ทะลุมิติไปเป็นแพทย์หญิงชาวสวนผู้มั่งคั่ง - บทที่ 243+244 ขอให้ข้าพาพวกเจ้าเที่ยวชมรอบเมือง/ตกใจ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแพทย์หญิงชาวสวนผู้มั่งคั่ง
- บทที่ 243+244 ขอให้ข้าพาพวกเจ้าเที่ยวชมรอบเมือง/ตกใจ
บทที่ 243 ขอให้ข้าพาพวกเจ้าเที่ยวชมรอบเมือง
”พรุ่งนี้เราจะไปเลือกผัก เราตกลงกับเถ้าแก่ไฉ่ไว้ล่วงหน้าแล้ว” ไม่ต้องรอให้อวิ๋นซิ่วชิงตอบ ผูเว่ยชางก็รีบตอบอีกฝ่ายทันที
”เจ้ามีเวลามากพอที่จะเลือกผักในตอนเช้า ในช่วงบ่าย ถ้าพวกเจ้าไม่มีอะไรทำ ข้าจะพาเจ้าไปวัดจิงเหอในเมืองดีไหม? วัดจิงเหอเป็นวัดที่มีชื่อเสียงและยังสวยงามมาก เจ้าอยากไปไหม?”
นายน้อยไฉ่เลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่อวิ๋นซิ่วชิง ความหมายนั้นชัดเจน ตราบใดที่อวิ๋นซิ่วชิงเห็นด้วยก็เพียงพอแล้ว
อวิ๋นซิ่วชิงไม่มีความรู้สึกกลัวผีและศรัทธาเทพเจ้าตั้งแต่แรก แต่เมื่อนางมาที่โลกนี้ นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังลิขิตเรื่องทั้งหมด เมื่อนายน้อยไฉ่บอกว่าวัดจิงเหอศักดิ์สิทธิ์ นางจึงอยากไป
”แล้วถ้าข้าทำทุกอย่างเสร็จพรุ่งนี้เช้าแล้วเราไปตอนบ่ายล่ะ” อวิ๋นซิ่วชิง ไม่สามารถยืนยันได้ว่านางจะว่างในบ่ายวันพรุ่งนี้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์
”ตกลง ไม่มีปัญหา! ข้าจะปรับเปลี่ยนในวันพรุ่งนี้ ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ” นายน้อยไฉ่ตอบทันที ในเมื่ออวิ๋นซิ่วชิงไม่มีอะไรทำในบ่ายวันพรุ่งนี้ เขาก็ตัดสินใจทันทีว่าเขาจะพาคนทั้งสองออกเที่ยวชมรอบเมือง
เมื่อผูเว่ยชางซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำพูดของนายน้อยไฉ่ เขาก็แอบบริภาษเบา ๆ ว่า “ประจบสอพลอ”
เมื่อเห็นว่านายน้อยไฉ่เสนอตัวช่วย อวิ๋นซิ่วชิงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ “ตกลง ขอบคุณมากนายน้อยไฉ่”
นายน้อยไฉ่ยิ้มและโบกมือ “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าต่างหากที่เป็นควรขอบคุณเจ้า และขอโทษสำหรับความไร้มารยาทของข้าเมื่อก่อนหน้านี้…”
นายน้อยไฉ่ยังคงพูดต่อ “…ข้าขอโทษจริง ๆ ที่ข้าไม่เชื่อเจ้าและพูดกับพวกเจ้าไม่ดีนัก ช่วยยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ”
นายน้อยไฉ่ขอโทษอวิ๋นซิ่วชิงอย่างจริงใจ
”ข้าลืมมันไปหมดแล้วถ้าเจ้าไม่ได้บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้” อวิ๋นซิ่วชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็นจริง อวิ๋นซิ่วชิงเข้าใจความรู้สึกของนายน้อยไฉ่เป็นอย่างดี ความเจ็บป่วยของน้องสาวเขาถูกวินิจฉัยจากหมอหลายคนว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ แต่จู่ ๆ ก็มีคนอย่างนางโผล่ออกมาและบอกว่าสามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ใดจะยอมรับเรื่องนี้ได้ในทันทีกัน?
