ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 207 ฝันกลางวันของแม่นางเฉิน
ตอนที่ 207 ฝันกลางวันของแม่นางเฉิน
หยุนเชวี่ยเคยดูวิธีการทำผักดองเสฉวนจากรายการหนึ่ง ทั้งยังเคยทำตามขั้นตอนเหล่านั้น และพบว่ามันเป็นวิธีการทำที่ง่าย ซึ่งผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงสำเร็จรูปที่ใช้ดองนั้นมีรสชาติอร่อยสมกับเป็นตำราผักดองที่เลื่องชื่อ
หลังจากวางแผนกับเหอยาโถวแล้ว ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองไปซื้อไหใบใหญ่สำหรับหมักผักดอง รวมถึงหาซื้อวัตถุดิบและผักต่าง ๆ
เหอยาโถวกระตือรือร้นที่จะเริ่มการค้าใหม่ เขาชวนหยุนเชวี่ยเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อสำรวจสวนผักของชาวบ้าน “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าคิดว่าผักดองควรมีราคาเท่าใดจึงจะเหมาะสม?”
“พรุ่งนี้พวกเราไปเดินตลาดแล้วสังเกตว่าพวกชาวบ้านขายเท่าใด จากนั้นค่อยคำนวณเงินทุน” หยุนเชวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คำนวณเงินทุนงั้นหรือ?” เหอยาโถวแสดงท่าทีสับสนกับคำพูดแปลกใหม่ที่หยุนเชวี่ยมักหลุดปากออกมา
“มันคือเงินต้นที่เราใช้ซื้อไหผักดอง วัตถุดิบและเงินจ้างลูกน้อง รวมไปถึงเงินที่จะใช้ซื้อผักที่เอาไว้ดอง” หยุนเชวี่ยอธิบาย “เมื่อรู้ราคามาตรฐานของผักดองแล้ว เราจะเอาราคานั้นมาคำนวณว่ามันจะสามารถทำเงินกำไรได้เท่าใด”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เหอยาโถวตบศีรษะของตนเบา ๆ “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าเก่งมาก เจ้าสามารถคิดคำนวณได้ทุกอย่าง หากเช่นนั้นในภายหลังเจ้าสามารถมอบงานที่ต้องใช้กำลังมาให้ข้าได้เลย!”
“ถ้าเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด?” หยุนเชวี่ยหัวเราะคิกคัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็มีฝีมือนะ…” เหอยาโถวกล่าวอย่างถ่อมตนพร้อมเผยสีหน้าภาคภูมิใจ
เดิมทีเหอยาโถวเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าของตระกูล ในอดีตเขารู้สึกว่าตนเปรียบเสมือนฟืนไร้ค่า ทว่าเมื่อเริ่มทำงานและมีรายได้เหอยาโถวก็รู้สึกว่าตนมีประโยชน์ เนื่องจากเขาอยากเป็นที่ยอมรับของครอบครัว! โดยเฉพาะมารดา… เนื่องด้วยเหอยาโถวอยากซื้อผงชาดที่ร้านหงซิ่วให้มารดา ทั้งยังอยากให้ชาวบ้านในสิบลี้แปดเมืองเยินยอว่าลูกชายของนางกตัญญูและขยันขันแข็ง
ทั้งสองคนเดินสำรวจในหมู่บ้านทั้งวันและแยกย้ายกันกลับในตอนพลบค่ำพร้อมชาวบ้านที่กำลังกลับจากการทำนา
เมื่อเรื่องวุ่นวายที่ตระกูลหยุนพบเจอได้ผ่านพ้นไป สุขภาพของผู้เฒ่าหยุนก็ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ทว่าจิตใจของเขายังคงบอบช้ำ ส่วนแม่เฒ่าจูก็สบถด่าทอลูกหลานเป็นระยะจึงทำให้บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย หลังจากอาหารเย็น ลูกคนที่สามของพวกเขาก็กลับมาที่บ้าน
หยุนเยี่ยนกำลังปูเตียง แม่นางเหลียนนั่งเย็บผ้า เสี่ยวอู่ทบทวนตำรา ส่วนหยุนเชวี่ยเอนหลังนอนอย่างเกียจคร้านพลางหรี่ตามองไส้ตะเกียงน้ำมันที่วูบไหว
“พี่สะใภ้รอง…” แม่นางเฉินผลักประตูบ้านในปีกตะวันออก นางชะโงกร่างท้วมเข้ามาในบ้านครึ่งตัวพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนตากลายเป็นเส้นตรง
หยุนเชวี่ยที่กำลังเหม่อลอยพลันสะดุ้งตกใจก่อนรีบลุกขึ้นนั่งพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อาสะใภ้สาม เหตุใดท่านถึงไม่เคาะประตู!”
