ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 16 ความระแวงของจี้อวิ๋นอวิ๋น
ตอนที่ 16 ความระแวงของจี้อวิ๋นอวิ๋น
“คนโบราณกล่าวไว้ว่า สามสิบปีสายน้ำไหลสู่บูรพา สามสิบปีต่อมาหวนคืนทิศประจิม แกอย่าดูถูกคนอื่น” คุณแม่จี้เอ็ดพลางมองหล่อนอย่างไม่พอใจ
จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงพูดอย่างร้อนใจ “แม่ แม่ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอคะ นานแค่ไหนที่หล่อนเปลี่ยนไปขนาดนี้ นี่มันน่าสงสัยมากนะคะ!”
คุณแม่จี้อึ้งไป
“กินเนื้อส่วนของแกไปเถอะ” คุณพ่อจี้เอ่ยพลางเคาะบุหรี่
เพียงพ่อชราปริปากเอ่ย จี้อวิ๋นอวิ๋นก็ทำได้แค่เดินกลับไปที่ครัวอย่างเสียไม่ได้ ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นนำเนื้อมาให้ หล่อนก็คงจะไม่กินเปล่า ๆ แน่
เนื้อแกะตุ๋นนี้หอมมาก ถึงขนาดอาหารที่พี่สะใภ้สี่ทำยังอร่อยสู้ไม่ได้
“คุณไม่พอใจที่สะใภ้สามทำตัวดีขึ้นเหรอ? ถึงได้ฟังคำพูดไร้สาระของเด็กคนนี้” คุณพ่อจี้พูดกับคุณแม่จี้ขณะที่อยู่ข้างนอก
“ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนี่?” คุณแม่จี้พูด สิ่งที่อวิ๋นอวิ๋นพูดทำให้ผู้เป็นแม่อย่างนางรู้สึกว้าวุ่นใจ
“ไม่เป็นไรหรอก คุณไปเยี่ยมหล่อนเถอะ สะใภ้สามชอบผักกาดดองที่คุณทำนะ” คุณพ่อจี้บอก
คุณแม่จี้ยิ้มและหยิบไหผักกาดดองที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ติดมือไปด้วย
ซูตานหงเห็นนางแล้วก็เอ่ยทักทายพร้อมกับเชื้อเชิญนางเข้าไปในบ้าน “ตอนนี้อากาศเย็นขึ้นเรื่อย ๆ บ้านคุณพ่อกับคุณแม่มีฟืนเพียงพอหรือยังคะ ถ้ามีไม่พอมาเอาที่บ้านฉันก่อนก็ได้นะคะ เจี้ยนอวิ๋นผ่าฟืนให้ฉันเยอะแยะตั้งแต่กลับมาคราวที่แล้ว ฉันใช้คนเดียวคงใช้ไม่หมดหรอกค่ะ”
“ทางพ่อกับแม่ไม่ได้ขาดฟืนหรอก” คุณแม่จี้หัวเราะ หลังจากสะใภ้สามช่วยพยุงให้นางนั่งลงแล้ว นางก็ยื่นไหผักกาดดองให้ซูตานหง “แม่เพิ่งดองผักกาดเสร็จพอดี ใส่ขิงเยอะ ๆ อย่างที่เธอชอบด้วย เก็บไว้แล้วค่อย ๆ กินนะ”
“ขอบคุณมากค่ะแม่” ซูตานหงยิ้มและพยักหน้าก่อนนำไหผักกาดดองไปไว้ในห้องครัว
เมื่อเธอเดินออกมา เธอก็เห็นคุณแม่จี้กำลังมองไปยังเสื้อผ้าที่เธอทำ แล้วใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นเล็กน้อย
“นี่ทำให้เจี้ยนอวิ๋นหรือ?” คุณแม่จี้ถามด้วยรอยยิ้ม
“พอดีเจี้ยนอวิ๋นกำลังจะกลับมาในช่วงปีใหม่น่ะค่ะ ฉันก็เลยจะทำชุดไว้ให้เขาเก็บไว้เปลี่ยน” ซูตานหงพยักหน้าอย่างเอียงอายเล็กน้อย
“เจี้ยนอวิ๋นกำลังจะกลับมาเหรอ?” คุณแม่จี้ถามด้วยน้ำเสียงยินดี
ซูตานหงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ค่ะ ฉันบอกกับอวิ๋นอวิ๋นแล้ว หล่อนไม่ได้บอกแม่เหรอคะ”
เมื่อเห็นท่าทางของคุณแม่จี้ เธอก็รู้ว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้พูดอะไร เมื่อกลับถึงบ้านไปแล้วจี้อวิ๋นอวิ๋นก็คงจะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเธอ แล้วหล่อนจะจำได้อย่างไรว่าเธอพูดอะไรกับหล่อน?
