ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 76 อดีตของจาวหยาง
บทที่ 76 อดีตของจาวหยาง
สิ่งที่เขาคิดในใจคือสิ่งที่เขาอยากจะพูด และสิ่งที่เขาพูดก็คือบทกวีของเฉาจื่อถึงลั่วเสิน
“อรชรดั่งหงส์ สง่างามดั่งมังกร เปล่งประกายดุจดอกเบญจมาศฤดูใบไม้ร่วง อวบอิ่มดุจต้นสนชอุ่มชุ่มสายลมฤดูใบไม้ผลิ”
“ดั่งดวงจันทร์ปกคลุมด้วยเมฆบาง ดั่งหิมะในสายลม”
“ครั้นมองจากไกล ๆ ก็สว่างไสวราวกับแสงอรุณ”
เหยียนจื่อไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด นางเพียงจดจ่ออยู่กับการเต้นรำเท่านั้น สนมจาวได้ยินก็สะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง น้ำตาหยดใสค่อย ๆ หลั่งริน และในไม่ช้าก็กลายเป็นเสียงสะอื้น
เมื่อเหยียนจื่อเห็นว่าสนมจาวกำลังร้องไห้ ทวงท่าการเต้นรำของนางจึงชะงักไปเล็กน้อย
หลี่หรงเฉิงยังคงเล่นกู่เจิงตามปกติ “สายใหญ่เสียงดังราวกับสายฝน และสายเล็กดังแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ”
เขารู้ว่าเสด็จแม่ไม่เคยมีความสุขนับตั้งแต่นางแต่งงานเข้าราชวงศ์ แต่มันก็เป็นดั่งชะตากรรม ทุกคนบอกว่านางช่างมีชีวิตที่เป็นสุข ทว่าในคืนที่เงียบเหงาและเงียบงันนับไม่ถ้วนนั้น เสด็จแม่ไม่กล้าแม้แต่จะหลั่งน้ำตาออกมาสักหยด
เมื่อเห็นนางร้องไห้ออกมายามนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดี
หลี่หรงเฉิงขยิบตาให้เหยียนจื่อแล้วพยักเพยิดให้รำต่อไป เขาปรับเลื่อนสาย ท่วงทำนองจึงเปลี่ยนไป
เหยียนจื่อไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน คล้ายกับว่ามีการปรับแต่งเล็กน้อย น่าจะเป็นเพลงท้องถิ่นของหนานโจว เหยียนจื่อเปลี่ยนท่าทางการเต้นรำของนางก่อนจะหมุนเอวตามไป
เสียงกู่เจิงดังขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของนางเคลื่อนไหวเร็วขึ้นตามทำนอง มือของนางยังคงเคลื่อนอย่างแช่มช้า กระโปรงของนางหมุนพลิ้วไหว ดวงตากระจ่างใสมองไปยังหลี่หรงเฉิง องค์ชายแปดดูราวกับดอกไม้ในม่านหมอกก็มิปาน
หลังระบำจบแล้ว สายกู่เจิงทั้งสี่ก็ส่งเสียงฟังดูแปร่ง ๆ ออกมา หลี่หรงเฉิงจับสายเอาไว้ เพลงจึงหยุดบรรเลง ถึงกระนั้นเสน่ห์ในเพลงก็ยังไม่จางหายไป เหยียนจื่อหยุดเต้น ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อย เหงื่อเม็ดใสไหลรินออกมา
หลี่หรงเฉิงลุกขึ้นยืนและเดินไปใกล้ผู้เป็นมารดา ก่อนจะสัมผัสแผ่นหลังนั้นแผ่วเบา
สนมจาวยังคงไม่หยุดร้องไห้ ไหล่ของนางสั่นเทิ้มอย่างกล้ำกลืน
นางถูกกดดันมานานเกินไป ในที่สุดวันนี้นางก็ทนไม่ไหว จะหยุดน้ำตานี้ได้อย่างไร? หลี่หรงเฉิงไม่อาจเกลี้ยกล่อมนางได้ ดวงตาของเขาเองก็ค่อย ๆ ชุ่มน้ำตา
เหยียนจื่อห่างจากบ้านมาเป็นเวลานาน แม้ว่าบางครั้งนางจะยังติดต่อกับแม่และพ่อเลี้ยงอยู่บ้าง แต่นางจะบรรเทาอาการปวดใจจากการคิดถึงบ้านได้อย่างไร? หลังซึมซับความรู้สึกท่วมท้นจากภาพตรงหน้า นางจึงหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบ ๆ
