ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 75 การเต้นรำที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง
บทที่ 75 การเต้นรำที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง
หลี่หรงเฉิงกล่าวต่อ “ในวังแห่งนี้ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหนานฉวี่มานานแล้ว เสด็จแม่ของข้าคิดถึงบ้านเกิดยิ่งนัก หลังจากที่นางได้ยินว่าสำนักเยว่ฝู่กำลังจะจัดงานเต้นรำหนานฉวี่ นางจึงดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลังได้ยินว่าเพลงเต้นรำนี้ใช้เพียงในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ นางก็ดูผิดหวังไม่น้อย”
“หากสนมจาวประสงค์จะชมการเต้นรำ นางก็ชมได้ในงานเลี้ยง เหตุใดจึงต้องเศร้าด้วยล่ะเพคะ” เหยียนจื่อถาม
หลี่หรงเฉิงส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ฮองเฮาไม่ชอบแม่ของข้า นางไม่เคยเข้าร่วมโอกาสเช่นนี้ จึงไม่อาจเห็นเจ้าเต้นรำได้”
เหยียนจื่อไม่รู้เรื่องภายในของนางสนมเหล่านี้ นางได้ยินครั้งสองครั้งว่าสนมจาวเป็นคนรับใช้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนของฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นในอดีต ทว่าต่อมานางกลายเป็นนางสนมที่ไม่ได้รับการโปรดปราน หรืออาจเป็นเพราะฮองเฮาเสี้ยวหมิ่น ฮองเฮาเฉียนจึงไม่ชอบสนมจาวไปด้วย?
หลี่หรงเฉิงกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าเสด็จแม่เจ็บปวด ข้าจึงอยากแหกกฎให้ท่านชมการเต้นรำหนานฉวี่เพื่อเป็นกำลังใจให้นาง แต่งานเต้นรำนั้นได้จัดยิ่งใหญ่นัก และยากที่จะนำฉากเข้ามาในชุ่ยอวี้เซวียน ในเมื่อเจ้าเป็นผู้นำเต้น ข้าก็อยากเชิญเจ้ามาเต้นรำให้เสด็จแม่ข้าชมคนเดียว”
เหยียนจื่อจะไม่ตอบรับได้อย่างไร? “แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่หม่อมฉันจะเต้นโดยไม่มีดนตรี ฝ่าบาทจะเชิญนักบรรเลงมาร่วมงานด้วยงั้นหรือ?”
หลี่หรงเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องจ้างนักบรรเลงหรอก เหตุใดเจ้าคิดว่าข้ารุดไปสำนักเยว่ฝู่ของเจ้าสามวันสองคืนโดยไม่ได้ประโยชน์อันใดเล่า? ทุกครั้งที่เจ้าซ้อม ข้าได้ยินบทเพลงอยู่สองสามเพลงแล้วจดจำมาเกือบหมดแล้ว”
เหยียนจื่อรู้สึกประหลาดใจมาก “แต่นั่นเป็นเพลงใหม่ที่สำนักเยว่ฝู่แต่งขึ้น ทั้งยังใช้นักบรรเลงตั้งหลายคน ทุกคนศึกษาดนตรีมาเป็นเวลานาน ฝ่าบาททรงฟังอยู่แค่นั้นจะจำได้อย่างไร”
หลี่หรงเฉิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าจะเล่นกู่เจิงให้เจ้าฟังในวันพรุ่งนี้”
จู่ ๆ รอยยิ้มของหลี่หรงเฉินก็จางหายไปเป็นความเศร้าสร้อยแทน “ความจริงแล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันพระราชสมภพของเสด็จแม่ น่าเสียดายที่ทุกคนในวังกำลังยุ่งอยู่กับงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันพระราชสมภพของไทเฮา ไม่มีใครสนใจแม่ข้าเลย”
เหยียนจื่อเห็นดังนั้นจึงเอ่ย “อย่าคิดมากเลยเพคะ ลูกชายคนสำคัญที่สุดพยายามขนาดนี้แล้ว พระสนมจาวต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”
“ขอบคุณเจ้า เหยียนจื่อ” หลี่หรงเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น
วันรุ่งขึ้น เหยียนจื่อก็หาข้ออ้างที่จะแอบออกจากประตูจนได้ โดยมีอาอวิ๋น ขันทีตัวน้อยของหลี่หรงเฉิงมารอพบนางที่ประตู
เหยียนจื่อและเขารีบไปที่ประตูชุ่ยอวี้เซวียน ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไป เหยียนจื่อกลับรั้งตัวอาอวิ๋นเอาไว้เสียก่อน “ผมของข้ายุ่งหรือไม่? ข้าแต่งหน้างามแล้วใช่หรือเปล่า”
อาอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่นาง เจ้าออกจะงามไม่ต่างจากเทพธิดา จะกังวลอันใดไป?”
