ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 366 ขออาหารในวันปีใหม่
บทที่ 366 ขออาหารในวันปีใหม่
บทที่ 366 ขออาหารในวันปีใหม่
เสียงประทัดดังขึ้นอีกครั้งในหมู่บ้าน และประตูก็เปิดออกเพื่อต้อนรับเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง
ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานตื่นขึ้นก่อนรุ่งสาง
กู้เสี่ยวหวานตั้งใจจะเป็นคนแรกที่จุดประทัด ซึ่งหมายความว่านางจะขยันหมั่นเพียรในปีที่จะมาถึง และจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
หน้าที่นี้ตกไปอยู่ในมือของกู้หนิงผิงอีกครั้ง
เสียงประทัดปลุกคนทั่วทั้งหมู่บ้านให้ตื่นจากการหลับใหล
หลังจากเสียงประทัดที่บ้านของกู้เสี่ยวหวานจบไป เสียงประทัดในหมู่บ้านก็ดังขึ้นตามมา
กู้เสี่ยวหวานและทุกคนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ และยืนที่ประตูต้อนรับปีใหม่และอวยพรซึ่งกันและกัน
ต่อไปคือการไปเยี่ยมญาติและสหาย กู้เสี่ยวหวานหยิบของขวัญและไปที่บ้านของป้าจาง
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ห้าของปีใหม่ กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ได้พักผ่อนที่บ้าน พวกเขาอ่านหนังสือ ฝึกคัดลายมือ และปักผ้า ทุกคนมีช่วงเวลาที่ดี เป็นการดีที่ไม่ต้องไปเยี่ยมญาติในช่วงปีใหม่
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่น้อง ๆ ที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความสุขมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคาดคิดว่าฉินเย่จือจะมีลายมือที่งดงามเช่นนี้
ในขณะนี้ ฉินเย่จืออยู่หน้าโต๊ะและกำลังฝึกคัดลายมือกับกู้หนิงอัน การเขียนตัวอักษรของกู้หนิงอันนั้นงดงามมาก แม้ว่าเขาจะเขียนอย่างประณีตและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับดูไม่มีพลัง
แต่ตัวอักษรของฉินเย่จือนั้นแตกต่างไป มันทั้งแข็งแกร่ง ทรงพลัง และสง่างาม เต็มไปด้วยทักษะที่ล้ำลึก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ กู้หนิงอันก็ขอให้ฉินเย่จือสอนให้เขาเขียนทันที
กู้เสี่ยวหวานมองดู นางเป็นคนที่เรียนรู้การเขียนมากว่าสิบปี ตัวอักษรที่แข็งแกร่งและทรงพลังของฉินเย่จือ ถ้าเขาไม่ได้ฝึกมามากกว่าสิบปี เกรงว่าก็คงจะไม่สามารถเขียนออกมาได้
หากเป็นกรณีนี้ ไม่ควรมองข้ามตัวตนที่แท้จริงของฉินเย่จือ
กู้เสี่ยวหวานเลิกคิ้วและเหลือบมองฉินเย่จือที่กำลังสาธิตวิธีเขียน ขณะที่กู้หนิงอันที่อยู่ด้านข้างกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้
กู้เสี่ยวอี้กำลังปักลายดอกไม้อยู่บนเตียง
กู้หนิงผิงกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่ข้างนอก
ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเขินเล็กน้อย ดูเหมือนว่าในครอบครัวนี้คนที่ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรก็คือกู้เสี่ยวหวาน!
นางรู้สึกอายที่จะคิดเกี่ยวกับมัน
“เสี่ยวหวาน เจ้ากำลังอายที่เจ้ายังไม่ได้เรียนอะไรใช่หรือไม่?” ฉินเย่จือเดินเข้ามาใกล้กู้เสี่ยวหวาน ดวงตาที่สวยงามของนาง บางครั้งก็มองออกไปข้างนอก บางครั้งก็หันมองในห้อง นางมีท่าทีหงุดหงิด ฉินเย่จือจึงเข้าไปหยอกล้อ
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ฉินเย่จืออย่างตะลึงงัน คนผู้นี้เป็นหนอนในท้องของนางหรือ เขารู้ได้อย่างไรว่านางกำลังคิดอะไร?!
