ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 93 ขนมหยดน้ำ
บทที่ 93 ขนมหยดน้ำ
บทที่ 93 ขนมหยดน้ำ
ในเวลาเดียวกัน อู่ต้าถง ขันทีชิมอาหารก็บังเอิญเดินผ่านมา หลางกวนเอ๋อร์จึงพูดขึ้นว่า “ข้าอิจฉาขันทีอู่จริง ๆ ที่ได้ลิ้มรสของอร่อยในห้องเครื่องกระจ้อยร่อยนี้ก่อน”
เหยียนอี้คลี่ยิ้ม หันไปเอ่ยกับสหายตนว่า “อย่ามาน้ำลายไหลแถวนี้เลย ไปเตรียมน้ำราดเถิด”
“น้ำราดอะไรรึ” หลางกวนเอ๋อร์ถาม
“น้ำราดขนมหวานที่ไม่ใส่น้ำตาลน่ะ ไทเฮาเสวยหวานมากไม่ได้ เจ้าใส่งาแทนน้ำตาลทรายแดง แล้วค่อยโรยด้วยถั่วลิสงบดและถั่วเหลืองก็แล้วกัน” เหยียนอี้กล่าว
หลางกวนเอ๋อร์ไปจัดเตรียมตามที่เหยียนอี้กล่าว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็วางลงบนจานกระเบื้องเคลือบสีขาวเหลือบฟ้า ซึ่งใช้สำหรับถวายอาหารประเภทเย็น
เหยียนอี้มองดูเวลา จากนั้นจึงไปที่ห้องแช่ด้วยตัวเองเพื่อเอาวุ้นที่นางทำเมื่อวานนี้ออกมา
คนให้ห้องเครื่องฟังหลางกวนเอ๋อร์คุยโวถึงขนมคล้ายหยดน้ำมาพักใหญ่ ทุกคนอยากรู้ว่าขนมหยดน้ำที่สวยดุจเม็ดอัญมณีนั้นสวยงามเพียงใด ทั้งหมดจึงมารวมตัวกันเพื่อดูเหยียนอี้เอามันออกมา
เหยียนอี้ไม่ได้รีบเปิดฝา นางรออยู่สักครู่แล้วจึงถอดแม่พิมพ์อย่างช้า ๆ วุ้นลูกกลม ๆ ราวยี่สิบลูกปรากฏสู่สายตา ด้วยความที่แช่แข็งข้ามคืนเอาไว้ ทำให้ด้านบนยังมีเกล็ดน้ำแข็งหนาเกาะอยู่
“สวยงามยิ่งนัก! สวยงามมากจริง ๆ! เหมือนไข่มุกต้าตงจากทะเลจีนใต้เลย!” อู่ต้าถงชมเชย
เหยียนอี้หยิบไม้พายแกะแม่พิมพ์ออก ตักน้ำแข็งด้านบนอย่างระมัดระวัง แล้วใส่ลงในจานทีละชิ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง วุ้นลูกกลมก็กลายเป็นขนมหยดน้ำ เขย่าจานเบา ๆ ก็ยังคงสภาพเดิมไม่เละเทะ
ทุกคนทึ่งกับหน้าตาขนมจานใหม่ ดวงตาของหลางกวนเอ๋อร์ขับประกายเจิดจ้า “ของที่ทำโดยเทพธิดาฉางเอ๋อ*[1] เป็นแบบนี้เองหรือ?”
เหยียนอี้ให้อู่ต้าถงลองชิมแล้วถามว่า “รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
อู่ต้าถงตักเข้าปาก ทว่าไม่ทันได้เคี้ยว ตัวขนมที่ลื่นมาก็ไหลลงไปในท้องในคราวเดียว
อู่ต้าถงตะบึงตะบอนออกมา “แม่ครัวเหยียน ข้ายังไม่ได้ลิ้มรสเลย”
เสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้น เหวินต้าชิงร่วมขบวนด้วย “เจ้าเป็นขันทีทดสอบยาพิษ ไม่ใช่ลิ้มรส!”