“อวิ๋นอวิ๋นอาจจะลืมมั้ง” ซูตานหงพูดกับตัวเอง
จากนั้นเธอจึงพูดถึงเรื่องอื่น ๆ เช่นเรื่องแปลกใหม่ที่เธอเห็นในเมือง
“นี่คือชาเก๋ากี้พุทราจีนนะคะ คุณแม่ลองจิบดูค่ะ” ซูตานหงพูดขณะรินชาสีน้ำผึ้งให้นางอีกถ้วย
คุณแม่จี้ยิ้มและพยักหน้า เมื่อจิบชาเข้าไปก็รับรู้ถึงรสอร่อย ยิ่งนางมองสะใภ้คนนี้มากเท่าใดนางก็ยิ่งพอใจมาก เธอช่างประพฤติตัวดีเหลือเกิน จนไม่มีสิ่งไหนเกี่ยวกับตัวเธอที่ไม่ดีเลย กล่าวได้ว่าถ้ามีอะไรที่ดีต่อผู้อาวุโสทั้งสอง หล่อนก็ไม่ลืมที่จะตอบแทนผู้อาวุโสทั้งสองเลย
เมื่อคุณแม่จี้กำลังจะกลับ ซูตานหงก็มอบเนื้อแกะ 3 ชั่งกับเนื้อวัว 5 ชั่งให้นางไปด้วย คุณแม่จี้ไม่สามารถปฏิเสธได้จึงรับไว้
เธอมอบเนื้อไม่กี่ชั่งให้ทางบ้านตระกูลซูไปแล้ว ซึ่งคุณแม่ซูก็ดีใจมากที่เห็นลูกสาวเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีบ้านซูกับลูกสะใภ้นั้นถือว่าไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่ใช่กับลูกสาวของบ้าน เมื่อใดที่ซูตานหงกลับมาที่บ้าน นางก็จะเก็บไข่จากไก่จำนวนมากมายที่เลี้ยงไว้ที่บ้านมาให้เธอนำกลับไปตะกร้าหนึ่ง
ครั้งนี้ซูตานหงซื้อเนื้อแกะและเนื้อวัวมามากมาย แต่ตอนนี้เธอเหลือเนื้อพวกนี้อยู่ไม่มาก ดูเหมือนว่าเธอต้องหาเวลาช่วงหนึ่งเข้าเมืองเพื่อไปซื้อมาเพิ่มเสียแล้ว
เมื่อวันเวลาดำเนินต่อไป เวลาครึ่งเดือนก็ได้พ้นผ่าน ซูตานหงนำผ้าที่เพิ่งปักลายเสร็จไปให้เจินเหมียวหง เดิมทีเธอกะจะเก็บไว้จนกว่าจะถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า แต่ในเมื่อเธออยากออกมาซื้อเนื้อ เธอก็เลยตัดสินใจแวะนำไปให้หล่อน
คราวนี้เธอปักรูปม้าสำเร็จแล้ว มันกลายเป็นภาพม้าที่ควบตะบึงอย่างสง่างาม และม้าทั้งแปดตัวก็กำลังโจนทะยานใกล้เข้ามาราวกับพุ่งเข้าใส่หน้า เจินเหมียวหงเห็นแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบเงิน 600 หยวนยื่นให้เธอในทันที
ซูตานหงรู้สึกพอใจมากเช่นกัน หลังรับเข็มกับด้ายปักชุดใหม่แล้ว เธอก็เดินมาที่ตลาดขายผัก ซึ่งคุณแม่จี้กำลังยืนรออยู่พร้อมกับรถเข็นคันหนึ่ง
“คุณแม่คะ เทศกาลวันสิ้นปีใกล้จะมาถึงแล้วนะคะ เราซื้อของไว้เยอะหน่อยแล้วกลับกันเถอะค่ะ” ซูตานหงพูดกับคุณแม่จี้
คุณแม่จี้ก็รู้ว่าเธอจะต้องได้เงินจำนวนมากจากการปักภาพม้าภาพนั้น นางเคยเห็นด้ายปักที่บ้านแล้ว และรู้ว่าราคาของมันไม่ใช่ถูก ๆ เลย คุณแม่จี้จึงไม่กล่าวอะไรพร้อมกับพยักหน้าเมื่อได้ยินเธอพูดดังนั้น “งั้นก็ซื้อเพิ่มเถอะ”
เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงแผงขายเนื้อ ซูตานหงก็ซื้อเนื้อแกะ “ขอเนื้อแกะครึ่งตัวค่ะ”
คุณแม่จี้ได้ยินก็ตกใจและเอ่ยละล่ำละลัก “มากไปแล้ว ๆ !”
ต่อให้นางอยากซื้อของเพิ่ม แต่ก็ใช่ว่าจะอยากซื้อเนื้อแกะถึงครึ่งตัว เนื้อเยอะขนาดนั้นราคาเท่าไรกันล่ะ?
