ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 78 ดูหน้าเจ้าสิ
ตอนที่ 78 ดูหน้าเจ้าสิ หัวใจของแม่นางจ้าวอัดแน่นไปด้วยความเศร้าโศก ทว่าไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าได้ แม้ต้องจับจ่ายเงินโดยไม่พอใจก็ตาม เรื่องนี้ต้องโทษความโลภของหยุนชิ่วเอ๋อ! นางยืนอยู่กลางลานบ้านพร้อมสูดหายใจเข้าลึก อดทน อดทนจนถึงวันที่หยุนลี่จงประสบความสำเร็จ และเมื่อถึงวันนั้น สิ่งแรกที่นางจะทำคือเฉดหัวน้องสาวผู้หยิ่งยโสของสามีออกจากบ้าน! “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพลางมองสีหน้าไม่สู้ดีของแม่นางจ้าว “โอ้ ไม่มีอะไรหรอก” แม่นางจ้าวยกยิ้มพลางรวบผมขึ้น “วันนี้อากาศร้อนน่ะ ข้าเลยรู้สึกวิงเวียนนิดหน่อย” “ถ้าอย่างนั้นท่านไปพักผ่อนเถิด อย่าหักโหมจนป่วยเหมือนท่านแม่ของข้าเลย” “เชวี่ยเอ๋อเป็นเด็กที่ฉลาดจริง ๆ” แม่นางจ้าวแสร้งทำตัวปกติตลอดทาง จนกระทั่งเดินเข้าไปในห้องปีกตะวันตกและปิดประตู ทันใดนั้นสีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปขณะกัดฟันและกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ห้องในปีกตะวันออกมีขนาดใหญ่ หยุนโม่นั่งสัปหงกอ่านหนังสือที่โต๊ะข้างหน้าต่าง เขาหันมองทางประตูทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าและต้องตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของแม่นางจ้าว “ท่านแม่…” แม่นางจ้าวไม่สนใจลูกชาย นางเดินปรี่ไปที่เตียงและดึงแขนของหยุนลี่จงให้ลุกขึ้นทันที “นอน ๆ ๆ ไม่กินก็นอนทั้งวัน ข้าบอกให้ตื่น!” “เจ้าเป็นอะไร? เอะอะโวยวายทันทีที่เข้ามาในห้อง” หยุนลี่จงรู้สึกเจ็บจึงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมด้วยความโมโห “เจ้าไม่มีคุณสมบัติของเมียบัณฑิตเลยแม้แต่น้อย!” เท้าเล็ก ๆ ของแม่นางจ้าวไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง นางเสียหลักเซไปข้างหลังเล็กน้อย ความโกรธพลันแล่นขึ้นสู่หน้าผากก่อนเดินไปทำร้ายร่างกายสามี “ใครจะอยากเป็นเมียบัณฑิตจน ๆ กัน? ลุกขึ้นซะ! ลุกไปอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้!” เสื้อผ้าของหยุนลี่จงถูกแม่นางจ้าวฉีกจนขาดวิ่น เขาอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน “เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เจ้าเข้าไปในเมือง?” “นอนทั้งวันจนกองหนังสือขึ้นรา แล้วท่านจะเอาอะไรไปสู้คนอื่น?” “ข้าจำเนื้อหาในตำราได้หมดแล้ว ให้ท่องย้อนหลังยังได้” หยุนลี่จงกล่าวอย่างเฉยเมย “เหตุใดท่านถึงไม่ผ่านการทดสอบนานหลายปีเพียงนี้?” “มันก็แค่โชคร้าย” หยุนลี่จงรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อถูกแทงใจดำ “ในการสอบครานี้มีกรรมการบอกว่าหากจ่ายเงินภายในสองวัน เขาจะจัดอันดับให้ตามความเหมาะสม จากนั้นเราก็นั่งเฉย ๆ รอความสำเร็จได้เลย” “หึ…” แม่นางจ้าวแค่นเสียงหัวเราะอย่างประชดประชัน “ข้าได้ยินมาว่าเฟิงซิ่วไฉเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ร่วงในปีนี้ด้วย หากเขาสอบได้อันดับหนึ่งขึ้นมา การสอบครั้งนี้ของท่านก็จะล้มเหลวอีก เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” คำพูดเหล่านั้นทำให้หยุนลี่จงรู้สึกโมโหอย่างมาก เมื่อคิดย้อนกลับไปในตอนที่อายุเท่ากับเฟิงสือยวิน เขาเป็นชายหนุ่มที่สง่าผ่าเผยและประสบความสำเร็จอย่างมาก! นอกจากนี้ตระกูลจ้าวยังจ้างแม่สื่อให้มาพูดคุยเรื่องแต่งงานกับเขาโดยที่ไม่เรียกร้องสินสอดแม้แต่เหรียญเดียว อีกทั้งผู้เฒ่าจ้าวยังมอบเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้หยุนลี่จงแต่งงานกับลูกสาวของเขา ในตอนนี้ แม้แต่หญิงสาวผู้นั้นยังหัวเราะเยาะเขา หยุนลี่จงจ้องมองแม่นางจ้าวด้วยสายตาจริงจังพลางเย้ยหยัน “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าการแต่งงานกับข้าเป็นเรื่องน่าอาย ถ้าอย่างนั้นข้าจะเขียนใบหย่าให้เจ้าเอง” เมื่อพูดจบ เขาจึงเดินไปนั่งหน้าโต๊ะหนังสือก่อนกางกระดาษซวน พับแขนเสื้อ หยิบพู่กันขึ้นมา และ ‘ฝนหมึกบนจานฝน’ “ท่านพ่อ?” หยุนโม่ยืนงงอยู่ด้านข้าง “ฝนหมึกสิ!” หยุนลี่จงเผยสีหน้าถมึงทึงขณะกล่าวเสียงทุ้ม แม่นางจ้าวผงะไปครู่หนึ่งก่อนส่งสายตาให้หยุนโม่ “เจ้าออกไปก่อน” เขียนใบหย่ารึ? หยุนลี่จง… เจ้าอยากเสวยสุขกับผู้หญิงคนใหม่จนต้องพยายามหาทางกำจัดข้าเลยรึ? หึ ฝันไปเถอะ! “ดูเจ้าสิ ข้าเพียงบ่นด้วยความโมโหเอง” แม่นางจ้าวระบายยิ้มพลางหยิบพู่กันออกจากมือของสามีก่อนตัดพ้อ “ท่านรำคาญข้าหรือ?” “ไม่ลองฟังสิ่งที่เจ้าพ่นออกมาล่ะ!” หยุนลี่จงยังคงโมโห “ข้าไม่ดีเอง” แม่นางจ้าวเลื่อนมือไปแตะบ่าของเขาและบีบเบา ๆ “ท่านต้องใจเย็นก่อน อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่เหมือนผู้หญิงเช่นข้าเลย” หยุนลี่จงเป็นบุรุษ อีกทั้งยังเป็นบัณฑิต หากหย่าร้าง เขายังสามารถแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ได้ ทว่านางแตกต่างออกไป หากหย่าร้าง นางต้องกลายเป็นแม่ม่ายและความฝันที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายของนางก็ต้องจบลงด้วยเช่นกัน แม่นางจ้าวเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางต้องเกาะตำแหน่งนายหญิงของบ้านให้มั่น! หยุนลี่จงนั่งตัวตรงพลางพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าไม่ได้โกรธชิ่วเอ๋อ แต่ปิ่นทองอันนั้น แม่ของข้าเก็บไว้ให้เป็นสินเดิม…” แม่นางจ้าวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด “ข้าเอามันไปจำนำและได้เงินมาสองตำลึงเงินครึ่ง และคิดว่านำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อรองเท้าให้ท่านด้วย…” “ท่านบอกว่าการสอบจะถูกจัดขึ้นภายในหนึ่งถึงสองเดือนนี้ และท่านต้องแต่งตัวให้สมกับที่เป็นบัณฑิตใช่หรือไม่? แต่ชิ่วเอ๋อ…” “นางอยากได้ผงชาดและพัดถวนซ่าน หากข้าปฏิเสธ นางก็จะไม่พอใจ และตอนนี้เงินนั้นก็ไม่เหลือเลยสักเหรียญเดียว ท่านจะไม่ให้ข้าโมโหได้อย่างไร…” แม่นางจ้าวร้องไห้คร่ำครวญพลางปาดน้ำตาตรงหางตา หลังจากแม่นางจ้าวร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ หยุนลี่จงจึงยอมใจอ่อน “อืม เรากำลังพูดถึงใบหย่าอยู่ไม่ใช่หรือ?” “ข้าซื้อเหล้าหมักสองไหพร้อมเครื่องเคียงมาให้ท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ” “อืม ไปล้างหน้าก่อนเถอะ” แม่นางจ้าวรีบพยักหน้าเบา ๆ และเดินออกไปทันที ภายในปีกตะวันตก มารดาและลูกสาวนั่งพูดคุยกันอยู่บนเตียง หยุนเชวี่ย “พี่สาวเห็นหน้าของหยุนชิ่วเอ๋อหรือยัง? ผัดแป้งเหมือนกำลังจะไปเล่นงิ้วเลย” หยุนเยี่ยน “หากนางได้ยินเข้า นางต้องใช้ไม้ปัดขนไก่ไล่ตีเจ้าอีกครั้งแน่” หยุนเชวี่ย “ฮ่าฮ่า ข้าแค่แสร้งพูดเยินยอ แต่นางกลับภูมิใจมาก” แม่นางเหลียนหัวเราะออกมาขณะเย็บผ้า “อาชิ่วเอ๋อชอบแต่งตัวตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นนางจึงมีความสุขมากเมื่อได้ยินคำชมของเจ้า” หยุนเชวี่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเยินยอให้มากที่สุดเพื่อให้นางภูมิใจ” แม่นางเหลียนมองลูกสาว “สาวน้อยอย่าสร้างปัญหาล่ะ” หยุนเยี่ยนรีบกล่าวคำ “ข้าไม่คิดว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะมีความสุขนะ” หยุนเชวี่ยโต้กลับทันที “หยุนชิ่วเอ๋อซื้อผงชาดราคาแปดสิบห้าเหรียญและรองเท้าสองสามร้อยเหรียญมาจากในเมือง ซึ่งนางต้องใช้เงินของป้าสะใภ้ใหญ่จ่ายแน่นอน” แม่นางเหลียนตกตะลึงจนเข็มเกือบทิ่มมือ “สองสามร้อยรึ? รองเท้าอะไรแพงหูฉี่?” “ข้าไม่รู้” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะ ในชีวิตนี้นางไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เลยด้วยซ้ำ “ข้าว่านางคงอยากเทียบตนเองกับพี่เหอเซียงเอ๋อน่ะ” หยุนเยี่ยนกล่าว แม่นางเหลียนถอนหายใจ “เซียงเอ๋อน่ะ…” หยุนเชวี่ยโพล่งขึ้น “สำหรับหญิงสาวแล้วไม่มีคำว่าพี่น้องหรอก!” “พูดจาไร้สาระอีกแล้ว” แม่นางเหลียนดีดหน้าผากของลูกสาวด้วยความโกรธเคือง “มาเถอะ แม่จะสอนวิธีปักกระเป๋าให้ เจ้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อย่าทำตัวเงอะงะให้ผู้คนหัวเราะได้ล่ะ” “ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างสลดใจ นี่คือสิ่งที่หยุนเชวี่ยกลัวที่สุด นางไม่รู้ว่าคนอื่นสามารถใช้เข็มหนึ่งเล่มและด้ายหลากสีหลายเส้นสามารถปักรูปดอกไม้ที่ซับซ้อนโดยไม่วาดลวดลายบนผ้าได้อย่างไร และนาง… คงไม่มีวันเป็นภรรยาและแม่ที่ดีแน่… หยุนเยี่ยนมองดูท่าทีการปักที่เงอะงะและฝีเข็มที่คดเคี้ยวของน้องสาวก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “เชวี่ยเอ๋อของเราอยากตัดชุดที่มีกระโปรงอยู่ใต้คอเสื้อ” หยุนเชวี่ย “โอ๊ย ๆ ๆ ท่านแม่ มือของข้ามีเลือดออก…”
ตอนที่ 78 ดูหน้าเจ้าสิ
หัวใจของแม่นางจ้าวอัดแน่นไปด้วยความเศร้าโศก ทว่าไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าได้ แม้ต้องจับจ่ายเงินโดยไม่พอใจก็ตาม เรื่องนี้ต้องโทษความโลภของหยุนชิ่วเอ๋อ!