“เจ้าเขียนตัวอักษรได้ดีมาก เกรงว่าคงจะฝึกมากว่าสิบปีแล้ว!” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถามเขา
ฉินเย่จือพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “เป็นเรื่องจริง เมื่อข้ายังเด็ก พ่อของข้าหาอาจารย์มาสอนวิธีฝึกคัดลายมือ การฝึกฝนต้องใช้เวลาถึงสิบปี! ”
ฉินเย่จือมองไปในระยะไกล มันคงเกินสิบปีแล้ว
เขาฝึกคัดลายมือตั้งแต่จับพู่กันได้
ในช่วงเวลานี้ หมู่บ้านอู๋ซีไม่มีเงื่อนไขอะไร ดังนั้นการยืดเวลาออกไปอีกหน่อยก็คงได้ และตอนนี้ก็ดีที่กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ รู้แล้วว่าเขาเขียนหนังสือได้ ต่อจากนี้ก็สามารถฝึกเขียนอย่างเปิดเผยได้แล้ว
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ดูท่าทางของหนิงอันสิ เขาดูชื่นชมตัวอักษรของเจ้าจริง ๆ เช่นนี้ในอนาคตคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ทางนี้ กู้หนิงผิงก็รบเร้าเขาทุกวัน โดยขอให้ฉินเย่จือสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขา
ทางนั้น กู้หนิงอันก็ต้องการเขาด้วยในอนาคต โดยขอให้ฉินเย่จือสอนให้เขาฝึกคัดลายมือ
ฉินเย่จือเลิกคิ้วและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเกียรติของข้า ถ้าทั้งสองคนสามารถกลายเป็นคนที่มีประโยชน์ได้ในอนาคต ข้าก็ถือว่าเป็นอาจารย์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง”
“อาจารย์ ท่านจะเป็นครึ่งหนึ่งได้อย่างไร? ท่านเป็นอาจารย์ของข้า!” กู้หนิงผิงมีหูที่ดี และเมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ เขาก็โต้กลับทันทีและกล่าววาจาอย่างเคร่งขรึม “เป็นครูเพียงหนึ่งวัน ดังพ่อลูกกันตลอดชีวิต*[1] ท่านจะเป็นอาจารย์ของข้าตลอดไป!”
ฉินเย่จือหัวเราะ “ข้ามีลูกชายโตเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!”
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าฉินเย่จือกำลังล้อเล่นจึงหัวเราะขึ้นมา กู้หนิงผิงก็รู้ด้วยว่าอาจารย์กำลังล้อเลียนเขา เขาจึงลูบหัวและหัวเราะอย่างเต็มที่
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่กู้หนิงผิง ในช่วงเวลานี้เขาเปลี่ยนไปมาก
ครั้งหนึ่งกู้หนิงผิงถอดเสื้อของเขา กู้เสี่ยวหวานบังเอิญเห็นเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนร่างกายของเขาแน่น และดูเหมือนว่าเขาจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องตั้งแต่อายุยังน้อย อาจเป็นเพราะได้รับสารอาหารอย่างดีและออกกำลังกายอย่างหนัก เด็กคนนี้อายุเพียงแปดขวบ แต่เขาสูงขึ้นแล้ว
เขาเป็นฝาแฝดกับกู้หนิงอัน แต่กลับสูงกว่ากู้หนิงอันเล็กน้อย
นั่นทำให้กู้หนิงอันรู้สึกหดหู่ใจมาก
ในขณะนี้ เมื่อเห็นกู้หนิงผิงเป็นเหมือนลูกเสือตัวเล็ก ๆ กำลังฝึกศิลปะการต่อสู้ในสนาม กู้เสี่ยวหวานก็ยิ้มออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีมา รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานก็หุบลง
กู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสี พวกเขามีชามอยู่ในมือและมองไปรอบ ๆ
กู้หนิงผิงเป็นคนแรกที่เห็นพวกเขาและกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “กู้ถิงถิง กู้ซุ่นสี ทำไมพวกเจ้าถึงมาที่นี่อีก?”
กู้ถิงถิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางที่ก้าวร้าวของกู้หนิงผิง แต่เมื่อนางเห็นกู้เสี่ยวหวานออกมา นางก็ส่งเสียงเรียกออกมาทันที “ท่านพี่เสี่ยวหวาน… ”
“ท่านพี่เสี่ยวหวาน… ” กู้ซุ่นสีที่อยู่ข้าง ๆ ก็เรียกนางเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” กู้เสี่ยวหวานมีใบหน้าที่ดูไม่ดี เหตุใดเด็กสองคนนี้ถึงมาที่นี่อีก?
เฉาซื่อกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ!
“ท่านพี่เสี่ยวหวาน พวกเราหิวแล้ว ให้อาหารเรากินหน่อยได้หรือไม่?” กู้ถิงถิงยื่นชามข้าวในมือของนางให้กู้เสี่ยวหวาน ชามข้าวนี้ใหญ่กว่าครั้งที่แล้วเล็กน้อย วิธีที่ส่งให้กู้เสี่ยวหวานราวกับจะเป็นการบังคับกลาย ๆ
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วและเอ่ยถามว่า “แม่ของพวกเจ้ากลับมาแล้วไม่ใช่หรือ! แล้วทำไมจึงมาพวกเราอีกล่ะ!”
กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่แม่พระ เมื่อนางเห็นว่าพวกกู้ถิงถิงไม่มีอาหารกิน กู้เสี่ยวหวานก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะดูแลพวกเขาไปตลอด
พวกเขามาที่นี่อีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไร?
“ท่านพี่เสี่ยวหวาน ท่านแม่ของข้านอนอยู่บนเตียงและขยับไม่ได้” กู้ถิงถิงกล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อวานนี้เรากินของเหลือไปหมดแล้ว ที่บ้านจึงไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย”
เฉาซื่อป่วยอีกแล้วหรือ?
“ทำไมแม่ของเจ้าถึงป่วยอีกแล้ว?” กู้หนิงผิงกล่าวอย่างโกรธเคือง
*[1] แม้ครูจะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด แต่ก็เป็นผู้สอนให้ชีวิตที่เกิดมารู้จักดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เด็ก ๆ โตขึ้นกันอีกปีแล้ว หวังว่าปีใหม่นี้จะเป็นปีที่ดีของเด็ก ๆ นะคะ
ไหหม่า (海馬)