ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1633 ยกนิ้วให้
บทที่ 1633 ยกนิ้วให้
……….
บทที่ 1633 ยกนิ้วให้
“ทำไมเจ้าถึงยืนนิ่งอยู่ล่ะ มานี่ นั่งลง นั่งลง” ซูเทียนซื่อลุกขึ้นจากโต๊ะ ตรงมาที่โต๊ะไม้จันทน์ฝังทองคำก่อนที่จะนั่งลง
นอกจากนี้เขายังชี้ไปที่เก้าอี้อีกตัวและเชิญกู้เสี่ยวหวานให้นั่งลงด้วยกัน
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเก้าอี้ตัวนั้น อยู่ด้านขวามือของฮ่องเต้ซึ่งใกล้กับอีกฝ่ายมาก หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว นางจึงตัดสินใจไม่ไปนั่ง “ขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาทเพคะ แต่ฝ่าบาทเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์ และเสี่ยวหวานก็เป็นเพียงหญิงสาวที่มาจากชนบท การได้เห็นฝ่าบาทด้วยตาของหม่อมฉันเองและได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งเสี้ยนจู่ระดับห้า ก็ถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดของหม่อมฉันแล้ว ถ้าหากหม่อมฉันนั่งลงไป เสี่ยวหวานกลัวว่าสถานะของหม่อมฉัน จะทำให้ความสูงศักดิ์ของฝ่าบาทจะแปดเปื้อนเอาได้เพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าหมายความว่า เจ้ากำลังตำหนิข้าที่มอบตำแหน่งให้เจ้าต่ำเกินไปงั้นหรือ” เสียงของซูเทียนซื่อเงียบลงทันที ราวกับว่าเขากำลังโกรธ
กู้เสี่ยวหวานพยายามพูดในใจว่านางไม่กลัว แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องโกหกเพราะอย่างไรนางก็เป็นร่างที่มีชีวิต ถ้านางทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคือง ศีรษะของนางอาจหลุดออกจากบ่าได้ทุกเมื่อ
นางมั่นใจว่าชีวิตนี้หากนางตายไป นางจะไม่สามารถกลับร่างจริงได้อีกอย่างแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานยังคงทะนุถนอมชีวิตของนาง ในชีวิตที่แล้วนางไม่ได้ทำอะไรมากเกินไป และชีวิตนี้นางก็ไม่ต้องการที่จะตายเร็วนัก ตอนนี้นางอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น
กู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนใจและพูดว่า “ไม่ใช่เพคะ”
ซูเทียนซื่อดื่มชาโสมเข้าไป แต่กลับไม่ยอมเปิดปากพูด เขายังคงรอให้นางพูดก่อน โดยปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้นางจะไม่ร้องไห้และอธิบายเหตุผลหรือ?
เขาจิบชารอไปสองแก้ว แต่คนที่ยืนข้างเขายังคงไม่พูดราวกับว่านางไม่คิดจะอธิบายอะไรเลย
ฮ่องเต้วางถ้วยชาลงบนโต๊ะไม้จันทน์อย่างแรง จนชาจำนวนมากในถ้วยหกออกมาด้านนอก
“เจ้ากล้าหาญมาก ตอบข้าด้วยคำง่าย ๆ เพียงสองคำ เจ้ามีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่” ซูเทียนซื่อถาม
“ฮ่องเต้เป็นความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ในต้าชิงนี้มีหญิงสาวที่มีความกล้าหาญมากมาย ฮ่องเต้อาจจำพวกนางไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เสี่ยวหวานได้เห็นฮ่องเต้ด้วยตาของตัวเองและได้รับตำแหน่งเสี้ยนจู่อันผิง การที่ฮ่องเต้เรียกตัวเสี่ยวหวานมาเป็นการส่วนตัวแบบนี้ เมื่อได้เจอฝ่าบาท เสี่ยวหวานก็รู้สึกหวาดกลัว ว่าความโง่เขลาของตัวเองจะทำให้ฮ่องเต้อับอาย ทุกคนรู้จักฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้รู้จักเพียงเสี่ยวหวาน นี่คือเกียรติอันยิ่งใหญ่ของเสี่ยวหวานเพคะ”
กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
คำพูดเหล่านี้ทำให้ซูเทียนซื่อรู้สึกร่าเริงขึ้น
ไม่ว่าเขาจะดูโตแค่ไหน เขาก็ยังเป็นแค่เด็กอายุสิบหกปีอยู่ดี
เขาตบโต๊ะและทันใดนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ขบขันกับประโยคหนึ่งในคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน “เจ้าบอกว่าทุกคนในต้าชิงรู้จักข้า แต่ข้าไม่เคยออกจากเมืองหลวงด้วยซ้ำ”
“ฝ่าบาทนั้นสูงส่ง ตราบใดที่สามัญชนมองขึ้นไป พวกเขาก็สามารถเห็นฮ่องเต้ที่กำลังทรงงานให้ดีที่สุดเพื่อพวกเขา”
กู้เสี่ยวหวานชี้ไปที่ศีรษะของนางและพูด ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเคารพ
ครั้งนี้กู้เสี่ยวหวานไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาของซูเทียนซื่อ แต่มองย้อนกลับไปหาอีกฝ่ายแทน
