ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 75 เมินเฉยต่อเสียงนกเสียงกา
ตอนที่ 75 เมินเฉยต่อเสียงนกเสียงกา หยุนลี่เต๋อกลับมาจากทำนาและเดินตรงเข้าไปในปีกตะวันตกของบ้านทันทีโดยไม่แม้แต่จะพักดื่มน้ำ หยุนเยี่ยนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ ลงด้านข้างพลางขยับพัดเบา ๆ “พี่สาว ใส่บะหมี่กับไข่สองฟองลงไปแล้วเติมน้ำซุปหนึ่งทัพพี กินแล้วสดชื่นแน่นอน” “ข้าไม่รู้ว่ามันทำอย่างไร แต่ข้าเชื่อว่ารสชาติมันต้องไม่แย่แน่นอน” หยุนเยี่ยนปาดเหงื่อและมองน้องสาวด้วยสายตาขบขัน “ถ้าอย่างนั้นบะหมี่ต้องกลมกล่อมมากแน่… พี่สาวพักก่อนเถิด เดี๋ยวข้ามา” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางพับแขนเสื้อขึ้น “อย่าสร้างปัญหานะ…” “ข้าแค่จะเก็บถั่วฝักยาวและแตงกวาสองลูกมากินบะหมี่น่ะ” “เลือกอันที่อยู่ข้างในนะ…” หยุนเยี่ยนกระซิบ “รู้แล้วน่า!” หยุนเชวี่ยรับปาก ทว่าทันทีที่เข้าไปในสวนผัก นางก็เลือกผักที่สดและมีฝักอ่อนจนลืมสิ่งที่พี่สาวเตือนจนสิ้น อย่างไรก็ตามเสียงก่นด่าสามเวลาหลังอาหารของแม่เฒ่าจูไม่เคยขาดหาย ดังนั้นนางจึงเรียนรู้จากแม่นางเฉินว่าปล่อยให้คำเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไป อย่าได้เก็บมาใส่ใจ “อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระเลย” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะพลางยกยิ้มกับตนเองขณะสูดหายใจเข้าลึก เมื่อเสี่ยวอู่มาถึงบ้าน เขาเห็นพี่รองนั่งยอง ๆ และยิ้มกับตนเองอยู่ในแปลงผักก่อนส่ายศีรษะอย่างเงียบ ๆ พลางตักน้ำขึ้นดื่ม “เช้านี้เฟิงซิ่วไฉสอนอะไรบ้าง?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพลางเดินออกจากแปลงผักโดยที่คราบโคลนเกาะติดรองเท้าของนาง “คัมภีร์หลุนอวี่*” เสี่ยวอู่รับถั่วฝักยาวมาจากมือของพี่สาวพลางพับแขนเสื้อขึ้นก่อนล้างทำความสะอาดผักอย่างระมัดระวัง *คัมภีร์หลุนอวี่ คือ บันทึกการอ่านคำสอนขงจื๊อเป็นคัมภีร์พื้นฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาปรัชญาสำนักขงจื๊อ ซึ่งภายในคัมภีร์หลุนอวี่นั้น ได้บรรจุคำสอนของขงจื๊อ โดยเหล่าลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับขงจื๊อเป็นผู้รวบรวมและบันทึกคำสอน หลังจากที่ขงจื๊อถึงแก่อนิจกรรม เมื่อทำงานเสร็จ หยุนเชวี่ยจึงลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งลงข้างน้องชาย “ว่ามาเลย ท่องสิ่งที่เจ้าเรียนรู้วันนี้ให้พี่สาวฟังหน่อย” เสี่ยวอู่หลับตาลงขณะเผยสีหน้าเรียบเฉย “ขงจื๊อกล่าวว่าสุภาพบุรุษไม่มีความอยากอาหาร ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่แสวงหาความสงบสุข คล่องแคล่วว่องไวในสิ่งต่างๆ แต่ระมัดระวังในคำพูด มีวิถีและความชอบธรรมสามารถกล่าวได้ว่าตนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้” “ขงจื๊อกล่าวว่าเจ้าไม่ได้สังเวยและยกย่องผี ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีความกล้าที่จะทำสิ่งที่ควรทำ” “ขงจื๊อกล่าวว่าตลอดทั้งวันที่ข้าสอนตำราให้เหยียนฮุ่ย เขาไม่เอ่ยสงสัยหรือตั้งคำถามกับเรื่องใดราวคนโง่ หลังจากเหยียนฮุ่ยกลับไป ข้าจึงครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดและการใช้ชีวิตในทุกแง่มุมจึงทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนโง่” “ขงจื๊อกล่าวว่า…” ดวงตาสีเข้มและน้ำเสียงอ่อนโยนของเสี่ยวอู่ช่างตรงข้ามกับช่วงวัยเก้าขวบของเขายิ่ง แม้ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาที่เสี่ยวอู่ท่อง ทว่าหยุนเชวี่ยก็เคาะนิ้วลงบนโต๊ะตามจังหวะ เสี่ยวอู่ท่องสิบประโยคนั้นอย่างช้า ๆ ก่อนลุกขึ้นสะบัดน้ำออกจากมือพลางหันไปหั่นผักต่อ มือเล็กหั่นถั่วฝักยาวออกเป็นชิ้น ๆ โดยมีขนาดเท่ากันทุกอัน “เสี่ยวอู่ของเราเก่งทั้งในห้องเรียนและในห้องครัว เหวินเหนิงสะบัดพู่กันเพื่อปกป้องโลก ส่วนอู่เหนิงขี่ม้าเพื่อกำหนดชะตาของโลก*” หยุนเชวี่ยยกนิ้วโป้งพลางเอ่ยชมน้องชายไม่ขาดปาก *เหวินเหนิงสะบัดพู่กันเพื่อปกป้องโลก ส่วนอู่เหนิงขี่ม้าเพื่อกำหนดชะตาของโลก หมายความว่า ความสามารถในการเขียนสามารถทำให้โลกสงบลง และในแง่ของศิลปะการต่อสู้ คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้เพียงขี่ม้า เสี่ยวอู่วางมีดอย่างใจเย็น ช่วยไม่ได้… ใครบอกให้พี่สาวคนรองของเขาซุ่มซ่ามจนมีดบาดมือทุกครั้งที่ถือมันเล่า หนึ่งครั้ง สองครั้ง… นับไม่ถ้วนจนตัวเขาเองก็จำไม่ได้ ซานหลางหยุนอี้กลับมาถึงบ้านแล้ว เขาเดินตรงไปยังที่เก็บฟืนและโยนฟืนในอ้อมแขนลงอย่างแรงก่อนเดินสะบัดตูดเข้าไปที่ปีกตะวันตกของบ้านทันที “เชวี่ยเอ๋ออย่าลืมน่องไก่ที่เจ้าสัญญาไว้ล่ะ” หยุนอี้มองเข้าไปในหม้อขณะที่กลิ่นหอมของซุปไก่ลอยเตะจมูกของเขา “ไม่ลืมหรอกน่า ท่านพี่กลับไปก่อนเถอะ อย่าให้ท่านปู่รู้เรื่องนี้ล่ะ” ซานหลางฉีกยิ้ม “ข้าจะไปรอที่หลังบ้าน เร็ว ๆ เข้าล่ะ” น้ำต้มไก่ในหม้อยังคงเดือดพล่าน หยุนเชวี่ยเหลือบมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ นางหยิบทัพพีขึ้นตักชั้นน้ำมันที่อยู่บนน้ำซุปออกก่อนฉีกเนื้อไก่และเอามือจับติ่งหูเพื่อดับร้อนที่มือ ปีกตะวันตก หยุนเชวี่ยคีบขาไก่ขึ้นมา “นี่ ขาไก่ของท่านพี่” ซานหลางเอื้อมมือไปหยิบขาไก่โดยไม่คำนึงถึงความร้อนก่อนกัดคำใหญ่พลางส่งเสียงในลำคออย่างพึงพอใจ “อืม…” หยุนอี้กัดขาไก่คำโตราวกับตือโป๊ยก่ายกำลังแทะผลโสม ขาไก่ร้อนเสียจนน้ำตาไหลทำให้ลิ้นพองจนรับรสไม่ได้ “กินเสร็จแล้วอย่าลืมล้างปากล่ะเจ้าคะ” หยุนเชวี่ยไม่ลืมที่จะให้คำแนะนำ ซานหลางพยักหน้าตอบรับพลางกัดขาไก่เข้าไปอีกคำก่อนขมวดคิ้วและวิจารณ์ “นี่ ขาไก่ยังไม่เปื่อยเลย และอีกอย่างน้ำซุปก็ไม่อร่อยเท่าไหร่” แบ่งเป็นสองครอบครัวแล้ว เจ้าหมีอ้วนก็ยังจะโลภมากอีก… หยุนเชวี่ยถอนหายใจ “อะไรนะ? ข้าอุตส่าห์แบ่งไก่ให้เจ้าตั้งครึ่งหนึ่งอีกทั้งยังแบ่งเงินให้เข้าสิบเหรียญด้วย” “เจ้าให้เงินสิบเหรียญแก่ข้าตั้งแต่เมื่อไร แล้วก็ไข่ไก่สองฟองนั้นข้าก็ไม่อยากได้เสียหน่อย เจ้าโง่!” ซานหลางก้มหน้าก้มตากินเนื้อไก่โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดมหันต์ หยุนเชวี่ยเลิกคิ้ว มันคือไข่ไก่สองฟองจริง ๆ แน่นอนว่าชายชราไม่ได้ใจดีนัก! ครั้งนี้หลานชายของเขาล้ำเส้นเกินไปแล้ว! “พี่สาม ท่านโกหกข้า ท่านปู่ไม่ได้บอกให้ท่านมาเก็บเงินสิบเหรียญจากข้าใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางยืนกอดอก หยุนอี้เมินเฉยต่ออีกฝ่ายพลางฮัมเพลงและแทะขาไก่ต่อไป “พี่สาม?” “โกหกหรือ?” หยุนอี้แทะขาไก่ก่อนปากระดูกทิ้งและดูดนิ้วที่มันเยิ้ม “อย่างไรเสียข้าก็กินไปแล้ว” ตะกละเหมือนแม่นางเฉินไม่มีผิด… หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ริมฝีปากของซานหลางมันเยิ้ม “เจ้าต้องการอะไร?” “พี่สาม มาคุยกันหน่อย…” เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มของหยุนเชวี่ย หยุนอี้พลันนึกขึ้นได้ว่าหยุนชิ่วเอ๋อและป้าสะใภ้ใหญ่มักบ่นว่านางร้ายกาจเหลือหลาย หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะ “มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพี่สามแน่นอน…” หยุนเชวี่ยพูดไม่ทันจบ ซานหลางก็โพล่งขึ้นเสียก่อน “ดีอย่างไร?” “ฮ่าฮ่า…” หยุนเชวี่ยเดินเข้าไปกระซิบพลางใช้มือป้องปาก “หลังจากนี้หากท่านปู่ ท่านย่า หยุนชิ่วเอ๋อ และท่านลุงใหญ่หารือกัน ท่านช่วยมาบอกข้าด้วย แล้วข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ท่านกิน… ดีหรือไม่?” ซานหลางหลอกตา “อาหารอร่อย ๆ รึ?” “ขนมหวาน ผลไม้ น่องไก่ และลูกอม…” “อึก…” ซานหลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทว่าแสร้งวางท่า “สิ่งที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นขนมหลอกเด็ก เจ้าต้องให้เงินข้าสิบเหรียญทุกครั้ง” หยุนเชวี่ยกลอกตา “ลืมไปเสียเถิด” หยุนเชวี่ยตอบโดยไม่ลังเลก่อนหันกลับพร้อมโบกมือ “หากไม่ทำ ท่านพี่ก็ไม่ต้องกินอาหารอร่อย ๆ” เมื่อเห็นว่าหยุนเชวี่ยกำลังจะเดินจากไป ซานหลางกัดฟันกรอดขณะที่กลิ่นหอมของเนื้อไก่ยังหลงเหลืออยู่ในปาก “กลับมานะ!” หยุนเชวี่ยหยุดชะงักก่อนหันกลับอย่างมีความสุข… หยุนอี้และหยุนเชวี่ยเดินออกมาจากปีกตะวันตกทีละคน ซานหลางมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังราวกับหัวขโมยก่อนเดินเลียบไปตามกำแพง หยุนเชวี่ยฉีกยิ้มอย่างมีความสุขพร้อมเผยท่าทีผ่อนคลาย “พวกเจ้าแอบไปซุบซิบอะไรกัน?” หยุนเยี่ยนไม่อาจคาดเดาความคิดที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้น ครั้งสุดท้ายที่เด็กคนนี้ส่งยิ้มให้หยุนชิ่วเอ๋อ ภายในสองวันให้หลังนางก็ถูกลอบทำร้ายกลางดึกจนตกลงไปในบ่อมูลสัตว์ แม้ว่านางปฏิเสธที่จะยอมรับ ทว่าลึก ๆ แล้วหยุนเยี่ยนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ “ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรหรอก” หยุนเชวี่ยยกฝาหม้อขึ้นพลางชะโงกหน้าเข้าไปมองอย่างไม่ใส่ใจ “พี่สาว ซุปไก่เดือดได้ที่แล้ว ยกไปกินกันเถอะ” “เชวี่ยเอ๋อ บอกพี่มาได้นะ ซานหลางน่ะ…” หยุนเยี่ยนเหลือบมองไปทางห้องโถงใหญ่ “ซานหลางเป็นคนไม่เอาไหน เจ้าอย่าไปอยู่ใกล้เขาเลย หากไม่เชื่อฟัง… ท่านพ่อกับท่านแม่จะตำหนิเอา…”
ตอนที่ 75 เมินเฉยต่อเสียงนกเสียงกา
หยุนลี่เต๋อกลับมาจากทำนาและเดินตรงเข้าไปในปีกตะวันตกของบ้านทันทีโดยไม่แม้แต่จะพักดื่มน้ำ
หยุนเยี่ยนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ ลงด้านข้างพลางขยับพัดเบา ๆ “พี่สาว ใส่บะหมี่กับไข่สองฟองลงไปแล้วเติมน้ำซุปหนึ่งทัพพี กินแล้วสดชื่นแน่นอน”
“ข้าไม่รู้ว่ามันทำอย่างไร แต่ข้าเชื่อว่ารสชาติมันต้องไม่แย่แน่นอน” หยุนเยี่ยนปาดเหงื่อและมองน้องสาวด้วยสายตาขบขัน
“ถ้าอย่างนั้นบะหมี่ต้องกลมกล่อมมากแน่… พี่สาวพักก่อนเถิด เดี๋ยวข้ามา” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางพับแขนเสื้อขึ้น
“อย่าสร้างปัญหานะ…”
“ข้าแค่จะเก็บถั่วฝักยาวและแตงกวาสองลูกมากินบะหมี่น่ะ”
“เลือกอันที่อยู่ข้างในนะ…” หยุนเยี่ยนกระซิบ
“รู้แล้วน่า!”
