสะใภ้ใหญ่เหยาช่วยกันจัดท่าจัดทางให้แก่ทั้งสองคน
เหยาซูและสะใภ้รองเหยาพาเด็ก ๆ เก็บโต๊ะและถ้วยชาม สุดท้ายอาหารมื้อค่ำที่แสนคึกคักก็ปิดฉากลง
แสงยามโพล้เพล้ค่อย ๆ ย้อมเส้นขอบฟ้า เหยาซูและหลินเหราพาเด็ก ๆ ทั้งสามกลับบ้าน หลังจากที่ฝ่ายชายเดินออกมาได้ระยะทางหนึ่ง ก็เหมือนกับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันขวับกลับไปมอง
จึงเห็นแค่แสงไฟอันอบอุ่นสีส้มที่สว่างเจิดจ้าอยู่ในลานบ้านของตระกูลเหยา ในส่วนที่สว่างที่สุด แม่เฒ่าเหยาได้ยืนอยู่หน้าประตู ยืนส่งพวกเขากลับบ้าน
เมื่อเห็นหลินเหราหันกลับมา แม่เฒ่าเหยาก็คลี่ยิ้มอย่างเมตตาพร้อมกับโบกมือไล่เขา
“มองอะไรงั้นหรือ?” เหยาซูเอ่ยถาม
หลินเหราหันกลับมาช่วยคลุมเสื้อให้แก่ซานเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง พร้อมกับพูดอย่างอบอุ่นว่า “ไม่มีอะไร กลางคืนมันหนาว รีบกลับบ้านกันเถอะ”
อาจื้อและอาซือเดินขนาบซ้ายขวาของผู้ใหญ่ทั้งสองพลางกระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า
เหยาซูเพ่งมองพิจารณาใบหน้าของหลินเหราอย่างละเอียด ผ่านไปเนิ่นนานจึงคลี่ยิ้ม “วันนี้ท่านดูไม่เหมือนเดิม”
ฝ่ายชายขยับหน้าเข้ามาใกล้ ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าถามว่า “หือ? ไม่เหมือนเดิมตรงไหน?”
บางทีอาจจะเป็นเพราะดื่มหนักไม่น้อย ใบหน้าของหลินเหราจึงย้อมไปด้วยที่สีแดงระเรื่อ แม้แต่นัยน์ตาที่ดูเย็นชาเป็นปกติก็ยังฉายแววเป็นประกายบางเบา ดูชุ่มชื่น ดึงดูดความสนใจผู้อื่นเป็นพิเศษ
เหยาซูออกแรงส่ายหน้า ขจัดจินตนาการที่ไม่เข้าท่าในสมองออกไป
รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าของนางยังไม่จางหาย ดวงตาที่สุกสกาวจ้องเขม็งมาทางเขาและพูดว่า “วันนี้ท่าน…ดูอบอุ่นมากทีเดียว”
แม้แต่หลินเหราเองก็ยังไม่สังเกตเห็นตนเองด้านนี้ หากเปรียบเทียบกับตัวเขาในอดีต สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงมาก
บรรยากาศในตระกูลเหยาช่างอบอุ่นและเงียบสงบยิ่งนัก ตั้งแต่เด็กจนโตหลินเหราไม่เคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
อย่าว่าแต่นั่งพูดคุยและร่ำสุราด้วยกันเลย แม้แต่จะพูดคุยกันธรรมดา ในตระกูลหลินก็ล้วนเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
วันนี้หลินเหราเพิ่งจะได้สัมผัสกับคำว่า ‘บ้าน’ โดยแท้จริง
เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง “บางทีอาจเป็นเพราะเห็นท่านพ่อและพี่ใหญ่ดื่มเหล้าด้วยกัน จึงรู้สึกซาบซึ้งใจก็ได้”
ฝ่ายชายก็พูดไปตามความจริง แม้แต่คำว่าซาบซึ้งใจก็ยังพูดออกมาได้ถูกจังหวะเหมาะสม น่าสนุกยิ่งนัก
‘พรืด’ เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา พลางอุ้มซานเป่าด้วยท่าทางที่สั่นงันงก จนทำให้เด็กน้อยในอ้อมแขนขำไปด้วย
หลินเหราเห็นนัยน์ตาที่งดงามสุกสกาวราวกับลูกกวางน้อยของสองแม่ลูก ก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากขึ้น จนดึงพวกเขาสองคนเข้ามาในอ้อมกอดอย่างอดใจไม่ได้
อาศัยฤทธิ์สุรา เขาจึงทำเช่นนี้ได้
กลิ่นนมที่หอมฉุยบนตัวของซานเป่า กอปรกับกลิ่นหอมของสมุนไพรสดใหม่ที่แพร่กระจายออกมาจากตัวของเหยาซู เมื่อผสมผสานกัน จึงทำให้สัมผัสได้ถึงความนิ่งสงบและความมั่นคงอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ในขณะที่กอดสองแม่ลูกไว้ หลินรู้สึกว่าหัวใจที่ว่างเปล่ามาโดยตลอดถูกบางสิ่งบางอย่างเติมเต็มจนสมบูรณ์
“อาซู….” เขาขานเรียกชื่อนางโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ท้องฟ้ายังพอมีแสงรำไร มีเพียงแต่สายลมพัดผ่านเบา ๆ ทำให้เหน็บหนาว
หญิงสาวค่อนข้างอาลัยอาวรณ์กับความอบอุ่นเช่นนี้ไม่มากก็น้อย แต่ในเมื่อท้องฟ้ามืดลงแล้ว จึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เอาล่ะ เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”
หลินเหรากล่าวตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ พร้อมกับยืนอยู่ในทิศทางของสายลมที่พัดผ่าน เพื่อขวางความเหน็บหนาวให้แก่สองแม่ลูก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จริง ๆ แล้วพี่เหราแกเป็นผู้ชายอบอุ่นไม่น้อยเลยน้า แต่มีอดีตเจ็บปวดเลยซ่อนความอ่อนโยนนี้เอาไว้เท่านั้น
ไหหม่า(海馬)