เหยียนจื่อยิ้มอย่างขัดเขินแล้วพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาพบสนมจาวจึงประหม่าขึ้นมาน่ะเจ้าค่ะ”
อาอวิ๋นบอกนางว่า “สนมจาวเป็นคนที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
เหยียนจื่อยังคงประหม่า นางหวีผมอยู่ด้านนอกพักใหญ่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในที่สุด
ชุ่ยอวี้เซวียนเป็นตำหนักที่เล็กมากเมื่อเทียบกับตำหนักของสนมคนอื่น ๆ ในวัง ดูแล้วช่างเป็นตำหนักที่เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง
มองเข้าไปในสวนมีดอกบัวดอกใหญ่อยู่ในกระถางทั้งสองข้างทาง บัดนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง กลีบดอกบัวจึงร่วงหล่นเหลือเพียงกิ่งก้านเท่านั้น
ดาวเรืองริมทางผลิบานงดงาม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพันธุ์ที่หาดูยาก แต่ก็เปล่งความมีชีวิตชีวาออกมา
ในขณะที่บริเวณหน้าลาน สาวใช้ทั้งสามกำลังกวาดลาน ส่วนขันทีทอหวายอยู่ใกล้ ๆ กำแพง
อาอวิ๋นเดินนำเหยียนจื่อเข้าไปในประตู คนแรกที่ออกมาคือหัวหน้าสาวใช้ร่างท้วมชื่ออีเหลียน ชื่อของนางไพเราะยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มันไม่ตรงกับรูปร่างของนางสักเท่าไร
อีเหลียนพาเหยียนจื่อเข้าไปยังห้องด้านใน หลี่หรงเฉิงนั่งอยู่ที่โต๊ะกินอาหาร บนเก้าอี้ข้าง ๆ เป็นสตรีใบหน้างดงามคนหนึ่ง นั่นก็คือสนมจาวนั่นเอง
เหยียนจื่อโน้มกายลงแล้วคำนับตามกฎ “เหยียนจื่อถวายพระพรสนมจาวผินหลิน และองค์ชายแปด”
เมื่อเห็นเหยียนจื่อ จาวผินหลินก็รีบให้หลี่หรงเฉิงช่วยนางลุกขึ้นก่อนจะยิ้มด้วยความอ่อนโยน “เจ้าคงเป็นผู้หญิงที่เฉิงเอ๋อร์พูดถึง ช่างงดงามยิ่ง”
หลี่หรงเฉิงหัวเราะพร้อมผุดยิ้ม “เสด็จแม่พูดอันใดกัน ข้าบอกว่านางสวยตั้งแต่เมื่อไร”
จาวผินหลินทาบปากตนเองแล้วแย้มยิ้มจาง ๆ “ลูกว่านางไม่สวยหรือ?”
