ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 64 ขายตัวเป็นทาส
บทที่ 64 ขายตัวเป็นทาส
นางล่ายหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ตอนนี้ทำธุรกิจอะไรก็ยากยิ่งนัก! สำหรับคนที่มีต้นกำเนิดไม่สมบูรณ์เช่นนี้ ขายได้อย่างมากก็สิบตำลึง!”
องครักษ์หวงยิ้มและพูดว่า “ดีที่เจ้าได้ต่อรองราคา ข้าแค่ต้องการทำธุระให้เสร็จสิ้น!”
นางล่ายหยิบเงินออกมาแล้วยื่นให้องครักษ์หวง นางแก้เชือกให้เหยียนอี้และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำสิ่งดี ๆ ให้กับนายหญิงของเจ้า อ้ะ! เอาเชือกคืนไป”
องครักษ์หวงหยุดนางทันที “ป้าล่าย อย่าเพิ่งรีบแก้เชือกสิ จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้หญิงคนนี้ตื่นขึ้นมาและวิ่งหนีไปเล่า”
นางล่ายชะงักไปครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไร ข้าจะหาคนที่จะพานางไปในภายหลัง! เจ้าวางยานางไปมากเท่าไร? มันจะไม่ทำร้ายสมองของนางหรือ”
องครักษ์หวงยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ข้าแค่รมควันเล็กน้อย นางจะตื่นขึ้นมาในอีกสักครู่ ป้าล่าย นายหญิงของเราเพิ่งขอให้ข้าขายผู้หญิงคนนี้ไปในที่ไกล ๆ นางจะได้ไม่กลับมาที่เมืองหลวงอีก!”
“หญิงชราเชื่อถือได้!” ป้าล่ายกล่าวพลางยืดหน้าอกของนาง
อันที่จริงตอนนี้ เหยียนอี้ตื่นแล้ว ทว่านางแสร้งทำเป็นหลับเพื่อแอบฟังว่าใครเป็นคนจับนางมา
อย่างไรก็ตามโจรที่มัดนางไว้พูดคุยกับหญิงชราเป็นเวลานาน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด นางไม่รู้ทั้งเบื้องหลังและตัวตนของโจรอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อชายคนนั้นพูด เขาหันหลังให้นาง ทำให้นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขาแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าคนสองคนทำข้อตกลงกันแล้ว นางล่ายก็กลับไปเรียกหาใครสักคนอย่างมีความสุข แต่องครักษ์หวงยังไม่จากไปไหน
ปรากฏว่าเขากลัวที่จะทำผิดพลาดใด ๆ ดังนั้นเขาจึงเฝ้าเหยียนอี้ และรอให้นางล่ายกลับมา
เขายังนั่งยอง ๆ มองหญิงสาวอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดจากวังติดตัวนางมา
เดิมทีเหยียนอี้ถูกมัดและพาออกจากวังขณะนอนหลับ นางจึงอยู่ในชุดนอนและไม่มีปิ่นปักผมด้วยซ้ำ ไม่มีสิ่งใดติดตัวนางมาเลย มีเพียงสร้อยข้อมือที่นางซื้อมันกับเหยียนจื่อจากตลาดในลั่วหยาง และองครักษ์ก็ถอดมันออกไปแล้ว
เหยียนอี้ลืมตาขึ้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อดูใบหน้าของศัตรูอย่างชัดเจน แต่นางก็ผิดหวังอย่างมากเพราะชายคนนี้ระมัดระวังจริง ๆ เขาปิดบังใบหน้าไว้เสียมิดชิด หญิงชราใจกล้าเหลือเกินที่จ่ายเงินโดยไม่รู้รายละเอียดอะไร!