แม้ว่าอู่ต้าถงจะไม่มีเวลาเคี้ยวดี ๆ แต่เมื่อกลืนเข้าไป เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมกรุ่นของดอกกุ้ยฮวาที่แผ่ซ่านอยู่ในปาก ลิ้นจดจำความนุ่มละมุน เกิดรสชาติอัศจรรย์ใจยิ่ง
เหยียนอี้ร่วมหัวเราะกับทุกคน นางเคยเห็นไทเฮาส่งขนมไปให้ราชทูต ดังนั้นนางจึงหยิบถาดแล้วตรงไปที่ตำหนักฉืออัน
รัชทายาทบังเอิญอยู่ที่นั่นพอดี ไทเฮาจึงตรัสกับหลี่หรงอวี่ว่า “เดี๋ยวนี้เจ้าขยันมาหาข้าบ่อยนัก”
เหยียนอี้ก้าวผ่านประตูเข้ามา หลี่หรงอวี่ปรายตามองนางพลางแย้มยิ้ม “เสด็จย่ามีแม่ครัวที่เก่งที่สุดที่นี่ หลานชายชักโลภมากเสียแล้ว”
หลังเห็นเหยียนอี้นำอาหารมาด้วยตนเอง ไทเฮาก็ยอมยกโทษให้แล้วให้ฟางกูกูนำขึ้นมาดู
ป้าฟางเปิดฝา หยิบจานในนั้นออกมา ครั้นไทเฮาเห็นว่าเป็นขนมรูปร่างกลมคล้ายลูกแก้วก็อดสรวลไม่ได้ “เหยียนอี้ทำของหวานจานใหม่อีกแล้วหรือ ข้าว่าจานนี้ไม่ใช่ของหวานแต่เป็นอัญมณีมากกว่ากระมัง”
หมัวหมั่วลองใช้เข็มเงินทดสอบพิษ หลี่หรงอวี่ใช้ตะเกียบคีบขนมขึ้นดู เมื่อมองดูอย่างระมัดระวังก็พบว่ามีดอกกุ้ยฮวาลอยอยู่ข้างในสองสามดอก กลีบดอกยังคงสีอำพันเอาไว้
เขาตรัสกับเหยียนอี้ว่า “เจ้าไปเก็บดอกกุ้ยฮวาเมื่อวันก่อน นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการจะทำงั้นหรือ”
เหยียนอี้พยักหน้าตอบไปว่า “ใช่เพคะ”
“เจ้าเก่งมาก เรียกสิ่งนี้ว่าอะไรหรือ” ไทเฮาถาม
เหยียนอี้ตอบว่า “ในตงอิ๋งมีขนมชนิดหนึ่งที่เรียกว่าขนมหยดน้ำ ทำจากแป้งข้าวเหนียว โรยด้วยดอกกุ้ยฮวา แต่ข้าวเหนียวนั้นติดฟัน ตอนนี้ก็เข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว มีเพียงดอกกุ้ยฮวาเท่านั้นที่ยังหอมกรุ่น หม่อมฉันจึงเปลี่ยนแป้งข้าวเหนียวเป็นผงเหลียงเฟิ่นขาว*[2]และฉยงจือ*[3]เพื่อทำขนมหยดน้ำเพคะ”
“ผงเหลียงเฟิ่นขาว? ฉยงจือ?” ไทเฮาไม่เคยได้ยินชื่อสองสิ่งนี้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
เหยียนอี้ตอบว่า “ผงเหลียงเฟิ่นขาวทำมาจากมันหวานและข้าวเหนียว แต่ฉยงจือทำมาจากฉือฮวาไฉ่[4] วุ้นซึ่งเดิมทียังเหนียวติดฟัน แต่เมื่อผสมกับเฉาก๊วยเผือกจึงกรอบนุ่มเพคะ”
ไทเฮาคีบขนมหยดน้ำด้วยตะเกียบแล้วกำลังจะเอาเข้าปาก เหยียนอี้เห็นจึงรีบกล่าวว่า “ไทเฮา ลองจุ่มลงในน้ำราดได้นะเพคะ”
