ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 52 ข้าโกรธเจ้ามาก
ตอนที่ 52 ข้าโกรธเจ้ามาก
ผู้เฒ่าหยุนนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด
หยุนลี่จงขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าถูกคำพูดของน้องชายแทงใจดำเข้าอย่างจัง
ในช่วงหลายปีก่อน หยุนลี่จงมีสมญานามว่าบัณฑิตผู้มากความสามารถ แต่หลังจากเริ่มเรียนไปไม่กี่เดือน เขาก็เริ่มเที่ยวเสเพล
ต่อมาเนื่องจากเขาอยู่ไกลบ้านไม่มีใครเคี่ยวเข็ญจึงทำให้เขาขาดเรียนบ่อย ดังนั้นหยุนลี่จงจึงเรียนจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันและถูกเรียกตัวกลับบ้านทันที
ตั้งแต่นั้นมาหยุนลี่จงจึงปฏิเสธที่จะออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ โดยอ้างว่าต้องการอ่านหนังสือเพื่อสอบขุนนาง แต่ปีแล้วปีเล่าก็ยังสอบไม่ผ่านสักครั้ง
“น้องสาม ข้าก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนเพื่อต้องการทำให้ตระกูลของเรารุ่งโรจน์ขึ้นอย่างไรล่ะ!” หยุนลี่จงเถียงข้าง ๆ คู ๆ
“โอ้…” หยุนลี่เซี่ยวเย้ยหยัน “นี่ก็สิบกว่าปีแล้ว ท่านไม่ละอายหรือที่เข้าสอบทุกปี แต่สอบไม่ผ่านสักปี…”
“เจ้าพูดเกินไปแล้ว!”
คำพูดของหยุนลี่เซี่ยวทำให้หยุนลี่จงรู้สึกราวกับโดนตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง จนเขารู้สึกทั้งอับอายและโกรธแค้นจนริมฝีปากสั่นระริก
“พวกเราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ เหตุใดน้องสามถึงพูดจาร้ายกาจเช่นนี้เล่า?” แม่นางจ้าวยกยิ้มพร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านพี่มีอนาคตที่สดใสและเจ้าต้องได้พึ่งพาเขาแน่นอน แต่เหตุใดถึงเกลียดชังกันเช่นนี้!”
“พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก!” หยุนลี่เซี่ยวกระแนะกระแหน “วันนี้ข้าจะปล่อยวางความเกลียดชังทุกอย่าง แต่หากพี่ใหญ่กล้าเนรคุณ เราจะได้เห็นดีกันแน่!”
หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับหยุนซิ่วเอ๋อ หยุนลี่เซี่ยวก็รู้แจ้งว่าหยุนลี่จงไม่ได้ถือว่าตนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา
หยุนลี่จงเป็นคนที่มีนิสัยฉลาดแกมโกง หากเขาได้ดิบได้ดีแล้วจะไม่เฉดหัวตนทิ้งหรือ? แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
ใบหน้าของแม่นางจ้าวเจื่อนลงเล็กน้อยก่อนเผยสีหน้าโกรธเคืองพลางใช้เท้าแตะเท้าของหยุนซิ่วเอ๋อเบา ๆ
หยุนซิ่วเอ๋อมองทั้งสองคนเถียงกันไปมาพลางใช้นิ้วเกี่ยวปอยผมเล่น
อันที่จริงนางตั้งความหวังไว้กับหยุนลี่จงไม่น้อยไปกว่าผู้เฒ่าหยุนเลย
การหมั้นหมายกับตระกูลหยูถูกปฏิเสธแล้ว และนางต้องการแต่งงานกับลูกชายของขุนนางเพื่อชีวิตที่สุขสบาย ดังนั้นคนที่สามารถช่วยนางได้มีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้น
ทุกคนในครอบครัวต่างมีความคิดเป็นของตนเอง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแม่เฒ่าจูก็เริ่มบ่นอีกครั้ง
“ความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งที่ข้าไม่เคยได้สัมผัส! เมื่อถึงเวลาที่ข้าจะได้สัมผัสมันก็ยังมีอุปสรรคมาขัดขวางอีกรึ…”
หลังจากโต้เถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ พ่อเฒ่าหยุนจึงถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ!”