นางยืนอยู่กลางลานบ้านพร้อมสูดหายใจเข้าลึก
อดทน
อดทนจนถึงวันที่หยุนลี่จงประสบความสำเร็จ และเมื่อถึงวันนั้น สิ่งแรกที่นางจะทำคือเฉดหัวน้องสาวผู้หยิ่งยโสของสามีออกจากบ้าน!
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพลางมองสีหน้าไม่สู้ดีของแม่นางจ้าว
“โอ้ ไม่มีอะไรหรอก” แม่นางจ้าวยกยิ้มพลางรวบผมขึ้น “วันนี้อากาศร้อนน่ะ ข้าเลยรู้สึกวิงเวียนนิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นท่านไปพักผ่อนเถิด อย่าหักโหมจนป่วยเหมือนท่านแม่ของข้าเลย”
“เชวี่ยเอ๋อเป็นเด็กที่ฉลาดจริง ๆ”
แม่นางจ้าวแสร้งทำตัวปกติตลอดทาง จนกระทั่งเดินเข้าไปในห้องปีกตะวันตกและปิดประตู ทันใดนั้นสีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปขณะกัดฟันและกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
ห้องในปีกตะวันออกมีขนาดใหญ่ หยุนโม่นั่งสัปหงกอ่านหนังสือที่โต๊ะข้างหน้าต่าง เขาหันมองทางประตูทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าและต้องตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของแม่นางจ้าว
“ท่านแม่…”
แม่นางจ้าวไม่สนใจลูกชาย นางเดินปรี่ไปที่เตียงและดึงแขนของหยุนลี่จงให้ลุกขึ้นทันที “นอน ๆ ๆ ไม่กินก็นอนทั้งวัน ข้าบอกให้ตื่น!”
“เจ้าเป็นอะไร? เอะอะโวยวายทันทีที่เข้ามาในห้อง” หยุนลี่จงรู้สึกเจ็บจึงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมด้วยความโมโห “เจ้าไม่มีคุณสมบัติของเมียบัณฑิตเลยแม้แต่น้อย!”
เท้าเล็ก ๆ ของแม่นางจ้าวไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง นางเสียหลักเซไปข้างหลังเล็กน้อย ความโกรธพลันแล่นขึ้นสู่หน้าผากก่อนเดินไปทำร้ายร่างกายสามี
“ใครจะอยากเป็นเมียบัณฑิตจน ๆ กัน? ลุกขึ้นซะ! ลุกไปอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้!”
เสื้อผ้าของหยุนลี่จงถูกแม่นางจ้าวฉีกจนขาดวิ่น เขาอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน “เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เจ้าเข้าไปในเมือง?”
“นอนทั้งวันจนกองหนังสือขึ้นรา แล้วท่านจะเอาอะไรไปสู้คนอื่น?”
“ข้าจำเนื้อหาในตำราได้หมดแล้ว ให้ท่องย้อนหลังยังได้” หยุนลี่จงกล่าวอย่างเฉยเมย
“เหตุใดท่านถึงไม่ผ่านการทดสอบนานหลายปีเพียงนี้?”
“มันก็แค่โชคร้าย”
หยุนลี่จงรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อถูกแทงใจดำ “ในการสอบครานี้มีกรรมการบอกว่าหากจ่ายเงินภายในสองวัน เขาจะจัดอันดับให้ตามความเหมาะสม จากนั้นเราก็นั่งเฉย ๆ รอความสำเร็จได้เลย”
“หึ…” แม่นางจ้าวแค่นเสียงหัวเราะอย่างประชดประชัน “ข้าได้ยินมาว่าเฟิงซิ่วไฉเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ร่วงในปีนี้ด้วย หากเขาสอบได้อันดับหนึ่งขึ้นมา การสอบครั้งนี้ของท่านก็จะล้มเหลวอีก เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
คำพูดเหล่านั้นทำให้หยุนลี่จงรู้สึกโมโหอย่างมาก
เมื่อคิดย้อนกลับไปในตอนที่อายุเท่ากับเฟิงสือยวิน เขาเป็นชายหนุ่มที่สง่าผ่าเผยและประสบความสำเร็จอย่างมาก!
