ทะลุมิติไปเป็นแพทย์หญิงชาวสวนผู้มั่งคั่ง - บทที่ 217+218 ฉุดผู้ชาย/ไปหาเล่ยถิง
บทที่ 217 ฉุดผู้ชาย
”เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้!” หม่าซือพึมพำด้วยเสียงสั่นเครือ
เจ้าของโรงเตี๊ยมได้แบกร่างสูงใหญ่ของผูเว่ยชางขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นว่าหม่าซือไม่ได้นำรถม้ามา นางก็ดุอีกฝ่าย “หม่าซือ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? รีบไปเถอะ!”
หม่าซือหันไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยมในขณะที่ร่างกายยังสั่นเทา “พี่สาว เราโดนผีหลอกแล้ว!”
เจ้าของร้านขมวดคิ้วและไม่เข้าใจว่าหม่าซือพูดอะไร นางอุ้มผูเว่ยชาง แล้วเดินไปหาหม่าซืออย่างง่ายดาย “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?”
”พี่สาว เราทำสิ่งเลวร้ายมามากมาย คราวนี้เราเจอผีจริง ๆ!” ขาของหม่าซือยังคงสั่น
”ไม่มีผีในเวลากลางวันแสก ๆ หรอก รีบไปเถอะ ข้าจะกลับไปแต่งงานคืนนี้” แม้ว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมจะเป็นผู้หญิง แต่นางก็กล้าหาญและไม่เชื่อคำพูดของหม่าซือที่ขี้ขลาด
”พี่สาว มันเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งหายตัวไป ไม่มีใครอยู่ในรถ ข้าค้นหาทุกที่แล้ว” ร่างของหม่าซือสั่นขณะพูด
”ให้ข้าดูซิ มีผีในเวลากลางวันไหม?!” เมื่อเห็นว่าหม่าซือดูเหมือนจะไม่ได้โกหก นางจึงให้หม่าซือพยุงผูเว่ยชางและนางก็เข้าไปค้นในรถม้า
เดิมทีหม่าซือนั้นทั้งผอมและอ่อนแอ และตอนนี้ขาของเขายังคงสั่นอยู่ เขาถูกทับโดยผูเว่ยชางที่ทั้งตัวสูงและทรงพลัง และนั่นทำให้เขาล้มลงทันที
หม่าซือรู้สึกได้ทันทีว่าก้นของเขาเหมือนจะแตกออกเป็นแปดส่วนเพราะความเจ็บปวด
เจ้าของโรงเตี๊ยมค้นหาทั้งภายในและภายนอกรถม้าด้วยความประหลาดใจ นางไม่พบแม้แต่เสื้อผ้าของอวิ๋นซิ่วชิงเสียด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมผู้กล้าหาญก็รู้สึกถึงลมที่พัดมายังด้านหลัง นางหันไปพูดกับหม่าซือว่า “หม่าซือ รถม้าคันนี้ดูแปลกและน่าขนหัวลุก เรารีบไปกันเถอะ!”
ตอนนี้หม่าซือต้องการวิ่งหนีไปให้ไกล แต่ร่างของผูเว่ยชางที่ทั้งสูงใหญ่และมีน้ำหนักมากจากกล้ามเนื้อทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลย “พี่สาว แล้วท่านยังต้องการผู้ชายคนนี้ไหม?”