หลังจากนั้นไม่นานนางล่ายก็กลับมาพร้อมชายที่แข็งแกร่งสองคน
ชายสองคนหิ้วปีกเหยียนอี้คนละข้างและตามนางล่ายไป
นางล่ายอาศัยอยู่ในตรอกโกวหลานในหูท่งในแถบชานเมือง หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวนางก็มาถึง
นางแก้มัดให้เหยียนอี้และหวีผมของนางเล็กน้อย
ในเวลานี้เหยียนอี้ไม่ได้แสร้งทำเป็นหมดสติแล้วและขอให้นางล่ายปล่อยนางไป
“เจ้าซื้อข้าเพียงเพราะแค่ต้องการเงิน ครอบครัวของข้าก็มีเงิน เจ้าแค่ต้องปล่อยข้าไป แล้วข้าจะให้เจ้ามากเท่าที่เจ้าต้องการ!” เหยียนอี้เอ่ยขอร้องกับนางล่าย
ทว่านางล่ายกลับเชื่อเรื่องไร้สาระขององครักษ์หวง “เจ้าน่ะหรือรวย? ฮ่า ๆ ๆ เจ้านายของเจ้าต่างหากที่รวย! เจ้านายย่อมมีทาสรับใช้ที่ดี แต่น่าเสียดายที่ทาสคนนั้นไม่ใช่เจ้า เอาล่ะ! อย่าถามให้มาก”
“อย่าฟังเรื่องไร้สาระของโจรนั่นเชียว! ข้าถูกจับตัวมา!” เหยียนอี้สาปแช่ง
“ข้ารู้หรอกน่าว่าเจ้าผูกพันกับเจ้านาย” นางล่ายหัวเราะ “เจ้าคงฝันหวานว่าจะสามารถไต่เต้าและหลุดพ้นจากความเป็นทาสได้ล่ะสิ ฮ่า ๆ ๆ เสียใจด้วยนะ แต่เจ้าโดนทิ้งแล้วล่ะ! อย่าดิ้นรนให้เสียแรงเปล่าเลย!”
“โอ๊ย ช่างยุ่งยากเสียจริง! ปล่อยข้าไปนะ!” เหยียนอี้ตะโกนพลางดีดดิ้น
“สาวน้อยเจ้ายังเป็นคนรับใช้ในจวนหลังใหญ่ได้ ไม่ต้องห่วง ข้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติไม่เลว อีกทั้งยังสาว สองวันหลังจากนี้ข้าจะพาเจ้าไปฮุยโจว[1] และขายเจ้าให้กับครอบครัวใหญ่
“หากเจ้ามีความสามารถพอจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เจ้าอาจเข้ารับตำแหน่งอนุได้ เราทั้งคู่ก็จะมีความสุขดีไม่ใช่หรือ?” นางล่ายกล่าวกลั้วหัวเราะ
สิ่งที่นางล่ายพูดนั้นก็น่าคิด แต่เหยียนอี้ไม่สนใจ นางจะอยากทำเช่นนั้นไปทำไม
นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ป้าล่าย ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า ข้าเป็นข้ารับใช้หญิงระดับหกในวังหลวง ข้าไม่รู้ว่าข้าทำให้ใครโกรธเคืองจนถูกนำตัวออกจากวังช่นนี้ แม้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของข้าจะไม่สูง แต่ข้าก็เป็นคนที่มีตราประทับส่วนตัวด้วย ข้าไม่จำเป็นต้องเคอโถว[2] แม้ในขณะที่ข้าเห็นผู้ตรวจการ ข้าจะขอบคุณมากหากเจ้าปล่อยให้ข้ากลับไปที่วัง”
หญิงชราเล่ยไม่ฟังสิ่งที่นางพูด แต่แค่นหัวเราะออกมาแทน “ข้ารับใช้หญิงระดับหก? ฮ่า ๆ ๆ เจ้าคิดจะหลอกหญิงชราอย่างข้าก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถิด เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าเป็นองค์หญิงในวังเล่า!”
เหยียนอี้ตอบโต้กลับไป “ข้ากำลังบอกความจริงอยู่นี่อย่างไรเล่า เชื่อหรือไม่ว่าพระราชวังได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา หากข้ารับใช้หญิงหายตัวไปจะต้องมีคนตามหานางแน่ แล้วเจ้าจะสำนึกผิดก็ตอนที่หัวไม่อยู่บนบ่า”
นางล่ายหัวเราะจนท้องแข็ง ไม่อาจยืนตัวตรงได้ ผู้ช่วยสองคนของนางข้าง ๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
ชายร่างใหญ่คนหนึ่งพูดว่า “ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า ข้าเป็นโอรสคนโตของฮ่องเต้!”