นอกจากนี้ตระกูลจ้าวยังจ้างแม่สื่อให้มาพูดคุยเรื่องแต่งงานกับเขาโดยที่ไม่เรียกร้องสินสอดแม้แต่เหรียญเดียว อีกทั้งผู้เฒ่าจ้าวยังมอบเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้หยุนลี่จงแต่งงานกับลูกสาวของเขา
ในตอนนี้ แม้แต่หญิงสาวผู้นั้นยังหัวเราะเยาะเขา
หยุนลี่จงจ้องมองแม่นางจ้าวด้วยสายตาจริงจังพลางเย้ยหยัน “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าการแต่งงานกับข้าเป็นเรื่องน่าอาย ถ้าอย่างนั้นข้าจะเขียนใบหย่าให้เจ้าเอง”
เมื่อพูดจบ เขาจึงเดินไปนั่งหน้าโต๊ะหนังสือก่อนกางกระดาษซวน พับแขนเสื้อ หยิบพู่กันขึ้นมา และ ‘ฝนหมึกบนจานฝน’
“ท่านพ่อ?” หยุนโม่ยืนงงอยู่ด้านข้าง
“ฝนหมึกสิ!” หยุนลี่จงเผยสีหน้าถมึงทึงขณะกล่าวเสียงทุ้ม
แม่นางจ้าวผงะไปครู่หนึ่งก่อนส่งสายตาให้หยุนโม่ “เจ้าออกไปก่อน”
เขียนใบหย่ารึ?
หยุนลี่จง… เจ้าอยากเสวยสุขกับผู้หญิงคนใหม่จนต้องพยายามหาทางกำจัดข้าเลยรึ? หึ ฝันไปเถอะ!
“ดูเจ้าสิ ข้าเพียงบ่นด้วยความโมโหเอง” แม่นางจ้าวระบายยิ้มพลางหยิบพู่กันออกจากมือของสามีก่อนตัดพ้อ “ท่านรำคาญข้าหรือ?”
“ไม่ลองฟังสิ่งที่เจ้าพ่นออกมาล่ะ!” หยุนลี่จงยังคงโมโห
“ข้าไม่ดีเอง” แม่นางจ้าวเลื่อนมือไปแตะบ่าของเขาและบีบเบา ๆ “ท่านต้องใจเย็นก่อน อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่เหมือนผู้หญิงเช่นข้าเลย”
หยุนลี่จงเป็นบุรุษ อีกทั้งยังเป็นบัณฑิต หากหย่าร้าง เขายังสามารถแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ได้
ทว่านางแตกต่างออกไป
หากหย่าร้าง นางต้องกลายเป็นแม่ม่ายและความฝันที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายของนางก็ต้องจบลงด้วยเช่นกัน
แม่นางจ้าวเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางต้องเกาะตำแหน่งนายหญิงของบ้านให้มั่น!