เหยียนจื่ออดยิ้มไม่ได้ “ฝ่าบาท พระสนมเพียงแค่ชมตามมารยาทเท่านั้น ท่านทำความแตกเองไปแล้วเพคะ”
หลี่หรงเฉิงชักขัดเขินจึงลอบมองเหยียนจื่ออย่างเงียบ ๆ แทน
จาวผินหลินลุกขึ้นยืนและกวักมือเรียกเหยียนจื่อให้นั่งลงใกล้ ๆ โต๊ะ หลี่หรงเฉิงจึงนั่งลงอีกครั้ง
เหยียนจื่อรู้สึกหวาดกลัวเลยยังไม่กล้านั่ง หลี่หรงเฉิงจึงดึงนางลงมาที่เก้าอี้ แล้วกล่าวขึ้น
“ที่นี่ไม่ได้ดีไปกว่าที่อื่นในวัง เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับกฎ ทำตัวปกติก็ได้ อีเหลียน เจ้าไปเอาบะหมี่สักชามมาให้เหยียนจื่อซิ”
เหยียนจื่อตอบกลับ “หม่อมฉันกินมาแล้วเพคะ”
หลี่หรงเฉิงคีบเส้นบะหมี่ด้วยตะเกียบและพูดต่อ “เจ้าต้องลองชิมบะหมี่อายุยืนยาวที่แม่ข้าทำ! มันไม่ต่างกับรสชาติที่พี่เจ้าทำหรอก!”
จาวผินหลิน “หืม? เจ้ารู้จักพี่สาวของแม่นางผู้นี้ด้วยหรือ”
หลี่หรงเฉิงตอบว่า “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าพบพี่สาวของนางก่อน ในเวลานั้นข้าและพี่รองพักอยู่ในภัตตาคารของนางเป็นเวลาหลายวันเมื่อไปเยี่ยมเยียนเมืองอวิ๋นเจี้ยน เสด็จพ่อชื่นชอบฝีมือพี่สาวของนาง ดังนั้นจึงเรียกพวกนางเข้าวัง ตอนนี้พี่สาวของนางเป็นแม่ครัวหลวงแล้ว”
จาวผินหลินพยักหน้า “ดีที่เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ข้าความจำแย่มาก ลืมไปเสียสิ้น”
ในขณะที่นางกำลังพูด อีเหลียน สาวใช้อ้วนก็นำบะหมี่สองชามเข้ามา หนึ่งชามสำหรับเหยียนจื่อและอีกชามหนึ่งสำหรับตัวเอง จากนั้นถึงเริ่มยืนกิน
หลี่หรงเฉิงพูดกับอีเหลียนว่า “เจ้าเพิ่งกินไปก่อนหน้านี้หนึ่งชาม และตอนนี้เจ้ายังกินมันอีก! หากหมดแล้วเจ้าคงกินข้า!”
อีเหลียนไม่เสียเวลาตอบ นางคีบบะหมี่หนึ่งคำเข้าปากแล้วเอ่ยกลับไป “องค์ชายแปดตระหนี่มากเพคะ หากหม่อมฉันไม่กินบะหมี่ชามนี้ มันก็คงเป็นของเหลือแล้วถูกทิ้งไป น่าเสียดายออกเพคะ”
สนมจาวจึงพูดกับลูกชายของนางว่า “ชามหนึ่งใบก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้า ส่วนที่เหลือทั้งหมดให้เป็นของอีเหลียน”
หลี่หรงเฉิงกล่าวต่อ “วันของท่านแท้ ๆ ท่านอุตส่าห์ลงมือทำบะหมี่อายุยืนยาวด้วยตัวเอง ท่านเพิ่งได้กินเพียงครึ่งชาม ส่วนที่เหลือกลับถูกเทลงในท้องของอีเหลียน ข้าไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันของท่านหรือวันของนางกันแน่”
อีเหลียนที่กินบะหมี่หมดไปครึ่งชามพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของพระสนม หนึ่งปีมีหนเดียว คราวหน้าข้าจะกินข้าวให้น้อยลงหนึ่งชามนะเพคะ”