หยุนเชวี่ยรับปาก ทว่าทันทีที่เข้าไปในสวนผัก นางก็เลือกผักที่สดและมีฝักอ่อนจนลืมสิ่งที่พี่สาวเตือนจนสิ้น
อย่างไรก็ตามเสียงก่นด่าสามเวลาหลังอาหารของแม่เฒ่าจูไม่เคยขาดหาย ดังนั้นนางจึงเรียนรู้จากแม่นางเฉินว่าปล่อยให้คำเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไป อย่าได้เก็บมาใส่ใจ
“อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระเลย” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะพลางยกยิ้มกับตนเองขณะสูดหายใจเข้าลึก
เมื่อเสี่ยวอู่มาถึงบ้าน เขาเห็นพี่รองนั่งยอง ๆ และยิ้มกับตนเองอยู่ในแปลงผักก่อนส่ายศีรษะอย่างเงียบ ๆ พลางตักน้ำขึ้นดื่ม
“เช้านี้เฟิงซิ่วไฉสอนอะไรบ้าง?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพลางเดินออกจากแปลงผักโดยที่คราบโคลนเกาะติดรองเท้าของนาง
“คัมภีร์หลุนอวี่*” เสี่ยวอู่รับถั่วฝักยาวมาจากมือของพี่สาวพลางพับแขนเสื้อขึ้นก่อนล้างทำความสะอาดผักอย่างระมัดระวัง
*คัมภีร์หลุนอวี่ คือ บันทึกการอ่านคำสอนขงจื๊อเป็นคัมภีร์พื้นฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาปรัชญาสำนักขงจื๊อ ซึ่งภายในคัมภีร์หลุนอวี่นั้น ได้บรรจุคำสอนของขงจื๊อ โดยเหล่าลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับขงจื๊อเป็นผู้รวบรวมและบันทึกคำสอน หลังจากที่ขงจื๊อถึงแก่อนิจกรรม
เมื่อทำงานเสร็จ หยุนเชวี่ยจึงลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งลงข้างน้องชาย “ว่ามาเลย ท่องสิ่งที่เจ้าเรียนรู้วันนี้ให้พี่สาวฟังหน่อย”
เสี่ยวอู่หลับตาลงขณะเผยสีหน้าเรียบเฉย
“ขงจื๊อกล่าวว่าสุภาพบุรุษไม่มีความอยากอาหาร ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่แสวงหาความสงบสุข คล่องแคล่วว่องไวในสิ่งต่างๆ แต่ระมัดระวังในคำพูด มีวิถีและความชอบธรรมสามารถกล่าวได้ว่าตนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้”
“ขงจื๊อกล่าวว่าเจ้าไม่ได้สังเวยและยกย่องผี ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีความกล้าที่จะทำสิ่งที่ควรทำ”
“ขงจื๊อกล่าวว่าตลอดทั้งวันที่ข้าสอนตำราให้เหยียนฮุ่ย เขาไม่เอ่ยสงสัยหรือตั้งคำถามกับเรื่องใดราวคนโง่ หลังจากเหยียนฮุ่ยกลับไป ข้าจึงครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดและการใช้ชีวิตในทุกแง่มุมจึงทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนโง่”
“ขงจื๊อกล่าวว่า…”
ดวงตาสีเข้มและน้ำเสียงอ่อนโยนของเสี่ยวอู่ช่างตรงข้ามกับช่วงวัยเก้าขวบของเขายิ่ง
แม้ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาที่เสี่ยวอู่ท่อง ทว่าหยุนเชวี่ยก็เคาะนิ้วลงบนโต๊ะตามจังหวะ
เสี่ยวอู่ท่องสิบประโยคนั้นอย่างช้า ๆ ก่อนลุกขึ้นสะบัดน้ำออกจากมือพลางหันไปหั่นผักต่อ