หลี่หรงอวี่ลองจุ่มขนมหยดน้ำลงในน้ำราด จากนั้นวางลงบนจานให้ไทเฮา
ไทเฮาแย้มยิ้มพึงใจ กัดคำเล็กแล้วรอให้ละลายในปาก รสขนมชิ้นนี้หวานเล็กน้อย แต่ไม่เลี่ยน อีกทั้งยังสดชื่นมาก หลังชิมไปสองสามคำก็หันไปชมกับหลี่หรงอวี่ “เจ้าลองชิมดู อร่อยมาก…”
หลี่หรงอวี่ใช้ตะเกียบคีบเข้าปาก น้ำลายรับรสเต็มปาก รสชาติขนมชิ้นนี้เป็นเอกลักษณ์มาก
“ในสมองของเจ้ามีสูตรใหม่ ๆ อีกกี่สูตรกัน” ไทเฮาถามด้วยรอยยิ้ม
เหยียนอี้เอ่ยอย่างเบิกบานใจ “ไทเฮาทรงโปรดของหวานใหม่ ๆ หม่อมฉันย่อมคิดอะไรใหม่ ๆ ตามไปด้วย”
ไทเฮาเสวยอีกคำหนึ่งแล้วตรัสกับเหยียนอี้ว่า “เจ้ามาที่ตำหนักด้วยตัวเองทุกวี่ทุกวันให้ข้าพอใจ บอกข้ามาว่าต้องการรางวัลอะไร”
เหยียนอี้ได้รับอัญมณีและหยกเป็นรางวัลเสมอ นางเก็บไว้อย่างดี เมื่อไทเฮาถามนางออกมาตรง ๆ ว่านางต้องการอะไร นางก็ชะงักไป
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหยียนอี้ก็ตอบกลับไป “สิ่งที่ข้ารับใช้ผู้นี้ต้องการคือรางวัลใหญ่เพคะ”
ไทเฮาสบตาหลี่หรงอวี่ จากนั้นตรัสว่า “หากขึ้นชื่อว่ารางวัลใหญ่ ข้าควรคิดดี ๆ เสียแล้ว”
เหยียนอี้ก้มหน้าลงกล่าวต่อไปว่า “หม่อมฉันอยากให้ไทเฮามีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขทุกวันเพคะ”
ไทเฮานึกว่าเหยียนอี้ต้องการรางวัลใหญ่ ไม่คิดว่าจะอวยพรคำพูดเป็นมงคลเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่จะตรัสว่า
“เจ้าเป็นเด็กดี อยากได้รางวัลอะไร อย่าไปคิดมาก ข้าจะมอบให้เจ้า เหตุใดถึงพูดเช่นนี้แทนเล่า พูดมาเถิดว่าอยากได้อะไร”
เหยียนอี้จึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หม่อมฉันเป็นที่โปรดปราน พระองค์ทรงให้รางวัลหม่อมฉันตั้งมากมาย หม่อมฉันเพียงต้องการให้พระองค์มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข นั่นคงเหมือนหม่อมฉันได้รับรางวัลแล้ว”
ไทเฮาเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากของนาง แย้มพระสรวลแล้วแสร้งดุออกไป “เจ้าผีน้อยหัวใสเอ๋ย!”
เหยียนอี้แลบลิ้นเย้าแหย่ “ไทเฮา ท่านต้องให้รางวัลนี้นะเพคะ!”
หลี่หรงอวี่อดหัวเราะไม่ได้ เขาโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “เสด็จย่า หลานชายขอความกรุณาจากท่านด้วย”
หลังไทเฮาถูกทั้งสองเกลี้ยกล่อมก็ยิ้มกว้างออกมา “เอาล่ะ ย่อมได้!”
