ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 94 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ตอนที่ 94 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ภายในห้องนอน
หยุนชิ่วเอ๋อยกกระจกทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นส่องภายใต้แสงไฟสลัว นางส่องดูใบหน้าของตนอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถามอย่างเบิกบานใจว่า “ท่านแม่ ข้าสวยหรือไม่?”
แม่เฒ่าจูเอ่ยตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “จะมีประโยชน์อะไรเล่า? คุณหนูสามแห่งตระกูลเหอไม่แต่งงานกับคนจากตระกูลใหญ่อย่างนั้นหรือ?”
“แค่เจ้าของร้านอาหาร นับเป็นเศรษฐีด้วยหรือ” หยุนชิ่วเอ๋อเบ้ปากอย่างไม่พอใจ
“เรื่องสินสอดทองหมั้นที่ลือกันนั้นเป็นเรื่องจริง” เมื่อคิดถึงความร่ำรวยของเจ้าของหอหลงชิ่ง แม่เฒ่าจูพลันอิจฉาตาร้อนขึ้นมา “คุณหนูสามแห่งตระกูลเหอทั้งจืดชืดและซื่อบื้อไม่ทันคน ไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อย!”
“หึ…” หยุนชิ่วเอ๋อแสยะยิ้มอย่างขมขื่นพลางเผยสีหน้าอิจฉา “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดใคร ๆ ต่างก็ชอบนาง?”
“ลูกสาวของตระกูลเหอแต่ละคนต่างได้รับความไว้วางใจจากแม่สื่อผู้สามารถเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มจากตระกูลมั่งคั่งให้คล้อยตามได้…” หญิงชราสบถคำพูดเจ็บแสบออกมาเรื่อย ๆ ก่อนเหลือบมองลูกสาวอีกครั้ง “เจ้ามีหน้าตาสะสวย แต่ไม่มีรูปร่างสะโอดสะองอย่างไรล่ะ”
“หึ! ไร้ยางอาย!” หยุนชิ่วเอ๋อสบถด้วยคำหยาบคาย
“เอาเถอะ ยิ่งพูดก็ยิ่งไร้คุณธรรม!” ผู้เฒ่าหยุนไม่สามารถทนฟังการนินทาเหล่านี้ได้อีกต่อไปจึงตะโกนตัดบท
เขากำลังหัวเสียกับเรื่องการขายที่ดิน!
แม่เฒ่าจูแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ ทว่าไม่กล่าวคำใด
หยุนชิ่วเอ๋อกลอกตาพลาดถอดปิ่นปักผมออกก่อนถูเข้ากับชายเสื้อก่อนอ้าปากกัด “จุ๊ ๆ มันเป็นทองบริสุทธิ์จริงด้วย เสียแต่ว่าอันเล็กไปหน่อย…”
วันรุ่งขึ้น
แม่นางเหลียนไม่จำเป็นต้องแสร้งป่วยอีกต่อไป นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่และทำงานบ้านต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว
ก่อไฟ ทำอาหาร นำไก่ฟ้าและกระต่ายป่าใส่ตะกร้าใบเล็กและกำชับหยุนเชวี่ยให้นำของเหล่านี้ไปให้นายน้อยเฉียนให้ได้
“เหตุใดถึงตื่นแต่เช้าตรู่เล่า อากาศยังเย็นอยู่เลย” หยุนลี่เต๋อเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำก่อนรับงานในมือของภรรยามาอย่างรวดเร็ว
“ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดจะหนาวได้อย่างไร” แม่นางเหลียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หากข้านอนเฉย ๆ อีก มีหวังเอวข้าต้องระบมแน่นอน”
“โอ้ น้องสะใภ้รองหายดีแล้วหรือ?” แม่นางจ้าวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ขณะเดินถืออ่างล้างหน้าออกมาจากปีกตะวันออก
“ที่บ้านมีงานจิปาถะมากมายต้องทำ ข้าจึงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เจ้าค่ะ” แม่นางเหลียนเป็นคนโกหกไม่เก่ง นางจึงก้มหน้าหลบสายตาแม่นางจ้าวพลางเอาผมทัดใบหู
“ข้าคิดว่าครอบครัวของเราผ่านเรื่องหนักใจมาเยอะแล้ว เมื่อมีความสุขอาการป่วยจึงหายดีเป็นปลิดทิ้งใช่หรือไม่?” แม่นางจ้าวจงใจตอบเสียงดังเพราะเกรงว่าคนที่อยู่ชั้นบนจะไม่ได้ยิน
หัวใจของนางอัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคือง หากไม่ระบายออกมามีหวังคงอกแตกตายและกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าคะ ท่านลุงใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?” หยุนเชวี่ยตักน้ำขึ้นล้างหน้าก่อนสะบัดมือและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
แม่นางจ้าว…
“บ้านของข้ามียาอายุวัฒนะนะเจ้าคะ ท่านป้ามีหรือไม่?”
กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น* บัณฑิตผู้สง่างามไม่สมควรปล่อยให้นังแพศยาคนไหนมาทำร้ายร่างกายจนอับอาย แม่นางจ้าวรู้สึกไม่พอใจจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้ากำลังจะถามน้องรองพอดี เจ้าเข้าเมืองไปพร้อมกับพี่ใหญ่ แต่เหตุใดจึงมีเพียงเขาที่ถูกทำร้ายเล่า?”
*กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น หมายถึง ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ หรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
“เพราะแม่ของหยูซื่อเป็นคนดุร้ายเจ้าค่ะ!”
ยังไม่ทันที่หยุนลี่เต๋อจะเอ่ยปาก หยุนเชวี่ยก็โพล่งขึ้น ก่อนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
สีหน้าของแม่นางจ้าวยิ่งหมองคล้ำลงเรื่อย ๆ
“เชวี่ยเอ๋อ” แม่นางเหลียนเอื้อมมือไปดึงตัวบุตรสาว “มาช่วยแม่ก่อกองไฟ และหลังจากกินเสร็จจะได้รีบเอาเนื้อสัตว์ไปส่งในเมืองแล้วจะได้รีบกลับ”
หยุนเชวี่ยแลบลิ้นออกมา
แม่นางจ้าวโกรธเคืองจนไม่สามารถระบายออกมาได้ แทนที่จะด่ากราด ทว่านางกลับจ้องมองไปที่อีกฝ่ายก่อนเดินกระทืบเท้าเข้าไปในบ้าน
“ตึง…” ประตูด้านหน้าบ้านถูกเปิดออกอย่างรุนแรง ชายชราเดินออกมาพอดีจนเกือบชนเข้ากับแม่นางจ้าว
“ท่านพ่อ” แม่นางจ้าวกล่าวพลางก้มศีรษะลง
ชายชราพยักหน้ารับ เรื่องหนักใจเกี่ยวกับตระกูลหยูจบลงแล้ว สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เฮ้อ ข้าจะฆ่าเจ้า…”
เสียงถอนหายใจดังทั่วบริเวณราวกับกำลังมีคนเล่นละครงิ้ว จากนั้นเสียงสาปแช่งของแม่เฒ่าจูก็ดังขึ้น
ลานบ้านพลันคึกคักขึ้นมาในพริบตา
ครานี้เป้าหมายของแม่นางจูคือแม่นางเฉิน อย่างไรก็ตามแม่นางเฉินกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อนและเดินออกมาจากตัวบ้านช้า ๆ ก่อนเดินเข้าไปในห้องครัว
“ฉึก…” หยุนเชวี่ยผ่าฟืนแห้งพลางเติมมันลงไปในเตาก่อนเงยหน้าขึ้นและตะโกนเสียงดัง “ท่านปู่”
ชายชราส่งเสียง “อืม” โดยไม่ชายตามองนางเลยแม้แต่น้อย
ในฐานะผู้อาวุโส การโต้เถียงกับเด็กอายุสิบสองปีนั้นถือว่าเป็นเรื่องยาก
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เหอยาโถวก็มาหาหยุนเชวี่ยที่บ้านและเข้าไปในเมืองพร้อมกัน
“ท่านแม่สั่งให้ข้าซื้อเนื้อหมูมาสองสามจินเพื่อทำซาลาเปา”
นี่เป็นครั้งแรกที่เหอยาโถวแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าผู้ชาย เสื้อตัวยาวสีฟ้าครามยังคงใหม่เอี่ยม ดวงหน้าของเขาขาวนวลยิ่งกว่าหญิงสาวเสียอีก
“จะ เจ้าเป็นอะไรไป?” หยุนเชวี่ยตกใจจนอ้าปากค้างก่อนมองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หากไม่ใช่เพราะเสียงใสกังวานของเขา นางคงจำไม่ได้แน่!”
เหอยาโถวรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขายื่นมือไปรับตะกร้าจากหยุนเชวี่ยและหันหลังเดินออกไป
หยุนเชวี่ยรู้สึกกระสับกระส่ายจึงรีบวิ่งไปคว้าแขนของเขาเอาไว้ “เจ้าเป็นอะไรกันแน่? มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือ?”
เหอยาโถวมองหญิงสาวแวบหนึ่งก่อนส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไรหรอก”
“มีคนหัวเราะเยาะรึ?”
“ไม่”
“เจ้าถูกใจผู้หญิงในหมู่บ้านเราหรือ?”
“ไม่”
หยุนเชวี่ยรู้สึกร้อนใจ “แล้วเหตุใดเจ้าถึงแต่งตัวเช่นนี้เล่า!”
“ข้าจะใช้ชีวิตตามที่ข้าอยากเป็น” เหอยาโถวกำลังจะใช้นิ้วเกี่ยวผมเล่นตามความเคยชิน ทว่าคลำเจอแต่ความว่างเปล่า
หยุนเชวี่ยงุนงง
“สิบสี่” เหอยาโถวหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนก้มมองเสื้อตัวยาวของตนและรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ชุดนี้พี่รองเป็นคนซื้อมาให้ พี่รองบอกว่าต่อไปนี้ข้าจะต้องใส่ชุดนี้”
เด็กชายที่สวมใส่เสื้อผ้าของผู้หญิงกลายเป็นคุณชายน้อยหน้าหยกภายในชั่วพริบตา หยุนเชวี่ยจึงไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงนี้ในเวลาอันสั้นได้
ทว่าเมื่อมาคิดดูแล้ว สิ่งที่เหอเยี่ยเอ๋อพูดก็มีเหตุผล เหอยาโถวอายุสิบสี่ปีแล้ว อีกสองปีจะถึงเวลาที่ต้องแต่งงานแล้ว หากยังแต่งตัวเป็นหญิงสาวอยู่ เขาจะได้แต่งงานหรือ?
“อืม ดีมาก ๆ” หยุนเชวี่ยพยักหน้าและอดไม่ได้ที่จะมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง
“ข้าหล่อหรือไม่?” เหอยาโถวเอ่ยถามพลางยืดตัวตรง
“หล่อสิ”
“หล่อกว่าตอนใส่กระโปรงใช่หรือไม่?”
“อืม!”
เหอยาโถวมีผิวพรรณเนียนละเอียด คิ้วเรียวดังคันศร ดวงตาเรียวเล็ก การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษจึงทำให้เขาดูหล่อเหลาและอ่อนโยนยิ่งขึ้น
“เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่จ้องข้าล่ะ?” เหอยาโถวเบือนหน้าหนี
เดิมทีเขารู้สึกประหม่าอยู่แล้ว เมื่อถูกหยุนเชวี่ยจ้องมองเช่นนี้ เขาจึงขนลุกขนพองไปทั้งตัว
“ไม่มีอะไร เพียงแค่… เหมือนเป็นคนละคน” หยุนเชวี่ยไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้
ในใจของนาง เหอยาโถวคือน้องสาวที่นิสัยดีที่สุด ทว่าตอนนี้น้องสาวกลายเป็นน้องชายไปแล้ว
มันกะทันหันเกินไป นางยังไม่ทันเตรียมใจเลย!
“เอ่อ…”
เหอยาโถวงงเป็นไก่ตาแตก
“ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย…” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มกระอักกระอ่วน
“เรื่องอะไรหรือ?”
“เอ่อคือ… ชื่อของเจ้าคืออะไรหรือ?”
ปกติแล้วคนในหมู่บ้านมักเรียกเขาว่า ‘ยัยหนู’ และ ‘เหอเจวี๋ย’ จนชิน แต่ตอนนี้คงเรียกนางเช่นนั้นไม่ได้แล้วกระมัง?
ในฐานะพี่น้องที่สนิทสนมกันที่สุด หยุนเชวี่ยไม่สามารถเรียกเขาเช่นเดียวกับที่คนอื่นเรียกได้!