“ประตูบ้านของเจ้าไม่ได้ลงกลอน ไม่ใช่ว่าเปิดให้คนเข้ามาหรอกหรือ?” แม่นางเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวนราวกับอยู่ในบ้านของตน จากนั้นเดินเข้ามานั่งบนเตียงพลางมองสำรวจรอบ ๆ
“ที่บ้านข้าไม่มีอาหารให้ท่านกินแล้วเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยเบ้ปาก
“ดูเจ้าสิ เหตุใดถึงพูดจากับอาสะใภ้เช่นนี้” แม่นางเฉินกล่าวอย่างไม่ถือสาพลางรินชาให้ตนเองและดื่มอึกเดียวหมด “ข้ามาหาแม่ของเจ้าเพราะมีธุระต่างหาก!”
ยิ่งเห็นใบหน้ามันเยิ้มของแม่นางเฉิน หยุนเชวี่ยก็ยิ่งรู้สึกกังวลจึงเอื้อมมือไปดึงผ้าม่านที่คั่นระหว่างเตียงลง
“น้องสะใภ้สามมาหาข้าดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามขณะวางงานในมือลง
“เรื่องมงคลน่ะพี่สะใภ้รอง” แม่นางเฉินเหยียดยิ้มพลางขยิบตา “เรื่องที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง!”
แม่นางเหลียนงุนงงยิ่งกว่าเดิม
“พี่สะใภ้รอง ข้าอยากหาคู่แต่งงานให้กับเซียงเอ๋อ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“เซียงเอ๋อ? เรื่องแต่งงาน?” แม่นางเหลียนตะลึงงัน ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เอ่อ… เซียงเอ๋ออายุเท่ากับเสี่ยวอู่ หากพูดเรื่องแต่งงานตอนนี้ มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ?”
“หืม! รวดเร็วอะไรกัน?” แม่นางเฉินตบต้นขา “เสาะหาผู้ชายฐานะดี ๆ และไปทำความเคารพพ่อแม่สามีเร็วสักปีสองปี มีอะไรไม่ดีเล่า!”
ในสังคมศักดินาการแต่งงานตั้งแต่เด็กนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ซึ่งในสภาพสังคมปิตาธิปไตย บางครอบครัวจะมีความคิดว่าไม่ช้าก็เร็วลูกสาวของพวกเขาจะต้องแต่งงานออกเรือน อีกทั้งต้องมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นสินเดิมแก่นาง นอกจากนี้ยังคิดว่าการมีลูกสาวเปรียบเสมือนมีส้วมไว้หน้าบ้าน ดังนั้นเมื่อลูกสาวยังเยาว์ พวกเขาจึงเสาะหาครอบครัวที่มีฐานะดีและพูดคุยเรื่องงานแต่ง ยิ่งไปกว่านั้นครอบครัวที่มีฐานะยากไร้จนเลี้ยงดูลูกสาวไม่ไหวอีกต่อไป พ่อแม่เหล่านี้มักขายนางให้กับครอบครัวเศรษฐีในฐานะเจ้าสาวเด็ก
“น้องสะใภ้สาม เจ้าคงไม่… ขายเซียงเอ๋อกระมัง?” ใบหน้าของแม่นางเหลียนพลันเปลี่ยนเป็นบูดเบี้ยวทันที
คนบางกลุ่มคิดว่าการขายลูกสาวให้แก่ครอบครัวเศรษฐีคือพรที่พระเจ้าประทานให้ ทว่าเหตุผลที่แท้จริงของการกระทำนี้คือการเลี้ยงดูลูกสาวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่มีใครอยากเลี้ยงดูพวกนางโดยเปล่าประโยชน์หรอก