ชายร่างใหญ่อีกคนก็หัวเราะเช่นกัน “เจ้าเป็นธิดาของสวรรค์ ส่วนข้าจะเป็นฮ่องเต้! ป้าล่ายก็สามารถเป็นฮองเฮาได้ ฮ่า ๆ ๆ”
เหยียนอี้ฟังเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของทั้งสามคน เมื่อรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงอีกต่อไป นางก็หุบปากกลอกตาและนั่งลงบนเก้าอี้
ป้าล่ายสั่งชายที่ชื่อ ‘ฉือโทว’ ให้มาเฝ้าประตูและพวกเขาก็จากไป
เหยียนอี้กำลังครุ่นคิดว่าจะหนีไปได้อย่างไร แต่ฉือโทวนั้นตัวสูงใหญ่อีกทั้งประตูก็แคบและเล็ก แล้วเขาก็ยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน
นางเปิดหน้าต่างเงียบ ๆ และมองลงมา นางอยู่ที่ชั้นสาม หากนางกระโดดลงมานางต้องกระดูกหักเป็นแน่ นอกจากนี้ยังมีคนสองคนคอยเฝ้าอยู่ชั้นล่างซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้ดูแล
ตลอดทั้งวันไม่มีใครสนใจเหยียนอี้อีกเลย แต่นางกลับได้ยินเสียงร้องในห้องถัดไป ดูเหมือนว่ามีมากกว่าหนึ่งหรือสองคน พวกเขาคงเป็นทาสหญิงที่ถูกขายให้กับหญิงชราคนนี้เป็นแน่
ในเวลาอาหารเย็น ผู้หญิงคนหนึ่งมาส่งอาหาร เหยียนอี้หยิบจานอาหารเป็นเพียงกะหล่ำปลี ผักดอง และข้าวไหม้ ๆ มันแย่กว่าอาหารที่กินในวังเป็นพันเท่า
แต่โชคดีที่หญิงชราคนนี้มีความเชี่ยวชาญในการขายสาวสวย นางกลัวว่าสินค้าในมือของนางจะมีใบหน้าซูบผอมและขายไม่ได้ราคาดี นางจึงไม่ทุบตี ดุด่า หรือ อดอาหารหญิงสาว
เหยียนอี้ไม่ได้กินอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันเลย นางหิวมากเสียจนหนังของนางแทบติดกระดูก อย่างน้อยอาหารก็ไม่เลว ดังนั้นนางจึงยอมกิน
ทว่ายังไม่ทันที่นางจะกินเสร็จ ฉือโทวก็เข้ามาและตะโกนว่า “มานี่!”
เหยียนอี้ปฏิเสธที่จะไป ดังนั้นฉือโทวจึงดึงเหยียนอี้อย่างแรง เขาแข็งแกร่งมากจนเหยียนอี้ไม่อาจต่อต้านได้
พวกนางเดินไปตามทางที่คดเคี้ยว กระทั่งมาถึงห้องหนึ่งซึ่งมีคนสองคนคอยเฝ้าประตู
ฉือโทวเปิดประตู ก่อนจะผลักเหยียนอี้และตะโกนว่า “เข้าไปซะ!” เหยียนอี้ถูกผลักเข้าไปในห้องอย่างแรง
มีหญิงสาวอย่างน้อยยี่สิบหรือสามสิบคนกอดกันที่มุมห้อง เสียงร้องที่เหยียนอี้ได้ยินดังมาจากที่นี่
‘ข้านึกว่าผู้หญิงทุกคนจะมีห้องแยกเป็นของตัวเองเสียอีก พวกนางอยู่รวมกันหมดเลยหรือนี่…’ เหยียนอี้คิดในใจ
ปรากฏว่าหญิงชรารู้วิธีจัดการผู้คน นางกลัวว่าหญิงสาวที่มาใหม่จะยังคงกระตือรือร้น ดิ้นรน และชักชวนหญิงสาวคนอื่นให้หนีออกไปจากที่นี่ นางจึงจับคนที่มาใหม่ไปขังแยกห้องและให้อดอาหารก่อน
หากนางเชื่อฟัง นางจะได้อยู่กับทุกคนที่นี่ เดินตามทางและยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น แต่หากนางโวยวายหรือเล่นตุกติก นางจะถูกขังแยกสองสามวันโดยไม่ได้แตะอาหารเลย! ถึงนางจะดื้อรั้นอย่างไรสุดท้ายก็ต้องยอมจำนนต่อความหิวโหยอยู่ดี
เหยียนอี้เป็นห่วงบรรดาหญิงสาวมาก บางคนกำลังร้องไห้ บางคนนอนอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอย เหยียนอี้เดินไปนั่งยอง ๆ และถามพวกนางสองสามคำ
