ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 71 ได้รับการช่วยเหลือ
บทที่ 71 ได้รับการช่วยเหลือ
เหยียนอี้ไม่สนใจความคิดของชายหนุ่ม นางคว้าชายกระโปรงของตัวเองขึ้นมาฉีกมันออกจากกัน
ใบหน้าของหลี่หรงอวี่พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง เขากระแอมไอและเบือนหน้าหลบไปทางอื่น
ชายหนุ่มมีสัดส่วนและกล้ามเนื้อที่ดูดี หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงแสดงให้เห็นว่ากำลังหายใจ
เหยียนอี้เห็นว่ามีบาดแผลมากมายบนหน้าอก แขน และหลังของเขา แต่บาดแผลเหล่านั้นไม่ลึกมาก พวกมันสัมผัสเพียงผิวหนัง ไม่ได้ทำร้ายถึงกล้ามเนื้อและกระดูก ตราบใดที่เลือดหยุดก็ไม่มีปัญหาร้ายแรง
ส่วนอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงที่สุดคือไหล่ซ้าย มันเป็นรูขนาดใหญ่ เหยียนอี้ เพิ่งทายาเสร็จและเลือดก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฉีกชายกระโปรงของนางและพันแผลไว้แน่น
เหยียนอี้ไม่เคยปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้มาก่อน นางอดที่จะประหม่าไม่ได้ นางเกือบจะห่อร่างของหลี่หรงอวี่เป็นมัมมี่และใช้ยารักษาแผลทั้งขวด
หลี่หรงอวี่เจ็บปวดทุกครั้งที่นางสัมผัสโดนบาดแผล แต่เมื่อเขาเห็นว่านางประหม่ามาก เขาจึงเลือกที่จะเงียบ ขณะเดียวกันนั้นเหงื่อบนหน้าผากของเขาก็เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากที่เหยียนอี้รักษาบาดแผลที่เท้าของเขาเสร็จ หลี่หรงอวี่ก็หมดสติไป
เหยียนอี้เห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก นางสะอื้นไห้ แต่ไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น เมื่อนางสัมผัสมือของชายหนุ่มจึงพบว่ามันเย็นมาก บางทีอาจเป็นเพราะการสูญเสียเลือดมากเกินไป
นางมองไปรอบ ๆ และเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเก็บกวาดนอกจากผ้าห่มสกปรกของขอทาน
หลี่หรงอวี่ได้สอนนางเมื่อตอนที่เขายังรู้สึกตัว เขาบอกว่าแผลไม่ควรสัมผัสสิ่งสกปรก ซึ่งตอนนี้นางคิดว่าผ้าห่มมีกลิ่นเหม็นเกินไป หากเอามันขึ้นมาห่มในขณะที่เขากำลังนอนหลับ กลิ่นเหม็นนี้ก็อาจจะปลุกเขาตื่นขึ้นมาได้
เมื่อไม่มีผ้าห่ม เหยียนอี้จึงออกไปข้างนอกเพื่อหยิบฟืนขึ้นมาเป็นเชื้อเพลิงเร่งไฟให้แรงขึ้น
โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อน แม้จะนอนเช่นนี้ก็ไม่หนาวจนเกินไป
แต่นางไม่กล้านอน นางกลัวว่าจะมีคนชั่วบุกมาในขณะที่หลี่หรงอวี่ยังหมดสติ อยู่หรืออาจเกิดไฟไหม้ขึ้นมาก็ได้
เหยียนอี้นั่งยอง ๆ ข้าง ๆ หลี่หรงอวี่ ก่อนจะแตะหน้าผากและมือของเขาเป็นครั้งคราว เขาไม่มีไข้ แต่มือของเขาเย็นมากจนนางอดไม่ได้ที่จะกุมมือชายหนุ่มไว้
หลี่หรงอวี่นอนหลับสนิทปราศจากเสียงใด ๆ เหยียนอี้เหยียดมือออกไปอังนิ้วบริเวณจมูกของเขาเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
แม้หลี่หรงอวี่จะพูดเสมอว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นางเห็นบาดแผลใหญ่หลายจุด เช่นนี้ไม่เรียกว่าบาดเจ็บสาหัสหรือ?
นางกลัวมากเกินไป นางเหนื่อย นางคิดหนัก และไม่นานก็เผลอนอนหลับไป
…
นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะถูกใครบางคนเขย่า ก่อนจะพบว่ามันเป็นวันที่สามแล้ว
นางลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องตกใจอย่างมาก เนื่องจากขณะนี้ภายในห้องเล็กเต็มไปด้วยกลุ่มคน พวกเขาทั้งหมดเป็นทหารรักษาพระองค์
มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเหยียนอี้จำได้ว่าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของตำหนักตะวันออก และยังมีสาวใช้ ลั่วอิ๋ง นางกำลังคุกเข่าต่อหน้าหลี่หรงอวี่และร้องเรียก “ฝ่าบาทเพคะ! ฝ่าบาท!”