เหยียนจื่อรู้สึกประหลาดใจที่บรรยากาศในตำหนักชุ่ยอวี้เซวียนนั้นผ่อนคลายมาก สาวใช้และเจ้านายสามารถพูดคุยกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนางไม่เคยได้ยินเช่นนี้ในตำหนักใดมาก่อน
นางก้มศีรษะอย่างเพื่อกินบะหมี่อย่างเงียบ ๆ เส้นบะหมี่เป็นเส้นบะหมี่ทั่ว ๆ ไป ส่วนผักสีเขียวและเนื้อฝอยรสชาติอ่อนมาก แต่กระนั้นมันก็อบอุ่นและอร่อยเป็นพิเศษ หลังกินไปหนึ่งคำ ความรู้สึกอยากกินอีกคำก็ตามมาทันที
หลังจากกินบะหมี่แล้ว หลี่หรงเฉิงก็เรอออกมาและยิ้มให้กับเหยียนจื่อ
เมื่อเหยียนจื่อเห็นว่าองค์ชายและอีเหลียนกินเสร็จแล้วและเหลือเพียงตัวนางเองเท่านั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า นางจึงรีบอ้าปากกินคำใหญ่
จาวผินหลินรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและพูดเบา ๆ ว่า “กินช้า ๆ เถิด เฉิงเอ๋อร์ย่อยเร็วเกินไป ข้าไม่รู้ว่าข้าดุเขาไปกี่ครั้งแล้ว เขาควรเรียนรู้จากเจ้ามากกว่า”
“ข้ากินเร็วเฉพาะชามที่อร่อย ข้าไม่เคยกินเร็วเท่านี้เมื่ออยู่ข้างนอก” หลี่หรงเฉิงกล่าว
จากนั้นไม่นาน เหยียนจื่อก็กินเสร็จ อีเหลียนจึงเก็บชามและตะเกียบแล้วเดินออกไป
หลี่หรงเฉิงกะพริบตาให้เหยียนจื่อ นางเข้าใจว่าถึงเวลาแล้วจึงเตรียมที่จะเอ่ยปาก แต่หลี่หรงเฉิงกลับยืนขึ้นแล้วพูดออกมาเสียก่อน “เสด็จแม่โปรดพักผ่อนเถิด ข้าจะพาเหยียนจื่อออกไปเยี่ยมชมสวน”
เหยียนจื่อไม่รู้ว่าจะไปที่ใด นางจึงต้องตามหลี่หรงเฉิงออกไป
เมื่อพวกเขาออกไปข้างนอก หลี่หรงเฉิงก็พานางไปรอบ ๆ สวน
เหยียนจื่อจึงเอ่ยถามออกไป “เรามาทำอะไรที่นี่กันหรือเพคะ”
หลี่หรงเฉิงตอบ “ข้ากลัวว่าหากเจ้าเต้นหลังจากกินบะหมี่จะปวดท้องขึ้นมา ข้าจึงพาเจ้าออกมาเดินเล่น”
เหยียนจื่อไม่ได้คาดหวังว่าองค์ชายแปดจะมีน้ำใจมากเช่นนี้
ทั้งสองเดินอยู่หลายรอบก่อนที่หลี่หรงเฉิงจะพานางกลับเข้ามาในตำหนักอีกครั้ง
อีเหลียนและอาอวิ๋นได้เตรียมกู่เจิงและวางผ้าปูสำหรับเต้นรำไว้กลางห้องแล้ว จาวผินหลินยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เมื่อนางเห็นทั้งสองเดินเข้ามา นางก็ยกยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
เหยียนจื่อคำนับนางอีกครั้งและตรงเข้าไป
หลี่หรงเฉิงนั่งลงข้าง ๆ กู่เจิง ด้วยการเคลื่อนไหวของนิ้วมือทั้งสิบ เสียงดนตรีดั่งเสียงน้ำไหลของฤดูใบไม้ผลิก็พรั่งพรูออกมา
เหยียนจื่อเริ่มร่ายรำไปพร้อมกับดนตรี
นางเรียนรู้การเต้นรำนี้มาสามเดือนแล้ว ต้องเต้นเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งทุกวัน จึงคุ้นเคยกับมันไปเสียแล้ว