“คุณป้าครับ เนื้อแกะร้านผมสดที่สุดและขายเป็นชุดสุดท้ายแล้ว ถ้าอยากจะซื้ออีกต้องรอถึงปีหน้าเท่านั้นนะครับ” คนขายเนื้อแกะกล่าว
“ลดราคาหน่อยได้ไหมคะ ” ซูตานหงถาม
“ได้ครับ สำหรับคุณ ผมลดให้ 3 เหมาต่อชั่ง” ชายคนนั้นมองมาที่เธอและตอบกลับ
“ขอบคุณค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า
ชายคนนั้นหยิบเนื้อแกะขึ้นมาสับให้เธอครึ่งตัวและกวาดส่วนที่เหลือออกไป หลังจากคำนวณแล้วแกะครึ่งตัวคิดเป็นเงิน 22 หยวน ถึงอย่างนั้นคุณแม่จี้ก็ไม่สบายใจอยู่ดี
ยุคนี้ผู้คนได้เงินเดือนเฉลี่ยเพียง 20 หรือ 30 หยวน ซึ่งเงินที่จ่ายไปนั่นก็เท่ากับเงินเดือนเกือบทั้งเดือนแล้ว!
แต่ซูตานหงเห็นว่ามันไม่แพง จึงหันหลังกลับและพาคุณแม่จี้ไปซื้อเนื้อวัว 5 ชั่งต่อ
“ควรจะทำหัวไชเท้าตุ๋นด้วยนะคะ เจี้ยนอวิ๋นชอบกินมันมาก เขาต้องตากฝนตากลม โอกาสที่เขาจะกลับบ้านอย่างหาได้ยากแบบนี้ฉันต้องบำรุงเขาให้เยอะ ๆ น่ะค่ะ” ซูตานหงบอก
คุณแม่จี้ไม่ได้พูดอะไร ต่อให้สะใภ้สามจะใช้จ่ายมากมาย แต่ก็เพื่อลูกชายของนางทั้งนั้น แล้วนางจะพูดอะไรได้?
ซูตานหงซื้อของจิปาถะอื่น ๆ มาด้วย เธอซื้อน้ำตาลทรายแดง 2-3 ชั่ง และขนมงาตัดอีกจำนวนหนึ่ง ของเหล่านี้เธอเก็บไว้ใช้ที่บ้านเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่
นอกจากนี้เธอก็ยังซื้อเมล็ดแตงโมกับถั่วลิสงด้วย
ของที่เธอซื้อมาทั้งหมดมีราคารวมเกือบ 50 หยวน คุณแม่จี้เห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกกรีดเฉือนไปตลอดทาง นางถึงกับเงียบไปชั่วขณะในระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน
“คุณแม่คะ ฉันรู้ว่าคุณแม่อยากให้เราประหยัดสักหน่อยเพื่อจะได้มีเงินใช้จ่ายมากขึ้นหลังจากมีลูก แต่เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้กลับมาบ้านในช่วงปีใหม่ได้ทุกครั้งนะคะ ฉันแค่อยากให้เขากลับมาแล้วมีความสุขในวันปีใหม่น่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ย
“แม่รู้” คุณแม่จี้พูดพลางพยักหน้า
“ครั้งนี้ฉันขายผ้าปักได้มากกว่า 200 หยวน และยังมีเหลืออีกมากหลังจากปักรูปดอกไม้เสร็จแล้ว อีกไม่กี่เดือนหลังปีใหม่งานปักของฉันก็จะเสร็จ และฉันจะได้รับเงินอีกครั้ง แม่ไม่ต้องกังวลกับเรานะคะ” ซูตานหงพูดแล้วยิ้มให้กับแม่สามีของเธอ
คุณแม่จี้ยิ้ม “แม่รู้ว่าเธอมีความสามารถ แต่ก็ต้องประหยัดเอาไว้บ้าง ไม่สำคัญหรอกค่ะ ว่าจะต้องกินอาหารดี ๆ ในวันหยุด เจี้ยนอวิ๋นไม่ใช่คนเลือกกินหรอก”
“ฉันรู้ค่ะว่าเจี้ยนอวิ๋นไม่เลือกกิน ฉันแค่ต้องการให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น อาจเพราะเมื่อก่อนฉันหาเงินไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันหาเงินได้แล้ว ฉันก็เลยไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่อย่างเดิมแล้วน่ะค่ะ” ซูตานหงตอบ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็ไม่พอใจกับงานที่จี้เจี้ยนอวิ๋นทำมากนัก แต่เธอรู้ว่าการที่ผู้ชายมีงานทำนับเป็นเรื่องดี อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ต้องการใช้ชีวิตธรรมดาแบบที่มีสามี ภรรยา และลูก ๆ อยู่กันพร้อมหน้า
หากมองด้วยมุมมองเห็นแก่ตัวของเธอแล้ว เธอไม่ชอบงานของจี้เจี้ยนอวิ๋นเอาเสียเลย
แต่ในเมื่อเขารักที่จะทำงานนี้แล้ว เธอก็ย่อมต้องสนับสนุนเขาเป็นธรรมดา
__________________