หยุนลี่จงนั่งตัวตรงพลางพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ข้าไม่ได้โกรธชิ่วเอ๋อ แต่ปิ่นทองอันนั้น แม่ของข้าเก็บไว้ให้เป็นสินเดิม…” แม่นางจ้าวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“ข้าเอามันไปจำนำและได้เงินมาสองตำลึงเงินครึ่ง และคิดว่านำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อรองเท้าให้ท่านด้วย…”
“ท่านบอกว่าการสอบจะถูกจัดขึ้นภายในหนึ่งถึงสองเดือนนี้ และท่านต้องแต่งตัวให้สมกับที่เป็นบัณฑิตใช่หรือไม่? แต่ชิ่วเอ๋อ…”
“นางอยากได้ผงชาดและพัดถวนซ่าน หากข้าปฏิเสธ นางก็จะไม่พอใจ และตอนนี้เงินนั้นก็ไม่เหลือเลยสักเหรียญเดียว ท่านจะไม่ให้ข้าโมโหได้อย่างไร…”
แม่นางจ้าวร้องไห้คร่ำครวญพลางปาดน้ำตาตรงหางตา
หลังจากแม่นางจ้าวร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ หยุนลี่จงจึงยอมใจอ่อน “อืม เรากำลังพูดถึงใบหย่าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“ข้าซื้อเหล้าหมักสองไหพร้อมเครื่องเคียงมาให้ท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม ไปล้างหน้าก่อนเถอะ”
แม่นางจ้าวรีบพยักหน้าเบา ๆ และเดินออกไปทันที
ภายในปีกตะวันตก มารดาและลูกสาวนั่งพูดคุยกันอยู่บนเตียง
หยุนเชวี่ย “พี่สาวเห็นหน้าของหยุนชิ่วเอ๋อหรือยัง? ผัดแป้งเหมือนกำลังจะไปเล่นงิ้วเลย”
หยุนเยี่ยน “หากนางได้ยินเข้า นางต้องใช้ไม้ปัดขนไก่ไล่ตีเจ้าอีกครั้งแน่”
หยุนเชวี่ย “ฮ่าฮ่า ข้าแค่แสร้งพูดเยินยอ แต่นางกลับภูมิใจมาก”
แม่นางเหลียนหัวเราะออกมาขณะเย็บผ้า “อาชิ่วเอ๋อชอบแต่งตัวตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นนางจึงมีความสุขมากเมื่อได้ยินคำชมของเจ้า”
หยุนเชวี่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเยินยอให้มากที่สุดเพื่อให้นางภูมิใจ”
แม่นางเหลียนมองลูกสาว “สาวน้อยอย่าสร้างปัญหาล่ะ”
หยุนเยี่ยนรีบกล่าวคำ “ข้าไม่คิดว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะมีความสุขนะ”
หยุนเชวี่ยโต้กลับทันที “หยุนชิ่วเอ๋อซื้อผงชาดราคาแปดสิบห้าเหรียญและรองเท้าสองสามร้อยเหรียญมาจากในเมือง ซึ่งนางต้องใช้เงินของป้าสะใภ้ใหญ่จ่ายแน่นอน”
แม่นางเหลียนตกตะลึงจนเข็มเกือบทิ่มมือ “สองสามร้อยรึ? รองเท้าอะไรแพงหูฉี่?”
“ข้าไม่รู้” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะ
ในชีวิตนี้นางไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เลยด้วยซ้ำ
“ข้าว่านางคงอยากเทียบตนเองกับพี่เหอเซียงเอ๋อน่ะ” หยุนเยี่ยนกล่าว
แม่นางเหลียนถอนหายใจ “เซียงเอ๋อน่ะ…”
หยุนเชวี่ยโพล่งขึ้น “สำหรับหญิงสาวแล้วไม่มีคำว่าพี่น้องหรอก!”
“พูดจาไร้สาระอีกแล้ว” แม่นางเหลียนดีดหน้าผากของลูกสาวด้วยความโกรธเคือง “มาเถอะ แม่จะสอนวิธีปักกระเป๋าให้ เจ้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อย่าทำตัวเงอะงะให้ผู้คนหัวเราะได้ล่ะ”
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างสลดใจ
นี่คือสิ่งที่หยุนเชวี่ยกลัวที่สุด นางไม่รู้ว่าคนอื่นสามารถใช้เข็มหนึ่งเล่มและด้ายหลากสีหลายเส้นสามารถปักรูปดอกไม้ที่ซับซ้อนโดยไม่วาดลวดลายบนผ้าได้อย่างไร
และนาง… คงไม่มีวันเป็นภรรยาและแม่ที่ดีแน่…
หยุนเยี่ยนมองดูท่าทีการปักที่เงอะงะและฝีเข็มที่คดเคี้ยวของน้องสาวก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “เชวี่ยเอ๋อของเราอยากตัดชุดที่มีกระโปรงอยู่ใต้คอเสื้อ”
หยุนเชวี่ย “โอ๊ย ๆ ๆ ท่านแม่ มือของข้ามีเลือดออก…”