“ท่านพ่อ…” หยุนลี่จงเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ความคาดหวัง การอ้อนวอน ความอิ่มเอมใจ และความเศร้าโศก
“หยุดเถียงกันสักที แค่นี้ยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ!”
ผู้เฒ่าหยุนมองหยุนลี่จงด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เคยเป็นเด็กเรียนเก่งและมีความมุ่งมั่นหายไปที่ไหนแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าเรื่องทุกอย่างเลยเถิดมาถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ดูเหมือนว่าลึก ๆ แล้วผู้เฒ่าหยุนจะเสียใจอยู่ไม่น้อย
เขาต้องสิ้นหวังเพียงใด ถึงต้องใช้วิธีสกปรกเช่นการติดสินบนเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคม
“ข้าตกลง…” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ลำคอของเขาแห้งผาก “เจ้าต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
“ท่านพ่อ!” ยังไม่ทันที่หยุนลี่จงจะเอ่ยตอบ หยุนลี่เซี่ยวก็โพล่งขึ้นเสียก่อน “ครอบครัวของเราต้องถูกเย้ยหยันแน่! ท่านพ่อกำลังจะใช้เงินจำนวนมากไปกับเรื่องเปล่าประโยชน์นะขอรับ!”
“หุบปาก!” ชายชราคำรามเสียงดังด้วยความโมโห “ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิออกความเห็น!”
“ท่านพ่อ!”
“ลี่เซี่ยว ไสหัวออกไปซะ ถ้าเจ้าจะดูถูกครอบครัวเราถึงเพียงนี้ ! จากนี้ไปลี่จงจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”
ผู้เฒ่าหยุนมองหยุนลี่เซี่ยวด้วยสายตาโกรธเคือง
นี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกัน!
“ลูกชาย ตอบมาสิ” ดวงตาอันน่ากลัวของผู้เฒ่าหยุนมองมาที่หยุนลี่จงอีกครั้ง
ภายในใจหยุนลี่จงรู้สึกผิดยิ่งนัก เขามองใบหน้าคนในครอบครัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง “นะ หนึ่งร้อยตำลึงขอรับ”
ครานี้ไม่เพียงแต่หยุนลี่จงเท่านั้นที่ตกตะลึง แม่เฒ่าจูก็ตกตะลึงกับคำตอบของลูกชายเช่นกัน
“หนึ่งร้อยตำลึง! ขายวัว ควาย และม้าทุกตัวยังได้เงินไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึงเลย! ข้าให้กำเนิดคนฟุ่มเฟือยอย่างเจ้าได้เช่นไร!”
หยุนลี่จงถอนหายใจก่อนกล่าวตอบ “ฟุ่มเฟือยหรือ? ข้าไม่เคยแบมือขอเงินท่านแม้แต่เหรียญเดียว แต่เมื่อข้าเอ่ยปากขอเงินสิบตำลึง ท่านถึงกับด่าข้าว่าฟุ่มเฟือยเลยรึ?”
หยุนลี่จงนิ่งเงียบเพื่อรอให้ผู้เฒ่าหยุนกล่าวต่อ
หนึ่งร้อยตำลึง
ผู้เฒ่าหยุนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าคิดว่ามีโอกาสสอบผ่านมากน้อยเพียงใด?”
“ร้อยละเก้าสิบเก้าขอรับ!” หยุนลี่จงเอ่ยตอบอย่างมั่นใจก่อนเลียริมฝีปาก ขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งประกาย “ท่านพ่อ ครานี้ผู้เข้าสอบคนอื่นหารือกันด้วยว่าจะจ้างผู้เชี่ยวชาญมาติวเข้มด้วยขอรับ พวกเขามุ่งมั่นกันจริง ๆ!”
“อืม ร้อยละเก้าสิบเก้า… แล้วถ้าเจ้าล้มเหลวล่ะ?” หยุนลี่เซี่ยวโพล่งขึ้น “หนึ่งร้อยตำลึงจะมีประโยชน์หรือไม่? หากมีการสอบคราหน้าเจ้าจะไม่สั่งให้ท่านพ่อท่านแม่ไปขอทานที่หมู่บ้านข้าง ๆ รึ?”