”แน่นอน นี่คือผู้ชายที่ข้ารู้สึกอ่อนระทวยมากเมื่อได้เห็น” นางพูดพลางแบกผูเว่ยชางไว้บนบ่า
”พี่สาว แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นผี ผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นผีด้วย ทำไมเราไม่ทิ้งเขาไว้ล่ะ?” หม่าซือลูบก้นของเขา
”แม้ว่าเขาจะเป็นผี แต่คืนนี้ข้าจะแต่งงานกับเขา!” เจ้าของโรงเตี๊ยมตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นเจ้าสาวของผูเว่ยชางในวันนี้ นางมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของผูเว่ยชางอย่างหื่นกระหาย
หม่าซือไม่สามารถทำอะไรได้ เขาไม่สามารถยั่วยุเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เลย ดังนั้นจึงต้องพาผูเว่ยชางกลับไปที่ภูเขาพร้อมกับเจ้าของโรงเตี๊ยม
เมื่ออวิ๋นซิ่วชิงลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มีท้องฟ้าสีครามอยู่ตรงหน้า หญิงสาวยังคงเวียนหัวเล็กน้อย แต่นางก็รู้ว่าตอนนี้นางปลอดภัยแล้ว เพราะนางได้กลิ่นพลังวิญญาณผุดขึ้นมาในพื้นที่
อวิ๋นซิ่วชิงขยับนิ้วของตัวเอง ร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และยังคงอ่อนแออยู่
นางขยับนิ้วเพียงสองครั้งเท่านั้น ตอนนี้รู้สึกว่ามือของนางกำลังล้า
แต่อวิ๋นซิ่วชิงไม่กล้าที่จะชักช้า นางรู้ว่าตอนนี้ผูเว่ยชางกำลังอยู่ในอันตราย
อวิ๋นซิ่วชิงกัดลิ้นตัวเองอีกครั้ง ความเจ็บปวดทำให้นางฟื้นความแข็งแรงขึ้นมาเล็กน้อย นางยืนขึ้นและเดินขึ้นภูเขาไปยังน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ
อวิ๋นซิ่วชิงเหงื่อออกแล้ว แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก นางล้มอย่างแรงและลงไปยังบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ น้ำพุแห่งจิตวิญญาณมีสรรพคุณในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกาย อวิ๋นซิ่วชิงอยู่ในน้ำพุแห่งจิตวิญญาณเพียงไม่กี่นาที ร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยพละกำลัง
หลังจากที่อวิ๋นซิ่วชิงฟื้นร่างกาย นางก็คลานออกจากบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ และออกจากพื้นที่มิติส่วนตัวทันที
ทันทีที่นางออกจากมิติ อวิ๋นซิ่วชิงก็ยังไม่สามารถลืมตาได้เพราะแสงแดดด้านนอกที่รุนแรง นางยกมือขึ้นเพื่อบังแดด และกะพริบตาเล็กน้อย การมองเห็นจึงค่อย ๆ ดีขึ้น
ครั้นเห็นดวงอาทิตย์ที่แสงสาดส่องเช่นนี้ นางก็รู้ว่าเวลานี้เที่ยงแล้ว นางหมดสติไปหนึ่งชั่วยาม และผูเว่ยชางถูกลักพาตัวไปแล้ว
สิ่งเดียวที่อวิ๋นซิ่วชิงรู้สึกขอบคุณคือรถม้าของนางยังคงอยู่ที่นั่น เมื่อนางออกมาจากพื้นที่มิติส่วนตัว นางก็ยืนอยู่ข้างรถม้า
…
บทที่ 218 ไปหาเล่ยถิง
อวิ๋นซิ่วชิงรีบปีนขึ้นไปบนรถม้า สัมภาระของพวกเขายังคงอยู่ครบ นางรีบดึงสัมภาระของนางออกมา และหยิบเอาป้ายที่เล่ยถิงเคยมอบให้นางมาถือไว้
นี่วิธีเดียวของนาง นางต้องกลับไปที่ภูเขาเฮยเฟิงเพื่อตามหาเล่ยถิง
อวิ๋นซิ่วชิงไม่สามารถขับรถม้าได้ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะดึงบังเหียนตัวไหน แต่ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายแล้วนางก็จะต้องหาทางทำมันให้ได้
อวิ๋นซิ่วชิงยืนอยู่บนที่นั่งคนขับรถม้า และใช้แส้ม้าฟาด ม้าก็ออกวิ่งในทันที
โชคดีที่อวิ๋นซิ่วชิงดึงบังเหียนไว้แน่น มิฉะนั้นนางคงจะถูกม้าเหวี่ยงลงจากรถแล้ว!
อวิ๋นซิ่วชิงเริ่มสงบลง มือของนางที่ถือบังเหียนซึมไปด้วยเหงื่อ หญิงสาวบังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ นางเคยเห็นท่าทางของผูเว่ยชางในการขับรถม้าจึงทำตามเท่าที่จะจำได้ ขณะนี้นางผ่านโรงเตี๊ยมที่พวกเขาเคยพัก ตอนนี้โรงเตี๊ยมดูเงียบและดูเหมือนจะไม่เปิดให้เข้าไป
อวิ๋นซิ่วชิงขับรถม้ากลับไปที่ภูเขาทันที เล่ยถิงเคยบอกนางว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ก็ให้นางไปยังฐานที่มั่นของอีกฝ่ายที่ภูเขาเฮยเฟิงเพื่อตามหาด้วยการใช้ป้ายชื่อนี้ ก่นหน้านี้นางไม่รู้ว่าภูเขาเฮยเฟิงอยู่ที่ไหน จนกระทั่งนางได้พบกับเล่ยถิงในภูเขาเมื่อวานนี้…
อวิ๋นซิ่วชิงไม่ได้ดื่มน้ำระหว่างทางด้วยซ้ำ นางรีบกลับไปที่ภูเขาเฮยเฟิงโดยไม่หยุดพัก
แม้อวิ๋นซิ่วชิงจะมาถึงภูเขาเฮยเฟิงแล้ว แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะไปยังฐานที่มั่นของเฮยเฟิงได้อย่างไร
อวิ๋นซิ่วชิงดึงรถม้าของนางและหยุดอยู่กลางถนนบนภูเขา หากนางขึ้นไปบนภูเขาเพื่อค้นหาฐานที่มั่นของเฮยเฟิง ไม่ต้องพูดถึงว่านางจะหาฐานที่มั่นของเฮยเฟิงได้หรือไม่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้านางหลงทางในภูเขา?