ใช้เวลานานกว่าที่หลี่หรงอวี่จะตื่นขึ้นมา เมื่อเขาลืมตาขึ้นและเห็นคนจำนวนมาก เขาก็ตกใจ
ลั่วอิ๋งและเหล่าทหารคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วเพื่อทำความเคารพ ลั่วอิ๋งพูด “ขอบคุณสวรรค์ ฝ่าบาท ในที่สุดพระองค์ก็ฟื้นแล้ว!”
หลี่หรงอวี่อยากลุกขึ้น ลั่วอิ๋งรีบเอื้อมมือไปช่วยพยุงเขา
หลี่หรงอวี่ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ลั่วอิ๋งจึงตอบว่า “ฝ่าบาทไม่เสด็จกลับมาทั้งคืน ทุกคนในตำหนักตะวันออกวุ่นวายกันไปหมด เมื่อองค์ชายแปดทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ก็ทรงส่งองครักษ์คนสนิทและคนในตำหนักตะวันออกเพื่อตามหารอบ ๆ หวงจวงตลอดทั้งคืน จนกระทั่งเราเห็นม้าของฝ่าบาทนอกวัดหอกเหล็ก รวมถึงศพของท่านช่างและท่านหวัง เราทุกคนตกใจกันมากเพคะ”
“น้องแปดอยู่ที่ใด” หลี่หรงอวี่มองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นหลี่หรงเฉิง
ลั่วอิ๋งตอบว่า “องค์ชายแปดไม่สามารถออกจากวังได้เพคะเพราะต้องอยู่ในตำหนักตะวันออกและแต่งกายเป็นพระองค์ ท่านทั้งสองมีรูปร่างคล้ายกัน หากมีใครมาพบเข้า เรื่องที่องค์รัชทายาทหายตัวไปก็จะไม่แดงขึ้นมาเพคะ”
หลี่หรงอวี่พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าไม่ควรบอกเสด็จพ่อเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าไปเยือนหวงจวง”
“หม่อมฉันจะจำคำสั่งของฝ่าบาทไว้เพคะ” ลั่วอิ๋งตอบอย่างหนักแน่น
ลั่วอิ๋งเห็นว่าหลี่หรงอวี่ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งเสื้อคลุมถูกถอดออก ส่วนเสื้อผ้าของเหยียนอี้ฉีกขาด ทั้งคู่ดูไม่เรียบร้อย ภาพที่เห็นทำให้ลั่วอิ๋งขมวดคิ้ว นางพูดกับทุกคนที่อยู่ที่นั่นว่า “วันนี้พวกเจ้าไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ทั้งนั้น!”
ทุกคนตอบรับ
ทหารของฮ่องเต้สองคนช่วยพยุงหลี่หรงอวี่ลุกขึ้น ส่วนลั่วอิ๋งนั้นคอยช่วยเหยียนอี้ จากนั้นกลุ่มคนก็พากันเดินออกจากวัดหอกเหล็ก
ด้านนอกมีรถม้ารออยู่ หลี่หรงอวี่ขึ้นรถม้าและพูดกับลั่วอิ๋งว่า
“จัดการสถานที่แห่งนี้และอย่าทิ้งร่องรอยไว้ มีขอทานเฒ่าอยู่ที่นั่น ให้คนตามหาครอบครัวของเขา หากหาพวกเขาเจอจงมอบเงินให้ แต่หากไม่เจอจงตั้งหลุมฝังศพขนาดใหญ่ให้ขอทานเฒ่า”
“ช่างหลิงเฟิงและหวังหลิงจื้อถูกสังเวยเพื่อราชวงศ์ หลังจากกลับไปที่วัง ร่างของพวกเขาควรถูกฝังอย่างสมเกียรติ และญาติของพวกเขาควรได้รับการปฏิบัติอย่างดี” หลี่หรงอวี่พูดเสริม
ลั่วอิ๋งน้อมรับคำสั่งทุกอย่าง
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่หรงอวี่มองเหยียนอี้และพูดว่า “เหยียนอี้ เจ้าไม่เคยไปวัดหอกเหล็กและไม่เคยออกจากวัง เข้าใจหรือไม่”
เหยียนอี้ตกตะลึง “อา? เพคะ”
หลี่หรงอวี่ยิ้มและโบกมือให้นาง “ขึ้นมา”
เหยียนอี้ขึ้นรถม้าอย่างเชื่อฟัง คนขับรถม้าตะโกนและค่อย ๆ เคลื่อนรถไปข้างหน้า
เหยียนอี้สัมผัสเบาะรองนั่งสีทองในรถ สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่แขวนอยู่บนผนังรถพลางนึกถึงลมหนาวและฝนที่ตกเมื่อคืนนี้ มันต่างกันราวฟ้ากับดินจริง ๆ นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าหลี่หรงอวี่จะเพิ่งตื่นขึ้นมา แต่เขาก็เสียเลือดไปมาก และลมหายใจของเขาเริ่มโรยริน เขายังคงเหนื่อยล้าและเอนตัวพิงนาง