”ข้าขอโทษจริง ๆ โชคดีที่แม่นางอวิ๋นไม่ถือสาหาความกับข้าในวันนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะเป็นคนบาปจริง ๆ”
นายน้อยไฉ่กล่าวด้วยความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
วันนี้หลังจากที่อวิ๋นซิ่วชิงรักษาคุณหนูไฉ่ เขาก็ไปดูปากของน้องสาวมา มันดีกว่าเมื่อก่อนมาก ตอนนี้เขานึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวของเขาต่อไปหลังจากที่แผลของนางหายเป็นปกติ
ถ้าเขาขัดขวางอวิ๋นซิ่วชิงไม่ให้รักษาน้องสาวของเขา ป่านนี้ก็นึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าน้องสาวเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับสายตาสมเพชเวทนารูปโฉมของนางมากเพียงใด
”อย่าพูดคำขอโทษเหล่านั้น ถ้าเจ้ารู้สึกเสียใจจริง ๆ เจ้าสามารถทำงานหนักเพื่อข้าในวันพรุ่งนี้ และพาเราไปเที่ยวชมรอบเมืองอย่างมีความสุข” อวิ๋นซิ่วชิงรู้สึกว่านายน้อยไฉ่เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง และเขาไม่มีท่าทางที่หยิ่งผยองแบบฉบับคนรุ่นที่สองที่ร่ำรวยหรือเศรษฐีมือใหม่
”ไม่มีปัญหา มีสถานที่ที่น่าสนใจมากมายและอาหารอร่อย ๆ ในเมืองฉางอัน ก่อนที่เจ้าจะจากไป ข้าต้องปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี” นายน้อยไฉ่ตบหน้าอกสัญญา
ผูเว่ยชางมองดูอวิ๋นซิ่วชิงและนายน้อยไฉ่ที่เริ่มคุ้นเคยกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกหึงหวงยิ่งขึ้น ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกแช่อยู่ในน้ำส้มสายชู*[1] เพราะดื่มมันมากเกินไป!
”ชิงเหนียง ลมพัดแรงและตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว” ผูเว่ยชางรู้สึกว่าถ้าเขายังคงยืนดูคนทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอต่อไป เขาจะตายด้วยความหึงหวงเสียก่อน เขาจึงส่งเสียงเตือนออกไป
ก่อนที่ผูเว่ยชางจะพูดเช่นนั้น อวิ๋นซิ่วชิงไม่ได้รู้สึกหนาวหรือง่วงนอน แต่ทันทีที่ผูเว่ยชางพูด นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะกระชับเสื้อผ้าของตัวเอง และเปลือกตาของนางก็กระตุกโดยไม่ได้ตั้งใจ
นายน้อยไฉ่ได้ทำธุรกิจมากมายกับไฉ่เหวินหลิน เขายังเป็นที่สะดุดตาที่สุดอีกด้วย เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของอวิ๋นซิ่วชิง เขาก็รีบพูดว่า “มันดึกแล้วจริง ๆ แม่นางอวิ๋น แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้”
”ตกลง” อวิ๋นซิ่วชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นายน้อยไฉ่หันหลังกลับ ก่อนจะทักทายผูเว่ยชางแล้วออกไปพร้อมตะเกียง
…