ไทเฮาและหลี่หรงอวี่ต่างเสวยขนมหยดน้ำต่ออีกหลายคำ จากนั้นถึงให้รางวัลแก่ฟางกูกูและเหยียนอี้สำหรับของหวานนี้ ไม่นานขนมหยดน้ำก็หมดจาน
ไทเฮาดึงแหวนหยกออกจากมือแล้วมอบให้เหยียนอี้ เหยียนอี้รับรางวัลแล้วกล่าวคำอำลา เดินกลับไปพร้อมถาดอาหาร
ทันทีที่นางเดินออกจากตำหนักไทเฮา หลี่หรงอวี่ก็หาข้ออ้างเดินออกไปด้วย ชายหนุ่มคว้าแขนเสื้อของเหยียนอี้ ดึงปิ่นติดผมของตนเองวางในมือของเหยียนอี้แล้วพูดว่า “ให้เจ้า”
ปิ่นปักผมนี้ไม่ได้ทำจากอะไรที่ล้ำค่านัก มันเป็นแค่เงินธรรมดา แต่การแกะสลักนั้นมีเอกลักษณ์อย่างมาก มันเป็นลวดลายของดอกเฟิ่งเหว่ย*[5] ดอกไม้โปรดของเหยียนอี้
เหยียนอี้ถือปิ่นปักผม กล่าวออกมาว่า “หากองค์รัชทายาทประสงค์จะให้รางวัลแก่ข้ารับใช้ เหตุใดพระองค์ไม่ให้รางวัลต่อหน้าไทเฮาล่ะเพคะ การมอบให้เช่นนี้ไม่ได้อยู่ในธรรมเนียมนี่เพคะ”
หลี่หรงอวี่ยืนยัน “เสด็จย่ามอบแหวนหยกแก่เจ้าเป็นของรางวัล แต่นี่ไม่ใช่รางวัล ข้าอยากมอบให้เจ้าจริง ๆ”
เหยียนอี้ได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม นางวางปิ่นปักผมกลับเข้าไปในมือของหลี่หรงอวี่
หลี่หรงอวี่กล่าว “อย่ากังวลไปเลย นี่ไม่ใช่ของของวัง ข้าออกไปตรวจกิจนอกวังเมื่อไม่กี่วันก่อน เห็นของชิ้นนี้ที่ตลาด ไม่ได้ล้ำค่าอะไรเลย…ไม่ต้องกังวล พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ข้าแค่อยากจะมอบให้เจ้า”
เหยียนอี้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางยุ่งทั้งวัน ลืมแม้กระทั่งวันเกิดของตัวเอง ว่าแต่ฝ่าบาทรู้ได้อย่างไร? อ่า คงเป็นเพราะเขาได้อ่านข้อมูลของคนรับใช้ในวังจึงเห็นวันเกิดของนางเข้า
เขาเป็นถึงองค์ชายผู้สง่างาม แต่อุตส่าห์จดจำวันเกิดผู้น้อย อีกทั้งยังกลัวว่าของขวัญที่เขามอบให้นางจะดึงดูดความสนใจ เขาจึงออกไปนอกวังเพื่อซื้อของที่ไม่ได้ล้ำค่าอะไรนักมา
เหยียนอี้ยังคงชะงักนิ่ง นางนึกถึงเหยียนจื่อที่โดนโบยด้วยแผ่นไม้ยี่สิบครั้ง คิดแล้วแผ่นหลังก็ขนลุกซู่ขึ้นมา
ขนาดองค์ชายแปดเป็นองค์ชายที่ไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานในวังยังเป็นเรื่องต้องห้าม เช่นนั้นคงไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ หลี่หรงอวี่มิใช่รัชทายาทแห่งราชวงศ์และผู้ครองบัลลังก์ในอนาคตหรอกหรือ?
“ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง” สีหน้าเหยียนอี้พลันเย็นชา นางคืนปิ่นปักผมแล้วหมุนตัวจากไป
“เหยียนอี้!” หลี่หรงอวี่เรียก
เหยียนอี้สะดุ้ง หันมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ใกล้และไม่มีใครเห็นทั้งนั้น
“ฝ่าบาท ใจเย็น ๆ!” เหยียนอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง นางชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้ารับใช้คนนี้ขอตัว”
หลี่หรงอวี่ถือปิ่นปักผมค้างไว้ หลังจากนั้นไม่นาน รอยยิ้มขมขื่นก็ผุดพรายออกมา ชายหนุ่มยอมจากไปอย่างเงียบงัน
เขาเป็นองค์รัชทายาทแห่งตำหนักตะวันออก สง่างามและสูงส่งตั้งแต่เยาว์วัย แม้ว่าจะเผชิญกับความเกลียดชังมานาน แต่ด้วยสถานะสูงส่ง เป็นองค์ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ใต้เข่าฮ่องเต้โดยตรง เขาได้สิ่งที่ตนต้องการโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ย สุดท้ายสิ่งที่เขาชอบก็เป็นของเขา
เขาไม่เคยคิดว่าเหยียนอี้จะกังวลถึงอะไร และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่คุยอยู่ด้วยกันเมื่อสองวันก่อนถึงพยายามอยู่ห่างจากเขาราวกับเป็นหัวขโมยในวันนี้
ลั่วอิ๋งกำลังรออยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นสีหน้ามืดมนขององค์ชาย นางก็เดาได้สองสามประเด็น
หลี่หรงอวี่ยื่นปิ่นปักผมให้ลั่วอิ๋งตามความประสงค์และกล่าวว่า “ทิ้งมันซะ”
ลั่วอิ๋งถอนหายใจเบา ๆ “นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทใช้เวลาหลายวันทำมันเองนะเพคะ”
หลี่หรงอวี่เหยียดริมฝีปาก “น่าเสียดายที่นางไม่ชอบ”
ลั่วอิ๋งเงียบไปชั่วครู่ นางอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา นางรับใช้วังตะวันออกมาหลายปีแล้ว ได้เรียนรู้มานานแล้วว่าอะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรฟังก็ไม่ควรฟัง
หลี่หรงอวี่ถามว่า “องครักษ์เฉินผู้นั้นในตำหนักจาวหยาง…”
ลั่วอิ๋งรายงานว่า “ตอนนี้ฮองเฮาได้เลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์แล้วเพคะ”
หลี่หรงอวี่พยักหน้าก่อนจะถามใหม่ “ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ลั่วอิ๋งตอบว่า “หม่อมฉันส่งคนไปดูเขาเงียบ ๆ แต่ศิลปะการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งมากจนเข้าใกล้ได้ไม่มากนัก รู้เพียงว่าหลังจากที่เขาเข้าไปในตำหนักจาวหยาง เขาก็ถูกย้ายจากคุ้มกันองค์หญิงผิงหยางไปตำหนักฮองเฮาเพคะ”
“เหยียนอี้และเขาติดต่อกันอยู่เสมอหรือไม่” หลี่หรงอวี่ถาม
ลั่วอิ๋งรายงานต่อ “ในอดีตมีการติดต่อกันบ้าง แต่เนื่องจากองครักษ์เฉินได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจึงไม่ได้พบกับแม่นางเหยียนบ่อย ๆ เพคะ”
หลี่หรงอวี่ระบายลมหายใจ เอ่ยต่อด้วยท่าทางเย็นชา “เขายังจับปลาลืมกับดักอยู่อีกสินะ”
[1] ฉางเอ๋อ เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อปรัมปราของจีนและลัทธิเต๋ารวมถึงลัทธิขงจื๊อ นางประทับเฉพาะแต่บนดวงจันทร์เท่านั้น
[2] ผงเหลียงเฟิ่นขาว คือ ผงเจลลี่
[3] ฉยงจือ คือ วุ้นเจลาติน
[4] ฉือฮวาไฉ่ คือสาหร่ายชนิดหนึ่งที่มีสีแดง
[5] ดอกเฟิ่งเหว่ย คือ ดอกหงอนไก่