อวิ๋นซิ่วชิงถือป้ายในมือไว้แน่น นางต้องคิดหาทาง ทันใดนั้นนางก็นึกถึงโจรที่เคยปล้นจี้เถ้าแก่หวังบนภูเขาเมื่อวานนี้ ภูเขาเฮยเฟิงเป็นรังของโจร ต้องมีโจรอยู่ที่นั่น แต่นางไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน?
อวิ๋นซิ่วชิงถือป้ายไว้ในมือและกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ข้ามีสัญลักษณ์แห่งเล่ยถิงผู้นำของฐานที่มั่นเฮยเฟิง โปรดออกมาพบข้าด้วยเถิด”
สิ่งที่อวิ๋นซิ่วชิงกำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นเพียงการลองเสี่ยงโดยที่นางไม่แน่ใจอะไรเลย แต่อวิ๋นซิ่วชิงได้บอกตัวเองเสมอว่าอย่าตื่นตระหนก อย่าใจร้อน ควรใจเย็น ๆ และสงบสติอารมณ์เข้าไว้
เสียงของอวิ๋นซิ่วชิงลอยอยู่เหนือภูเขาและป่าไม้ นางยืนอยู่บนแคร่และรอเวลาจวบจนครึ่งธูปผ่านไป แต่ก็ไม่มีเสียงใดในภูเขาและป่า มีเพียงเสียงใบไม้ที่ตกกระทบลงพื้นยามลมพัด
ขณะที่อวิ๋นซิ่วชิงกำลังผิดหวัง เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังออกมาจากป่า “บอกชื่อของเจ้ามา”
เมื่ออวิ๋นซิ่วชิงได้ยินเสียงนี้ นางก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร้องไห้ด้วยความยินดี หญิงสาวพยายามทำน้ำเสียงให้สงบก่อนจะเอ่ยออกไป “ข้าชื่ออวิ๋นซิ่วชิง…”
เมื่ออวิ๋นซิ่วชิงประกาศชื่อของนางแล้วอีกฝ่ายไม่มีการตอบสนอง นางจึงลงจากรถอย่างกระวนกระวายใจ และเดินวนไปมารอบรถม้า
เวลานี้ผูเว่ยชางได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ทันทีที่เขาลืมตา เขาก็แทบจะตาบอดเพราะไฟสีแดง เขามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ไม่มีใครอยู่ในห้องและตอนนี้เขาไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ
ผูเว่ยชางคิดถึงสถานการณ์ก่อนที่เขาจะหมดสติ ในเวลานั้นเขากำลังขับรถม้า เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดสติ จากนั้นก็ร่วงลงจากรถม้า ในเวลานั้นเขาไม่มีเวลาได้พูดอะไรกับอวิ๋นซิ่วชิงเลย
ทันใดนั้นดวงตาของผูเว่ยชางก็แทบเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อนึกถึงอวิ๋นซิ่วชิง ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาต้องไปหาอวิ๋นซิ่วชิง
ผูเว่ยชางหลับตาลงและค่อย ๆ เคลื่อนกำลังภายในของเขาที่ซ่อนอยู่
จากนั้นเสียงหัวเราะหนึ่งก็ดังขึ้น ชายหนุ่มลืมตาขึ้นด้วยความขยะแขยง เขาจะไม่มีวันลืมเสียงหัวเราะนี้ไปตลอดชีวิต
ตอนนี้ผูเว่ยชางได้ฟื้นความแข็งแกร่งของเขาแล้วครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแหลมดังขึ้น และประตูก็ถูกเปิดออก
ผูเว่ยชางหันไปเห็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเดินเข้ามาพร้อมสีแดงบนใบหน้า และนั่นทำให้เขาเกือบจะคายอาหารออกมา