[1] มาจากคำว่า 吃醋 chī cù (ชือ ชู่) กินน้ำส้มสายชู ในภาษาจีนมีความหมายแฝงว่า ‘หึงหวง’ ที่มาของความหมายนี้คือ สมัยราชวงศ์ถัง มีขุนนางคนหนึ่งมีความดีความชอบ ฮ่องเต้จึงประทานสาวงามให้เป็นรางวัล แต่ภรรยาของขุนนางคนนี้หึงและไม่ยอมรับ ทำให้ฮ่องเต้หัวเสียมาก จึงให้ภรรยาของขุนนางเลือกว่า จะยอมรับหญิงคนนั้น หรือจะยอมกินยาพิษ แต่เธอเลือกที่จะกินยาพิษ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คือน้ำส้มสายชู แต่ที่ฮ่องเต้โกหกว่าเป็นยาพิษเพราะต้องการพิสูจน์ว่าภรรยาของขุนนางกล้าที่จะยอมอุทิศตนเพื่อชายที่รักแค่ไหน เรื่องราวนี้จึงทำให้การกินน้ำส้มสายชูเป็นตัวแทนของการแสดงความโรแมนติกและการหึงไปพร้อมกัน ซึ่งภายหลัง คำว่า 吃醋 chī cù สามารถแปลว่า ‘หึง’ ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในบริบทใดก็ตาม
นอกจาก吃醋 (chī cù) ที่แปลว่า หึงหวง แล้ว ยังมีคำว่า 爱吃醋 (ài chī cù ) “พวกชอบกินน้ำส้มสายชู” ที่แปลว่า ‘คนขี้หึง’ อีกด้วย
…
บทที่ 244 ตกใจ
หลังจากที่อวิ๋นซิ่วชิงกลับไปที่ห้องของนาง นางรอสักครู่เพื่อให้แน่ใจว่า ผูเว่ยชางจะไม่กลับมาอีก จากนั้นนางก็เป่าเทียนให้ดับ และเข้าไปในพื้นที่มิติส่วนตัวส่วนตัว
อวิ๋นซิ่วชิงรีบร้อนในระหว่างวัน นางไม่เคยเข้ามาและไม่เคยมองการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อย่างละเอียด กะหล่ำปลีของนางเติบโตขึ้น แต่ตอนนี้อวิ๋นซิ่วชิงไม่สามารถเอามันออกมากินได้ ทำได้เพียงมองเท่านั้น
หลังจากนั้น อวิ๋นซิ่วชิงก็ไปแช่ตัวในน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ แล้วจึงไปที่โรงพยาบาลในมิติเพื่ออ่านหนังสือทางการแพทย์
เนื่องจากอวิ๋นซิ่วชิงนอนหลับมาเป็นเวลานานในตอนบ่าย นางจึงไม่รู้สึกง่วงนอนในตอนเย็น และมีสมาธิเป็นพิเศษเมื่ออ่านหนังสือทางการแพทย์
อวิ๋นซิ่วชิงรู้สึกเพียงว่านางอ่านหนังสือทักษะทางการแพทย์มาเป็นเวลานาน อ่านไปครึ่งหนึ่งก็ประเมินว่าดึกมากแล้ว จึงนำไปเก็บที่ชั้นวางหนังสือ จากนั้นก็ไปที่น้ำพุแห่งจิตวิญญาณเพื่อล้างหน้าของตัวเอง แล้วออกมาจากพื้นที่มิติส่วนตัว
เมื่ออวิ๋นซิ่วชิงออกมาจากมิติ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับแสงในห้องที่ควรจะมืดในเวลากลางคืน แต่ทำไมตอนนี้ห้องถึงเป็นสีเทา? มีหมอกในห้องหรือ?
อวิ๋นซิ่วชิงลูบหน้าผากอย่างโง่เขลาและกำลังจะเข้านอน นางถอดเสื้อผ้าและนอนบนเตียง ทันทีที่ดวงตาของนางหรี่ลง นางก็ได้ยินเสียงไก่ขันนอกหน้าต่าง
อวิ๋นซิ่วชิงผุดตัวลุกขึ้นทันทีและตบหน้าผากตัวเอง นางโง่มากจนไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างความมืดและความสว่างได้แล้วหรือ?!