เหยียนอี้รู้สึกว่ารถม้ามีขนาดเล็กเกินไป มันอึดอัดอย่างยิ่งที่ได้นั่งเคียงข้างกับเขา หลังจากเดินทางไปสักพัก นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เหตุใดจึงไม่ให้ข้าอยู่ข้างนอก”
หลี่หรงอวี่จึงถามกลับว่า “เจ้าขี่ม้าเป็นหรือ”
เหยียนอี้ตอบอึกอัก “ขะ… ข้าทำได้…”
หลี่หรงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ลั่วอิ๋งยังสะสางงานอยู่ในวัดหอกเหล็ก ข้าไม่อยากให้เจ้าขี่กับคนอื่น”
เหยียนอี้ตกตะลึงและกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลี่หรงอวี่ค่อย ๆ หลับตาลงและกระซิบว่า “ข้าหนาว”
เหยียนอี้มองไปรอบ ๆ และเห็นกรงใต้ที่นั่ง นางดึงมันออกมาและเปิดออก ข้างในมีผ้าห่มที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์ นางจึงนำมันมาห่มให้เขา
ใบหน้าของหลี่หรงอวี่สัมผัสกับผ้าห่ม มันนุ่มและคันเล็กน้อย เขาแอบอมยิ้มแล้วหันไปนอน
ในขณะที่เหยียนอี้นอนไม่หลับอีกแล้ว นางเปิดม่านและมองออกไปข้างนอก ครู่หนึ่งนางนึกขึ้นได้ว่าองค์รัชทายาทกำลังหนาว การยกม่านขึ้นแบบนี้จะทำให้ลมเข้า นางจึงปิดมันอย่างเงียบ ๆ และมองไปที่ชายหนุ่ม
ร่างกายทั้งหมดของหลี่หรงอวี่ถูกคลุมด้วยผ้าห่มและมีเพียงครึ่งหนึ่งของใบหน้าเท่านั้นที่เปิดเผย ขนตาของเขายาวเหมือนปีกผีเสื้อ ผมของเขาไม่เป็นระเบียบเล็กน้อยและมีหยดน้ำสองหยดเกาะอยู่
เหยียนอี้คิดกับตัวเองว่าองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรอวี๋ยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด? นี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้เห็นองค์รัชทายาทในสภาพนี้
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นอย่างไร? ข้าดูดีหรือไม่” หลี่หรงอวี่เอ่ยถามพร้อมฉีกยิ้มร่า
เหยียนอี้รีบหันไปทางอื่นและกระซิบว่า “พระองค์ยังไม่ได้ลืมตา พระองค์รู้ได้อย่างไรว่าหม่อมฉันกำลังมองอยู่”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา เหยียนอี้ก็รู้สึกว่านางใกล้ชิดองค์รัชทายาทมากขึ้นจนถึงกับไม่เชื่อฟังกฎ นี่ไม่ใช่เรื่องดี นางแอบเตือนตัวเองว่าหลังจากกลับถึงวังแล้ว นางควรปฏิบัติตามคำสั่งของฮ่องเต้อย่างเคร่งครัด และไม่ควรทำตัวสบาย ๆ อีก
หลี่หรงอวี่ยังคงไม่ลืมตา เขาหาวและนอนหลับต่อไป
ฝนที่ตกหนักเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ถนนสายหลักที่ใช้กลับสู่เมืองกลายเป็นแอ่งโคลน รถม้าจึงเคลื่อนที่ได้ช้า
อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะช้าเพียงใด การเดินทางก็ไม่ได้กินเวลานาน เพราะผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าก็ได้ผ่านประตูเมืองไปถึงประตูพระราชวังเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่ารถม้าที่จะเข้าสู่วังต้องถูกตรวจสอบ คนขับรถม้าเป็นคนสนิทขององค์รัชทายาท เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของตำหนักตะวันออก แต่บอกว่าเขาเป็นคนขับรถม้าของตำหนักฉืออัน
ทหารที่ประตูวังไม่เชื่อ พวกเขาต้องการเปิดม่านรถม้าเพื่อตรวจสอบ หลี่หรงอวี่ลืมตาขึ้นทันที เขาหยิบป้ายจากใต้เบาะและมอบให้เหยียนอี้เพื่อจะให้นางยื่นมันออกไป
ก่อนที่เหยียนอี้จะมีเวลาพิจารณาว่าเป็นป้ายอะไร หลี่หรงอวี่ก็ดึงมือของนางออกจากม่าน