“ข้าทำได้!” หยุนลี่จงพยักหน้าด้วยความมุ่งมั่น “ท่านพ่อ ข้าทำได้แน่นอนขอรับ!”
ชายชรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนลุกยืนขึ้นพลางเอามือไพล่หลัง “ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ!”
ร่างกายของแม่นางเฉินโชกไปด้วยเหงื่อขณะทำอาหารอยู่ภายในห้องครัว นางบ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่งก่อนยกอาหารไปวางบนโต๊ะอาหาร
ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารต่างปิดปากเงียบ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ผู้เฒ่าหยุน
หยุนเชวี่ยแอบฟังพวกเขาโต้เถียงกันที่ด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าทุกคนเดินออกมาจากห้องชั้นบนแล้ว นางจึงกลับไปที่บ้านของตน
“ท่านปู่กับคนอื่น ๆ ลงมากินข้าวเย็นหรือยัง?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามขณะเย็บเสื้อผ้า
“อืม ลงมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เอาเนื้อไก่ชามนี้ไปให้ท่านปู่ของเจ้าด้วยสิ” แม่นางเหลียนเปิดหม้อต้มด้วยท่าทีเบิกบานใจ “มันยังร้อนอยู่นะ!”
ภายในชามลายครามขนาดใหญ่เต็มไปด้วยเนื้อไก่ฟ้า
แม่นางเหลียนเป็นคนใจกว้างและมีเมตตา หากมีใครทำให้นางเจ็บช้ำใจ นางจะโกรธคนผู้นั้นได้เพียงไม่นานก็กลับมาใจดีกับเขาดังเดิม
โกรธก็ส่วนโกรธ กตัญญูก็ส่วนกตัญญู
หยุนเชวี่ยพลันคิดว่าแม่นางเหลียนเป็นคนมองโลกในแง่ดี เพราะไม่ว่าชีวิตจะรวยหรือจน นางก็ไม่ได้ยึดติดและยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดังเดิม
ขณะที่หยุนซิ่วเอ๋อกำลังจะคีบอาหารที่แม่นางเฉินปรุงเข้าปาก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ท่านปู่เจ้าคะ ท่านแม่ใช้ให้ข้าเอาอาหารมาให้เจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยวางชามลงบนโต๊ะอาหาร
“อืม” ชายชราตอบรับโดยไม่หันไปมองหยุนเชวี่ย
หยุนเชวี่ยคร้านจะต่อปากต่อคำกับพวกเขาจึงหันหลังออกไปทันที ขณะที่กำลังเดินออกไปนั้นนางพลันได้เสียงหยุนลี่เซี่ยวกล่าวประชด”แยกครอบครัวออกไปแล้ว ชีวิตคงดีขึ้นสินะถึงได้กินเนื้อทุกมื้อ ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาไปขายของในเมืองด้วยนี่…”
“จริงเจ้าค่ะ!” แม่นางเฉินกล่าวเสริมพลางมองเข้าไปในชามลายครามที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของผู้เฒ่าหยุนพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “นางยังเคยพูดว่าครอบครัวของนางไม่มีแม้แต่เงินซื้อขนมเปี๊ยะสอดไส้ อีกทั้งยังไม่เคยพูดถึงการตอบแทนบุญคุณเลยเจ้าค่ะ”
“ตอบแทนบุญคุณรึ?” หยุนซิ่วเอ๋อวางตะเกียบลงพลางเบิกตากว้างด้วยความโกรธ “พี่รองเห็นพวกเราเป็นขอทานหรือถึงส่งเนื้อชามนั้นมาให้! คงกลัวเราไม่รู้สินะว่าเขามีเงินแล้ว!”
ขณะนี้ภายในใจของหยุนเชวี่ยอัดแน่นไปด้วยความโกรธ นางจึงหันหลังกลับและเดินไปที่ห้องโถงทันที
“ไก่ฟ้าหนึ่งตัวแบ่งกินได้สองชาม ซึ่งชามหนึ่งแบ่งให้ท่านปู่ท่านย่าเพื่อแสดงความกตัญญู ส่วนอีกชามหนึ่งพวกเราเก็บไว้กินเองเจ้าค่ะ”
Related