อวิ๋นซิ่วชิงนับเวลาและคาดว่าคงเป็นเวลาเกือบยามสี่*[1] แล้ว นางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ครั้นอยากจะนอนก็นอนไม่หลับ
ในที่สุดอวิ๋นซิ่วชิงก็ลุกขึ้นนั่งและเช็ดหน้าตัวเอง ก่อนจะใส่เสื้อผ้าและออกจากห้อง
อวิ๋นซิ่วชิงยืนอยู่หน้าห้องและสูดอากาศบริสุทธิ์ นางรู้สึกสดชื่น ถ้านางไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรแปลก ๆ เข้าไป นางคงจะคิดว่าเพิ่งได้ใช้สารกระตุ้นเป็นแน่ เพราะตอนนี้นางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก
แม้ว่าหญิงสาวจะมีพลังมาก แต่นางก็รู้สึกเบื่อ ตอนนี้ในลานบ้านไม่มีคน และแม้แต่ผีก็ไม่มี นางเบื่อมากจึงเริ่มยืดเส้นยืดสายและออกกำลังกายด้วยท่าง่าย ๆ
ผูเว่ยชางนั้นระวังตัวมาโดยตลอด ซึ่งเป็นนิสัยของเขามาหลายปีแล้ว มันเหมือนกับว่ากริชของเขาอยู่เคียงข้างเสมอเมื่อเขาหลับ แม้ผูเว่ยชางจะปิดตาของลง หูของเขาก็ยังคงได้ยินเสียง
เมื่ออวิ๋นซิ่วชิงเปิดประตู เขาก็ได้ยินเสียงและลืมตาขึ้น
ต่อมาผูเว่ยชางก็ได้ยินอวิ๋นซิ่วชิงเดินอีกครั้ง เขาลุกขึ้นนั่งและสวมเสื้อผ้าก่อนจะไปที่หน้าต่าง
หลังจากที่ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างออก เขาก็เห็นอวิ๋นซิ่วชิงทำสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ที่ลานบ้าน อวิ๋นซิ่วชิงเต้นรำได้ดีกว่าการเต้นรำในวังเสียอีก
อวิ๋นซิ่วชิงเหงื่อออกหลังจากออกกำลังกาย นางดูแลร่างกายของนางเป็นอย่างดีจนนางไม่เคยออกกำลังกาย ตอนนี้จึงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก
”เยี่ยมมากเลย ร่างกายแบบนี้” อวิ๋นซิ่วชิงเกลียดตัวเอง หลังจากที่นางพูดแบบนี้ นางก็พร้อมที่จะกลับเข้าไปดื่มน้ำ
ทันทีที่นางหันหลังกลับ ก็เห็นผูเว่ยชางยืนอยู่ที่หน้าต่างจ้องมองนางอยู่ นางรู้สึกกลัวมากจนกรีดร้องออกมาทันที
”ผูเว่ยชาง เจ้าอยากตายไหม?!” อวิ๋นซิ่วชิงตบหน้าอกของนางด้วยความกลัวและตะโกนใส่ผูเว่ยชาง
ผูเว่ยชางโบกมืออย่างไร้เดียงสา “ชิงเหนียง เจ้ามีอะไรน่ะ?!”
อวิ๋นซิ่วชิงกลอกตาใส่ผูเว่ยชาง นางอยากจะสาปแช่งแม่ของเขาตอนนี้จริง ๆ เลย!
ลองคิดดูว่าหากมีคนยืนอยู่ข้างหลัง และจ้องมองเราอย่างเงียบ ๆ อย่าพูดถึงคนเลย มีแต่ผีเท่านั้นที่ทำแบบนี้ นางจึงตกใจกลัว!
…
[1] เป็นเวลาหลังจากตี 3 ไปจนย่ำรุ่ง หรือ 6 นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม 4 ซึ่งเป็นยามสุดท้ายของกลางคืน