อาอวิ๋น ขันทีตัวน้อยได้ยินเสียงร้องไห้จึงทึกทักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ครั้นเข้ามาเห็นองค์ชายแปดที่มักแย้มสรวลมีดวงตาแดงก่ำ ส่วนพระสนมจาวน้ำตาพรั่งพรู เขาไม่รู้ว่าเหตุใดพระสนมถึงร่ำไห้ ขันทีตัวน้อยจึงทรุดนั่งลงที่ประตูและเริ่มร้องไห้ตามไปด้วย
มีเพียงอีเหลียนสาวใช้ร่างท้วมเท่านั้นที่ยืนอยู่นอกประตูเพื่อแอบฟัง นางรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ด้านใน แต่นางก็เป็นคนไร้หัวใจ ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องใดอยู่แล้ว นางจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดทุกคนจึงต้องร่ำไห้กันเช่นนี้
“พระสนม อย่าร้องไห้ไปเลย! หากได้ยินไปถึงข้างนอก พวกทหารจะคิดว่ามีบางอย่างผิดปกตินะเพคะ”
อีเหลียนเตะอาอวิ๋นที่ประตูแล้วกระซิบว่า “เจ้าน่ะร้องไห้ดังที่สุด!”
เหยียนจื่อเช็ดน้ำตาของนางแล้วแย้มยิ้มออกมา “เดิมทีหม่อมฉันคิดเพียงว่าจะฉลองวันเกิดให้พระสนม แต่มันกลับทำให้หม่อมฉันร้องไห้แทน ข้ากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้เลย”
หลี่หรงเฉิงเข้ามาหาแล้วพูดกับเหยียนจื่อว่า “พวกเราออกไปก่อนเถอะ ปล่อยให้เสด็จแม่อยู่คนเดียวสักพัก”
พวกเขาจึงออกไปอีกครั้ง อาอวิ๋นกับอีเหลียนปิดประตูและเฝ้าประจำอยู่ที่ประตูเช่นเดิม
หลี่หรงเฉิงและเหยียนจื่อเดินออกไปข้างนอก เหยียนจื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้หลี่หรงเฉิง พลางกล่าวว่า “เช็ดน้ำตาของท่านเถิด ประเดี๋ยวคนข้างนอกเห็นองค์ชายแปดร้องไห้เฉกเช่นสตรีจะเสียหน้าเอานะเพคะ”
หลี่หรงเฉิงรับผ้าเช็ดหน้ามา แต่กลับเช็ดหน้าให้เหยียนจื่อแทนแล้วเอ่ยขึ้น “ว่าแต่ข้า ดูเจ้าสิ เครื่องประทินโฉมหลุดหมดแล้ว”
เหยียนจื่อรีบปิดบังใบหน้าตนแล้วตอบกลับ “อา? มันหลุดหมดเลยหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันน่าเกลียดหรือเปล่า”
หลี่หรงเฉิงหัวเราะและพานางไปที่บ่อน้ำ ชายหนุ่มให้นางมองเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำแล้วกล่าวต่อ “เจ้าเหมือนแมวลายตัวใหญ่”
ทันทีที่เหยียนจื่อเห็นว่าเป็นดังที่เขาว่าจริง ๆ นางก็ละอายใจจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ นางเกือบจะมุดหน้าลงในบ่อเก็บน้ำแล้ว
หลี่หรงเฉิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนี้เขาจึงมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อเขาได้หยอกล้อเหยียนจื่อ
เหยียนจื่อเพิ่งเอามือปิดใบหน้าของนางจึงไม่ได้คุยกับหลี่หรงเฉิง หลี่หรงเฉิงเองก็ไม่มองใบหน้าของนางจนกระทั่งเขาเรียกสาวใช้ตัวน้อยมาแล้วขอให้เหยียนจื่อกลับไปที่ห้องของนางเพื่อแต่งหน้าอีกครั้ง
หลี่หรงเฉิงกล่าวกับนาง “หากไม่ได้แต่งหน้า เจ้าจะไม่ให้ใครเห็นหน้าเจ้าเลยใช่หรือไม่?”