มือเล็กหั่นถั่วฝักยาวออกเป็นชิ้น ๆ โดยมีขนาดเท่ากันทุกอัน
“เสี่ยวอู่ของเราเก่งทั้งในห้องเรียนและในห้องครัว เหวินเหนิงสะบัดพู่กันเพื่อปกป้องโลก ส่วนอู่เหนิงขี่ม้าเพื่อกำหนดชะตาของโลก*” หยุนเชวี่ยยกนิ้วโป้งพลางเอ่ยชมน้องชายไม่ขาดปาก
*เหวินเหนิงสะบัดพู่กันเพื่อปกป้องโลก ส่วนอู่เหนิงขี่ม้าเพื่อกำหนดชะตาของโลก หมายความว่า ความสามารถในการเขียนสามารถทำให้โลกสงบลง และในแง่ของศิลปะการต่อสู้ คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้เพียงขี่ม้า
เสี่ยวอู่วางมีดอย่างใจเย็น
ช่วยไม่ได้… ใครบอกให้พี่สาวคนรองของเขาซุ่มซ่ามจนมีดบาดมือทุกครั้งที่ถือมันเล่า หนึ่งครั้ง สองครั้ง… นับไม่ถ้วนจนตัวเขาเองก็จำไม่ได้
ซานหลางหยุนอี้กลับมาถึงบ้านแล้ว เขาเดินตรงไปยังที่เก็บฟืนและโยนฟืนในอ้อมแขนลงอย่างแรงก่อนเดินสะบัดตูดเข้าไปที่ปีกตะวันตกของบ้านทันที
“เชวี่ยเอ๋ออย่าลืมน่องไก่ที่เจ้าสัญญาไว้ล่ะ” หยุนอี้มองเข้าไปในหม้อขณะที่กลิ่นหอมของซุปไก่ลอยเตะจมูกของเขา
“ไม่ลืมหรอกน่า ท่านพี่กลับไปก่อนเถอะ อย่าให้ท่านปู่รู้เรื่องนี้ล่ะ”
ซานหลางฉีกยิ้ม “ข้าจะไปรอที่หลังบ้าน เร็ว ๆ เข้าล่ะ”
น้ำต้มไก่ในหม้อยังคงเดือดพล่าน
หยุนเชวี่ยเหลือบมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ นางหยิบทัพพีขึ้นตักชั้นน้ำมันที่อยู่บนน้ำซุปออกก่อนฉีกเนื้อไก่และเอามือจับติ่งหูเพื่อดับร้อนที่มือ
ปีกตะวันตก
หยุนเชวี่ยคีบขาไก่ขึ้นมา “นี่ ขาไก่ของท่านพี่”
ซานหลางเอื้อมมือไปหยิบขาไก่โดยไม่คำนึงถึงความร้อนก่อนกัดคำใหญ่พลางส่งเสียงในลำคออย่างพึงพอใจ “อืม…”
หยุนอี้กัดขาไก่คำโตราวกับตือโป๊ยก่ายกำลังแทะผลโสม ขาไก่ร้อนเสียจนน้ำตาไหลทำให้ลิ้นพองจนรับรสไม่ได้
“กินเสร็จแล้วอย่าลืมล้างปากล่ะเจ้าคะ” หยุนเชวี่ยไม่ลืมที่จะให้คำแนะนำ
ซานหลางพยักหน้าตอบรับพลางกัดขาไก่เข้าไปอีกคำก่อนขมวดคิ้วและวิจารณ์ “นี่ ขาไก่ยังไม่เปื่อยเลย และอีกอย่างน้ำซุปก็ไม่อร่อยเท่าไหร่”
แบ่งเป็นสองครอบครัวแล้ว เจ้าหมีอ้วนก็ยังจะโลภมากอีก…
หยุนเชวี่ยถอนหายใจ “อะไรนะ? ข้าอุตส่าห์แบ่งไก่ให้เจ้าตั้งครึ่งหนึ่งอีกทั้งยังแบ่งเงินให้เข้าสิบเหรียญด้วย”
“เจ้าให้เงินสิบเหรียญแก่ข้าตั้งแต่เมื่อไร แล้วก็ไข่ไก่สองฟองนั้นข้าก็ไม่อยากได้เสียหน่อย เจ้าโง่!” ซานหลางก้มหน้าก้มตากินเนื้อไก่โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดมหันต์
หยุนเชวี่ยเลิกคิ้ว มันคือไข่ไก่สองฟองจริง ๆ
แน่นอนว่าชายชราไม่ได้ใจดีนัก! ครั้งนี้หลานชายของเขาล้ำเส้นเกินไปแล้ว!
“พี่สาม ท่านโกหกข้า ท่านปู่ไม่ได้บอกให้ท่านมาเก็บเงินสิบเหรียญจากข้าใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางยืนกอดอก
หยุนอี้เมินเฉยต่ออีกฝ่ายพลางฮัมเพลงและแทะขาไก่ต่อไป
“พี่สาม?”