แสงระยิบระยับในดวงตาราวกับสายรุ้งที่งดงามที่สุดในท้องฟ้า มันเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์
“เจ้าหมายความว่าคนทั่วไปคิดว่าข้าเป็นฮ่องเต้ที่ดีอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของซูเทียนซื่อเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และเขาถามกู้เสี่ยวหวานอย่างระมัดระวัง
“เพคะ ในยามเกิดภัยพิบัติ ฮ่องเต้ทรงห่วงใยประชาชน ทรงเปิดยุ้งฉางและแจกจ่ายเงิน แม้ว่าประชาชนจะพลัดถิ่น แต่ก็มีพระองค์เป็นที่พึ่ง แม้ว่าระบบทะเบียนบ้านจะยังไม่สมบูรณ์ แต่การค้ามนุษย์ในเมืองหลวงก็ลดลง คนทั่วไปก็ได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ยาก ฮ่องเต้ปกครองอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประชาชนสามารถศึกษาเล่าเรียน มีชื่อเสียงและสอบเข้าราชสำนักได้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่มีอุดมการณ์และแรงบันดาลใจ สามารถบรรลุความฝันได้ การกระทำของฮ่องเต้ที่ใกล้ชิดกับประชาชน ทำให้ผู้คนทั่วดินแดนยกย่องฝ่าบาทอย่างมาก” หลังจากกู้เสี่ยวหวานพูดจบ นางยังเหยียดมือขวาออก ยกนิ้วโป้งให้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อซูเทียนซื่อเห็นนางยกนิ้วโป้งให้เขา
ยกนิ้วโป้งหรือ
นี่คืออะไร
ยื่นมือออกมาและยกนิ้วโป้งและถามว่า “สิ่งนี้เรียกว่าการยกย่องหรือ”
“เพคะ ถ้าคนอื่นทำสิ่งดี ๆ พวกเราจะยกนิ้วโป้งให้” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูเทียนซื่อ เขายิ้มอย่างมีความสุข “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้ายกนิ้วให้ข้า”
“ทุกคนในดินแดนต้องการสรรเสริญฮ่องเต้ แต่พวกเขาไม่มีโอกาส ดังนั้นเสี่ยวหวานจะทำแทนพวกเขาเองเพคะ”
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกประหม่าน้อยลง เมื่อเห็นเขาหัวเราะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าระดมคนทั้งหมดในเมืองหลวง เพื่อตามหาญาติผู้เสียชีวิตให้เจ้า” ฮ่องเต้ถามอย่างกะทันหัน
หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อตอนที่นางมาถึงที่นี่ นางคิดว่าจะพูดถึงเรื่องนี้กับฮ่องเต้อย่างไร เพื่อที่ฮ่องเต้เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม นางไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะริเริ่มที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ก่อน และสิ่งที่ถูกกล่าวถึงก็คือเรื่องของการตามหาคน
ดูเหมือนว่าฮ่องเต้น่าจะรู้เรื่องคดีฆาตกรรมของร้านจิ่นฝูมานานแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ค่อนข้างมาก
ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงรีบตอบกลับไปว่า “ตอบฝ่าบาท ใช่เพคะ ถ้าใครพบสมาชิกครอบครัวของผู้เสียชีวิต ก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินสองพันตำลึงเงิน และถ้าหาเจอสามครอบครัวก็จะเป็นเงินหกพันตำลึงเงิน ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากพอดูเพคะ”
“การกระทำของเจ้า ได้ยืนยันว่ามีการก่อเหตุอาชญากรรมขึ้นในร้านจิ่นฝู” ซูเทียนซื่อหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบ และพูดอย่างเงียบ ๆ
กู้เสี่ยวหวานได้ยินน้ำเสียงที่เข้มงวด และรู้ว่าเขาต้องเข้าใจผิดว่าร้านจิ่นฝูได้ฆ่าคน และนางมีความผิด ดังนั้นนางจึงขอให้ใครสักคนหาคนมาเพื่อชดใช้บาป
ดูเหมือนว่า ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่คิดเช่นนั้น น่าจะมีหลายคนที่บอกเขาเช่นนั้นเหมือนกัน
กู้เสี่ยวหวานเดาถูกมีคนมากมายบอกเขาว่าร้านจิ่นฝูมีความผิด เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป พวกเขาจึงต้องการดูแลครอบครัวให้กับผู้เสียชีวิตเพื่อชดใช้บาปของพวกเขา
“ตอบฝ่าบาท ร้านจิ่นฝูไม่เคยคิดที่จะขจัดอาชญากรรมของตัวเองเพคะ” กู้เสี่ยวหวานคุกเข่าลงทันทีและพูด “ร้านจิ่นฝูอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว หลายปีมานี้นับประสาอะไรกับคนเสียชีวิต ทว่าไม่มีแม้แต่แขกที่รู้สึกไม่สบายท้องหลังจากรับประทานอาหารของร้านจิ่นฝูเลย ส่วนผสมนั้นเข้มงวดในทุกขั้นตอนและไม่เคยหย่อนยาน หม่อมฉันอยู่ที่ร้านจิ่นฝูมาแปดปีและได้เห็นร้านจิ่นฝูจากร้านอาหารเล็ก ๆ ในเมืองเล็ก ๆ จนพัฒนามาถึงจุดนี้”
……….