เหยียนจื่อพูดว่า “สตรีทุกคนก็ใส่ใจเรื่องความงามกันทั้งสิ้น ท่านจะไปรู้อะไรล่ะเพคะ”
หลี่หรงเฉิงเอ่ยต่อ “จะกลัวไปไย นอกเสียจากไร้เครื่องประทินโฉมแล้ว เจ้าดูอัปลักษณ์มาก”
เหยียนจื่อพ่นลมหายใจ “ทุกคนในวังหลวงต่างแต่งตัวงามงด ท่านเคยเห็นหญิงใดไม่แต่งหน้าบ้างหรือ”
หลี่หรงเฉิงกล่าวว่า “เสด็จแม่ ข้ายังสง่างามยามไร้เครื่องประทินโฉม”
เหยียนจื่อเอ่ย “พระสนมจาวเป็นหญิงงามที่สุดในโลกหล้า จะไปเปรียบกับปุถุชนได้อย่างไรเพคะ? ไม่เช่นนั้นฮ่องเต้จะตกหลุมรักแล้วแต่งงานกับนางในฐานะนางสนมได้อย่างไร”
หลังได้ยินเช่นนั้น หลี่หรงเฉิงไม่อาจแย้มยิ้มต่อ เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว”
“หืม?”
“เสด็จพ่อไม่เคยตกหลุมรักเสด็จแม่เลย” หลี่หรงเฉิงกระซิบ
เหยียนจื่อชักแปลกใจ “หากไม่รักแล้วเหตุใดจึงแต่งงานล่ะเพคะ”
หลี่หรงเฉิงถอนหายใจ “ไม่ใช่ชายและหญิงทุกคนในโลกนี้ที่แต่งงานกันด้วยความรัก เสด็จพ่อมีนางสนมมากมายในวัง เขาจะรักทุกคนได้หรือ? เสด็จแม่ของข้าไม่เคยเป็นที่รักของเสด็จพ่อเลยสักคราหนึ่ง”
‘หากเป็นเช่นนั้น สนมจาวผินหลินไม่น่าสงสารหรือ’ เหยียนจื่อคิด
หลี่หรงเฉิงรู้ว่าเหยียนจื่อยังเลินเล่อ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องในวัง เขาจึงบอกนางว่า “เสด็จแม่เป็นสาวใช้ของฮองเฮาเสี้ยวหมิ่น ตอนนั้นฮองเฮากำลังตั้งท้องพี่รองอยู่ จึงตอบสนองความต้องการของเสด็จพ่อไม่ได้ เสด็จพ่อยังหนุ่มแน่น มีกำลังวังชา มิแปลกที่ยังมีความต้องการอยู่”
เหยียนจื่อทาบมือลงบนแก้มตนแล้วตั้งใจฟังเงียบ ๆ
“ฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นเชื่อฟังตระกูลของตนเองมาก นางอยากรักษาความประสงค์ของตระกูลจึงเลือกหญิงสาวรอบตัวนางไปปรนนิบัติ นางเลือกหญิงสาวที่มีความอ่อนโยน แล้วส่งไปยังห้องนอนของเสด็จพ่อ”
“เสด็จแม่โบยบินสู่ยอดกิ่งไม้ในชั่วข้ามคืน นางกลายเป็นนกเฟิ่งหวง แต่นางยังเยาว์วัยนัก แม้จะอ่อนน้อมถ่อมตน กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบ นางมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในวังทีเดียว”
“ฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นให้กำเนิดรัชทายาท จึงมีตำแหน่งมั่นคงในวังหลวง หลังเห็นว่าเสด็จแม่ข้าเชื่อฟังดีเช่นไร นางก็ดูแลเสด็จแม่ดีเป็นพิเศษ บางครั้งนางจะเกลี้ยกล่อมให้เสด็จพ่อมาที่ตำหนักแม่ข้าในยามค่ำคืน แต่สนมจางและสนมเสียนก็ยังอยู่ในวัง เสด็จแม่จึงไม่มีความสำคัญใด ๆ”
“หลังฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นตั้งท้องลูกชายอีกคน นางพลาดตกสระเสียชีวิต ร่างเดียวคร่าไปถึงสองชีวิต เวลานั้นเสด็จพ่อเสียใจมาก ไม่ถึงหนึ่งปีต่อมาเขาจึงแต่งฮองเฮาเฉียนขึ้นมา”
“ตั้งแต่นั้นมาเสด็จแม่ก็ถูกลดความสำคัญลงไปอีก นางไม่ค่อยถูกเรียกหา นางถูกเรียกเพียงสองหรือสามครั้งต่อปี ในวังหลวงนี้ทุกคนล้วนมองนางอย่างดูถูกดูแคลน”
เหยียนจื่อขัดจังหวะ “แต่ท้ายที่สุดนางก็ให้กำเนิดท่าน ท่านเป็นถึงองค์ชายแปดที่น่าภูมิใจมาก สนมจาวต้องภูมิใจในตัวท่านมากแน่เพคะ”
หลี่หรงเฉิงแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “หลังเสด็จแม่ตั้งครรภ์ ฮองเฮาเฉียนก็ตั้งครรภ์เช่นกัน ทุกคนในวังไปประจบฮองเฮาจึงไม่มีใครสนใจเสด็จแม่”
“เสด็จแม่ของข้าแสนดี ยอมอยู่ในตำหนักที่ห่างไกลออกไป เสด็จพ่อไม่สนใจมาเยี่ยมนาง แม้แต่หมอหลวงตรวจชีพจรก็ไม่ได้ส่งมา”
“ในวันที่นางให้กำเนิดข้า หิมะตกทั่วท้องนภา มีเพียงสาวใช้ที่ออกไปตามหาหมอหลวงและหมอทำคลอดมาให้ กระนั้นก็ได้รับแจ้งว่าฮองเฮากำลังจะคลอดบุตรด้วย หมอทำคลอดทุกคนในวังจึงไปแออัดอยู่ในตำหนักจาวหยาง”
“สาวใช้ของเสด็จแม่ต้องการเข้าไปในตำหนักจาวหยางเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่นางก็ถูกไล่ออกมา นางทะเลาะกับทหารยามในวังจนเลือดตกยางออก ทว่าสุดท้ายกลับไม่มีใครสนใจนาง นางจึงต้องกลับมา”
“โชคดีที่เสด็จแม่ของข้ามีอาหารเพียงพอระหว่างอาศัยอยู่ในตำหนัก เมื่อคลอดออกมาข้าจึงหนักสมส่วนพอดี และเมื่อสาวใช้กลับมาถึง ข้าก็เกิดมาแล้ว ส่วนเสด็จแม่เป็นลมหมดสติด้วยความเจ็บปวด เลือดหลั่งไหลไปทั่วเตียง”
เหยียนจื่อฟังเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตขององค์ชายแปดแล้วรู้สึกหวาดหวั่น นางจำได้ว่าแม่เหอเองก็ถูกเหยียดหยาม ถูกรังแกทุกที่ในตระกูลเหยียน ว่ากันว่าตอนนางเกิดมา แม่ของนางไม่สามารถจ่ายเงินค่าหมอได้ นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปจับมือหลี่หรงเฉิง
หลี่หรงเฉิงลูบฝ่ามือของนางเบา ๆ และกล่าวต่อ “ฮองเฮาให้กำเนิดองค์หญิงเร็วกว่าข้าหลายชั่วโมง ในวังไม่เคยมีองค์หญิงมาก่อน เสด็จพ่อจึงยินดีอย่างยิ่ง”
“ตอนที่เสด็จพ่อออกมาจากตำหนัก หิมะตกหนักไม่หยุด เขาเห็นร่องรอยคราบเลือดจากสาวใช้หน้าประตู หลังรู้ว่าเสด็จแม่ให้กำเนิดบุตรชายจึงส่งหมอมาช่วยชีวิตแม่ข้า เวลานั้นหากหมอมาถึงช้าไปครู่เดียว เสด็จแม่คงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