“โกหกหรือ?” หยุนอี้แทะขาไก่ก่อนปากระดูกทิ้งและดูดนิ้วที่มันเยิ้ม “อย่างไรเสียข้าก็กินไปแล้ว”
ตะกละเหมือนแม่นางเฉินไม่มีผิด…
หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
ริมฝีปากของซานหลางมันเยิ้ม “เจ้าต้องการอะไร?”
“พี่สาม มาคุยกันหน่อย…”
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มของหยุนเชวี่ย หยุนอี้พลันนึกขึ้นได้ว่าหยุนชิ่วเอ๋อและป้าสะใภ้ใหญ่มักบ่นว่านางร้ายกาจเหลือหลาย
หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะ “มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพี่สามแน่นอน…”
หยุนเชวี่ยพูดไม่ทันจบ ซานหลางก็โพล่งขึ้นเสียก่อน “ดีอย่างไร?”
“ฮ่าฮ่า…”
หยุนเชวี่ยเดินเข้าไปกระซิบพลางใช้มือป้องปาก “หลังจากนี้หากท่านปู่ ท่านย่า หยุนชิ่วเอ๋อ และท่านลุงใหญ่หารือกัน ท่านช่วยมาบอกข้าด้วย แล้วข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ท่านกิน… ดีหรือไม่?”
ซานหลางหลอกตา “อาหารอร่อย ๆ รึ?”
“ขนมหวาน ผลไม้ น่องไก่ และลูกอม…”
“อึก…” ซานหลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทว่าแสร้งวางท่า “สิ่งที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นขนมหลอกเด็ก เจ้าต้องให้เงินข้าสิบเหรียญทุกครั้ง”
หยุนเชวี่ยกลอกตา
“ลืมไปเสียเถิด” หยุนเชวี่ยตอบโดยไม่ลังเลก่อนหันกลับพร้อมโบกมือ “หากไม่ทำ ท่านพี่ก็ไม่ต้องกินอาหารอร่อย ๆ”
เมื่อเห็นว่าหยุนเชวี่ยกำลังจะเดินจากไป ซานหลางกัดฟันกรอดขณะที่กลิ่นหอมของเนื้อไก่ยังหลงเหลืออยู่ในปาก “กลับมานะ!”
หยุนเชวี่ยหยุดชะงักก่อนหันกลับอย่างมีความสุข…
หยุนอี้และหยุนเชวี่ยเดินออกมาจากปีกตะวันตกทีละคน
ซานหลางมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังราวกับหัวขโมยก่อนเดินเลียบไปตามกำแพง
หยุนเชวี่ยฉีกยิ้มอย่างมีความสุขพร้อมเผยท่าทีผ่อนคลาย
“พวกเจ้าแอบไปซุบซิบอะไรกัน?” หยุนเยี่ยนไม่อาจคาดเดาความคิดที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้น
ครั้งสุดท้ายที่เด็กคนนี้ส่งยิ้มให้หยุนชิ่วเอ๋อ ภายในสองวันให้หลังนางก็ถูกลอบทำร้ายกลางดึกจนตกลงไปในบ่อมูลสัตว์
แม้ว่านางปฏิเสธที่จะยอมรับ ทว่าลึก ๆ แล้วหยุนเยี่ยนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
“ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรหรอก” หยุนเชวี่ยยกฝาหม้อขึ้นพลางชะโงกหน้าเข้าไปมองอย่างไม่ใส่ใจ “พี่สาว ซุปไก่เดือดได้ที่แล้ว ยกไปกินกันเถอะ”
“เชวี่ยเอ๋อ บอกพี่มาได้นะ ซานหลางน่ะ…” หยุนเยี่ยนเหลือบมองไปทางห้องโถงใหญ่ “ซานหลางเป็นคนไม่เอาไหน เจ้าอย่าไปอยู่ใกล้เขาเลย หากไม่เชื่อฟัง… ท่านพ่อกับท่านแม่จะตำหนิเอา…”