หากเป็นสะใภ้ของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจะต้องใช้แรงงานและต้องปรนนิบัติทุกคนในบ้านสามีตั้งแต่อายุยังน้อย และหากถูกขายให้กับครอบครัวเศรษฐี ชีวิตของพวกนางจะยิ่งย่ำแย่กว่านี้
การซื้อตัวเจ้าสาวเด็กมักมีสาเหตุมาจากลูกชายคนโตของตระกูลอ่อนแอและป่วยง่าย ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการดูแลคนป่วยเช่นนี้อีกต่อไปจึงซื้อตัวลูกสะใภ้ที่มีดวงสมพงษ์กับลูกชาย หรืออีกกรณีหนึ่งคือตระกูลนั้นไม่มีทายาท พวกเขาจึงซื้อตัวเจ้าสาวตัวน้อยให้มาเลี้ยงดูตนยามแก่ชรา
เด็กสาวเหล่านี้ถูกขายให้กับครอบครัวเศรษฐีในฐานะ ‘อนุ’ มิใช่ ‘ภรรยา’ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งในสังคมศักดินาเช่นนี้จะสามารถเห็นความแตกต่างในสถานะได้อย่างชัดเจน
หากเจ้าสาวเด็กเหล่านั้นไม่สามารถปรนนิบัติหรือทำงานบ้านไม่ถูกใจแม่สามี เด็กสาวเหล่านั้นก็จะถูกทอดทิ้งให้พบกับความทุกข์ยากที่ลำบากกว่าสาวรับใช้เสียอีก
ดังนั้นพ่อแม่ที่รักลูกดั่งแก้วตาดวงใจจึงไม่ยอมส่งลูกสาวในไส้ของตนให้ผู้อื่น หรือขายนางให้เป็นเจ้าสาวเด็กเด็ดขาด
“ดูพี่สะใภ้รองพูดเข้าสิ เซียงเอ๋อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า แล้วข้าจะกระทำการโหดเหี้ยมอย่างเช่นขายนางได้อย่างไร” แม่นางเฉินรีบปฏิเสธ “ข้าจะหาตระกูลดี ๆ ให้เซียงเอ๋อ และส่งนางไปเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม!”
แม่นางเหลียนคิดว่าคำพูดของแม่นางเฉินน่าสงสัย “ตอนนี้เซียงเอ๋อยังเยาว์ เจ้าจะรีบร้อนไปไย รอนางโตกว่านี้อีกไม่กี่ปีค่อยหาผู้มีคุณธรรมให้มาแต่งงานกับนางไม่ดีกว่าหรือ”
“มันไม่ดีหรือหากข้าจะให้นางแต่งงานกับตระกูลที่ดีที่สุดในหมู่บ้านของเรา? เซียงเอ๋อรอแต่งงานภายในสองสามปีได้ ทว่าผู้อื่นไม่สามารถรอได้!” แม่นางเฉินฉีกยิ้ม
แม้ไม่สามารถเห็นด้วยตาตนเอง แต่หยุนเชวี่ยก็ได้ยินคำพูดเหล่านั้นเต็มสองหู พลันใดนั้นลางสังหรณ์ไม่ดีพลันแล่นเข้ามาในความรู้สึก นางจึงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วจนเตียงส่งเสียง “เอี๊ยดอ๊าด”
“ตระกูลใด?” แม่นางเหลียนเอ่ยถาม
“ตระกูลเหออย่างไรล่ะ! ข้าถูกใจเหอเหลาซาน!” ใบหน้ามันเยิ้มของแม่นางเฉินเปล่งประกายภายใต้แสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน “ตระกูลเหอเป็นตระกูลเศรษฐีและมีลูกชายเพียงคนเดียว นอกจากนี้ลูกสาวของเขายังมีสามีเป็นผู้มีอิทธิพล หากเซียงเอ๋อแต่งเข้าตระกูลไป สินสอดทองหมั้นคงมากมายไม่น้อย!”