“นางสนมให้กำเนิดองค์ชาย ส่วนฮองเฮาไม่เคยพบความสุขใด ๆ เลยตั้งแต่นางให้กำเนิดผิงหยาง นางไม่มีบุตรชาย ราวกับโชคชะตานางได้ถูกลิขิตไว้”
“ฮองเฮาทรงโทษเสด็จแม่เรื่องนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางได้รับความอัปยศอดสูจากฮองเฮามากมาย ตั้งแต่เสด็จพ่อแต่งตั้งให้เป็นสนมในวันพระจันทร์เต็มดวง เสด็จแม่ก็ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งใดในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาอีกเลย”
เมื่อมาถึงจุดนี้ หลี่หรงเฉิงเริ่มหัวเราะด้วยเสียงผะแผ่ว รอยยิ้มของเขาทวีความเย็นชาออกมา
“ตลกดีที่ข้าต้องพูดว่าเสด็จแม่โชคดีเพราะฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นคนก่อน ชื่อที่เสด็จพ่อของข้ามอบให้นางคือคำว่า ‘จาว’ หมายถึงพระอาทิตย์ขึ้น คล้ายคลึงกับสถานที่ที่ฮองเฮาเฉียนอาศัยอยู่คือตำหนักจาวหยาง”
“ฮองเฮาเฉียนโกรธมากกับตำแหน่งของเสด็จแม่ เวลานั้นทุกคนในวังทึกทักว่าเสด็จพ่อดูแลเสด็จแม่ดีกว่าคนอื่น ท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงชื่อที่ทำให้ผู้คนขุ่นเคือง”
“ตั้งแต่นั้นมาเสด็จแม่ต้องทนกับความโกรธเคืองของฮองเฮา นางไม่ได้ต้องการชื่อนี้แม้แต่น้อย อีกอย่าง เสด็จพ่อไม่ได้ประทานชื่อนี้แด่เสด็จแม่เพราะรัก แต่ประทานให้เพราะเห็นแก่ฮองเฮาคนก่อน”
เหยียนจื่อกระซิบว่า “สนมจาวเป็นคนโชคดีมาก”
“ดีหรือ?” หลี่หรงเฉิงงงงวย
เหยียนจื่อกล่าวว่า “ชีวิตของนางนั้นยากลำบากมาก แต่นางมีลูกชายที่ดี ร่าเริง กตัญญูกตเวทีและมีน้ำใจ ช่างโดดเด่นมาก ดังนั้น…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หรงเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขัดขึ้น “หากเจ้าสรรเสริญข้าแบบนี้อีก ข้าคงเขินเอาเสีย”
เหยียนจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นท่านเศร้า ให้ข้าพูดอะไรดี ๆ เพื่อปลอบโยนท่านได้ไหมเล่า”
หลังหลี่หรงเฉิงเข้าใจว่านางล้อเล่น เขาจึงพูดอย่างห้าวหาญว่า “เช่นนั้นก็พูดอีกเถิด”
เหยียนจื่อแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีให้ชมอีกแล้วเพคะ!”
หลี่หรงเฉิงหัวเราะร่า “ไม่มีแล้วอันใดกัน ข้าหลี่หรงเฉิง หล่อเหลา น่าหลงใหล กล้าหาญ อหังการ เอ้อ ข้าสง่างามเหมือนผานอัน*[1] เอ่อ… เยือกเย็น สูงส่ง ทรงพลังและ… ”
เหยียนจื่อกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงสรรเสริญผู้คนหรือจะประกวดบทกวีเพคะ?”
[1] ผานอันสื่อถึงคนที่ดูดีหล่อเหลาตั้งแต่อายุยังน้อย