ในหมู่พวกนาง บางคนยากจน ถูกขายโดยพ่อแม่พี่น้อง บางคนเป็นทาสผู้ที่ไม่สามารถทนความยากลำบากจึงหนีไปแต่สุดท้ายถูกจับได้และถูกขายอีกครั้ง และบางคนถูกส่งไปยังมือของนางล่ายเพราะพวกเขาไม่สามารถอยู่ในจวนเดิมได้
อย่างไรเสียพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนยากจน
“เจ้าถูกขังมานานแค่ไหนแล้ว” เหยียนอี้ถาม
“ห้าหรือหกวัน และภายในสองวันนางล่ายจะขายเรา” หญิงสาวคนหนึ่งชื่อชุนอิงตอบ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราจะถูกขายไปที่ใด” เหยียนอี้ถาม
“ใครก็ตามที่ชอบเราจะซื้อเรา” ชุนอิงตอบอย่างไม่แยแสนัก
เหยียนอี้ถามว่า “ดูสิ คนอื่นร้องไห้กันหมด เหตุใดเจ้าดูเหมือนจะไม่สนใจล่ะ”
ชุนอิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาทั้งหมดถูกพ่อแม่ขายเพื่อชำระหนี้ พวกเขาไม่เคยเป็นทาส ดังนั้นพวกเขาจึงกลัวและร้องไห้ ในความเป็นจริงพวกเขาถูกขายให้กับนางล่ายเท่านั้นไม่ใช่ซ่อง พวกเขาควรขอบคุณที่มีชีวิตใหม่ นางล่ายกำลังทำธุรกิจที่ดี ซึ่งดีกว่าอดอยากอยู่ข้างนอกมากโข”
เหยียนอี้ถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ”
ชุนอิงกล่าวว่า “เดิมทีข้าเคยเป็นสาวใช้ในจวนของมหาเสนาบดี ลูกชายคนที่หกของมหาเสนาบดีต้องการแต่งงานกับข้าในฐานะอนุ ภรรยาของเขาหึงหวง ข้าจึงถูกขายมาที่นี่”
เหยียนอี้คิดแล้วถอนหายใจ ประสบการณ์ของชุนอิงนั้นเหมือนกับเรื่องราวของนางที่คนร้ายจัดวางไว้
ชุนอิงเลียริมฝีปากของนางและพูดด้วยรอยยิ้ม “จริง ๆ แล้วถูกขายมันก็ดี ข้าไม่ชอบลูกชายคนที่หกเลยแม้แต่น้อย เขาอ้วนเหมือนหมู ข้าไม่อยากให้เขาเป็นสมบัติของข้าด้วยซ้ำ”
เหยียนอี้หัวเราะเยาะ “แต่หากเจ้าเป็นอนุของลูกคนที่หก เจ้าจะรวยและมีเกียรติเชียวนะ”
ชุนอิงกล่าวว่า “ข้าไม่อยากรวยและมีเกียรติอะไรทั้งนั้น แม่สามีและพี่สะใภ้ของเขาเป็นคนขี้โมโห ข้าไม่อยากถูกพวกเขาโขกสับ ข้าเป็นคนรับใช้มาตั้งแต่เกิด ข้าจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร”
เมื่อเหยียนอี้เห็นว่าแม้ประสบการณ์ของนางจะน่าสลดใจ แต่นางก็มีชีวิตที่สมบูรณ์และมองโลกในแง่ดี นางสมควรได้รับคำชื่นชม
ครู่หนึ่งชุนอิงก็ถามเหยียนอี้กลับ “เจ้าถามข้ามากแล้ว แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามาจากที่ใด”
เหยียนอี้ถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่ใช่ทาส ข้าถูกลักพาตัวโดยคนทรยศ”
“เจ้าช่างน่าสงสาร” ชุนอิงกล่าว
“เราจะถูกขายไปที่ใดกัน อนิจจา นี่คือผนังเหล็ก ข้าไม่รู้ว่าจะหนีไปได้อย่างไร ชุนอิง เราหนีไปด้วยกันเถอะ” เหยียนอี้กล่าว
ชุนอิงโบกมือและส่ายหัวไปมา นางกล่าวว่า “ข้าเป็นทาสแต่กำเนิด แม้ข้าจะหนีไปได้ แต่ข้าก็ไม่เป็นอิสระ หากข้าถูกทางการจับได้และถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหลบหนีจากการเป็นทาสข้าจะถูกตัดศีรษะ เหยียนอี้ เจ้าแตกต่างจากข้า เจ้าสามารถหลบหนีได้ เจ้าสามารถหลบหนีไปรายงานต่อทางการและจับกุมผู้ที่จับเจ้ามา!”
[1] ฮุยโจว คือเขตปกครองพิเศษในประวัติศาสตร์จีน
[2] เคอโถว เป็นการแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งด้วยการคุกเข่าและคำนับให้ต่ำจนศีรษะแตะพื้น