ทหารคนนั้นรับป้ายประจำพระองค์มาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง จากนั้นคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
จากนั้นรถม้าก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวัง
เหยียนอี้ยังคงตกตะลึง หลี่หรงอวี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจแล้วกล่าวว่า “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้ากับองค์ชายแปดแอบออกจากวังและกลัวว่าจะถูกเสด็จพ่อกับฮองเฮาลงโทษ ข้าจึงยืมชื่อป้าใหญ่มาโดยตลอด บางครั้งป้าใหญ่ก็รู้ แต่นางจะไม่ถามมากเกินไป”
เมื่อรถมาถึงตำหนักตะวันออก องค์ชายแปดก็รีบวิ่งออกมาทันที
หลี่หรงอวี่ยังไม่ทันได้ลงจากรถ องค์ชายแปดก็รีบโผล่ศีรษะเข้าไปดูในรถม้าและดึงพี่ชายลงมาทันที ทำให้หลี่หรงอวี่ถึงกับต้องกัดฟันข่มความเจ็บปวด
“พี่รอง! ท่านบาดเจ็บ? นี่มันเรื่องอะไรกัน” เมื่อหลี่หรงเฉิงเห็นหลี่หรงอวี่ เขาก็ตะโกนออกมาทันที
“เงียบ! เข้าไปคุยด้านใน” หลี่หรงอวี่รีบปิดปากน้องชายและจูงมือเขาเข้าไปในตำหนัก
เหยียนอี้เองก็ตามเข้ามาด้วย
หลังจากเข้าไปในตำหนักเรียบร้อยแล้ว หลี่หรงเฉิงเป็นฝ่ายถามเหยียนอี้ก่อนว่า “เหตุใดเจ้าถึงอยู่กับพี่ชายรอง? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหยียนจื่อกำลังมองหาเจ้าอย่างบ้าคลั่ง!”
เหยียนอี้ตอบว่า “เรื่องมันยาวจริง ๆ เพคะ หม่อมฉันขอทูลลาฝ่าบาททั้งสอง หม่อมฉันต้องกลับก่อน”
หลี่หรงอวี่เรียกนางไว้ “รอสักครู่ เจ้าจะเดินไปด้านนอกในสภาพนี้ได้อย่างไร? จงไปล้างตัวและเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าในวัง ข้าจะให้เจ้าขึ้นเกี้ยวกลับไปอย่างเงียบ ๆ”
เหยียนอี้คิดว่าองค์รัชทายาทพูดถูก นางควรทำตามที่เขาบอก
หลี่หรงอวี่อธิบายสั้น ๆ ให้องค์ชายแปดฟังว่าเขาออกมาจากวังแล้วพบกับเหยียนอี้ได้อย่างไร และพวกเขาถูกลอบสังหารอย่างไร หลี่หรงเฉิงหวาดกลัวและเกือบจะสบถสาปแช่งคนชั่วพวกนั้น
จากนั้นไม่นาน หลี่หรงอวี่ก็เรียกหาอู๋เกาซึ่งเป็นข้าราชบริพารฝ่ายใน เข้ามาพร้อมกล่องยาเพื่อพันแผล ทางด้านเหยียนอี้ก็ได้ตามสาวใช้ไปเพื่อล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อหลี่หรงอวี่พันแผลและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ องค์หญิงผิงหยางก็เสด็จมา
เหยียนอี้ที่กำลังจะออกจากตำหนักตะวันออกบังเอิญสวนกับองค์หญิงผิงหยางพอดี
เมื่อองค์หญิงผิงหยางเห็นเหยียนอี้ นางก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี นางก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวชี้ไปที่เหยียนอี้และพูดว่า “จะ… เจ้า… เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
เหยียนอี้ทักทายองค์หญิงและพูดโกหกไปว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อส่งอาหารให้องค์รัชทายาทเพคะ”
องค์หญิงผิงหยางโกรธจัดจนตบหน้าเหยียนอี้และตวาดขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน! ไม่มีคนครัวในตำหนักตะวันออกแล้วหรือ! เจ้าเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องเครื่องหลวงหรือไง? ข้าเห็นเจ้ามาหาองค์รัชทายาทวันแล้ววันเล่า!”
เหยียนอี้โกรธแต่พูดสิ่งใดออกไปไม่ได้ นางทำได้เพียงคุกเข่าลงเงียบ ๆ แต่ก็ถูกองค์หญิงผิงหยางดึงขึ้นมาและจะตบตีอีกครั้ง ทว่าเฉินฟู่เซินได้เข้ามาหยุดไว้ทันเวลา