การเต้นรำเดิมประกอบด้วยกลุ่มคนหกสิบสี่คน และมีผู้บรรเลงมากกว่าสามสิบคนที่เล่นเครื่องดนตรีหลากหลายประเภท วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางเต้นคนเดียว อีกทั้งยังมีเครื่องดนตรีบรรเพลงเพียงชนิดเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินหลี่หรงเฉิงเล่นกู่เจิงเช่นกัน
ในอดีต นายท่านเฉิงยกย่ององค์ชายแปดเรื่องความสามารถทางดนตรีมาเสมอ แต่นั่นก็เป็นเพียงคำพูด เหยียนจื่อคิดว่าตนเป็นคนเดียวในสำนักเยว่ฝู่ที่ได้ยินองค์ชายแปดเล่นกู่เจิง เว้นแต่นายท่านเฉิง
เหยียนจื่อไม่ได้เรียนหนังสือมามากนัก นางจึงไม่ค่อยรู้จักบทกวีโบราณเท่าใดนัก “เสียงเพลงที่ฟังชัดราวหยกงามแห่งขุนเขาคุนหลุน นกเฟิ่งหวงร้องเรียก ดอกฝูหรงบานสะพรั่งกลางน้ำค้าง กล้วยไม้ส่งกลิ่นหอม” เนื้อเพลงเหล่านี้คืออะไรกัน
นานงประหลาดใจ เหตุใดนักบรรเลงเล่นเพลงเดียวกันได้แตกต่างกับหลี่หรงเฉิง? หรือกู่เจิงของหลี่หรงเฉิงดีกว่า?
นางร่ายรำไปตามเพลง บางช่วงเยื้องกรายอย่างอ่อนช้อย บางช่วงหมุนท่วงท่าสง่างาม
การเต้นรำทางใต้นั้นแตกต่างจากการเต้นรำฮั่นซึ่งเน้นบรรยากาศที่กล้าหาญและสง่างาม คล้ายกับการเต้นหูซวนที่ยืดหยุ่นและนิ่มนวล กระนั้นก็ยังต่างไปค่อนข้างมาก การเต้นเน้นเยื้องกรายดั่งนกนางแอ่นเข้ารังแล้วโฉบสูงดั่งนกกางเขนยามลับสนธยา
เหยียนจื่อคุ้นเคยกับขั้นตอนการเต้นเหล่านี้ แต่ทักษะการเต้นของนางคือระบำหูซวน ดังนั้นความเข้าใจของนางเกี่ยวกับการเต้นรำนี้จึงไม่ละเอียดถี่ถ้วนมากนัก
แต่ก็ยังออกมางดงามยิ่งนัก
ฮ่องเต้ชอบชมการเต้นรำของหูซวน การเต้นรำฮั่นนั้นใช้สำหรับงานเลี้ยงขนาดใหญ่ในพระราชวัง ส่วนการเต้นรำหูซวนมักใช้สำหรับงานเลี้ยงขนาดเล็ก ผู้คนในสำนักเยว่ฝู่ย่อมอยากทำตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ เหยียนจื่อมีพื้นฐานการเต้นรำอยู่แล้ว มีเพียงการเต้นรำเท่านั้นที่ทำให้ฮ่องเต้โปรดปรานได้
จาวผินหลินไม่ได้ยินเสียงเพลงท้องถิ่นและไม่ได้เห็นการเต้นรำจากบ้านเกิดมายี่สิบปีแล้ว ยามนี้เมื่อเห็นลูกชายของนางเล่นกู่เจิงและมีเหยียนจื่อเต้นรำ ความคิดอันหลากหลายจึงประดังเข้ามาจนน้ำตารินไหล
แม้ว่าหลี่หรงเฉิงจะเล่นกู่เจิง แต่เขาก็ไม่ได้มองไปที่สายของมัน เพราะสายตาของเขาจ้องมองไปยังเหยียนจื่อที่เต้นรำอยู่โดยไม่อาจละสายตา
เขาอ่านประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยังเด็ก อย่างเรื่องราวของเฉาจื่อที่เห็นเทพธิดาลั่วเต้นรำบนฝั่งแม่น้ำลั่วสุ่ย ในกวีเขียนไว้ว่า “โบยบินดั่งปักษา ผ่าเผยดั่งมังกร”
หรือเทพธิดาลั่วในอดีตจะเป็นเช่นเดียวกับเหยียนจื่อกัน?