ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 50 แสงสว่างในลั่วหยาง(รีไรท์)
บทที่ 50 แสงสว่างในลั่วหยาง(รีไรท์)
ก่อนจะซื้อของเสร็จ เหยียนอี้ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องซื้อเครื่องเทศสำหรับทำอาหาร นางจึงขอให้เหยียนจื่อรอที่ร้านขายเครื่องสำอางแล้วรีบตรงไปที่ร้านเครื่องเทศบนถนนตะวันออก
แต่วันนี้ร้านเผอิญปิดเร็ว คนแถวนั้นบอกว่าลูกชายของเจ้าของร้านก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกันที่สำนักศึกษา เจ้าของร้านจึงรีบเก็บร้านและพาลูกไปหมอ
เหยียนอี้ถอนหายใจ ค่อย ๆ เดินกลับไปหาเหยียนจื่อ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ตลาดกลางคืนเริ่มตั้งร้านกันอย่างคึกคัก
วันนี้ถือเป็นวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ อีกทั้งเป็นเมืองใหญ่ จึงทำให้ทั้งคนสัญจรทั้งพ่อค้าแม่ค้าออกมามากกว่าตอนกลางวันมากโข
ไม่ทันไรเหยียนอี้ก็พบว่านางคลาดกับเหยียนจื่อ
ครู่ก่อน นางขอให้เหยียนจื่อรอ จำได้เพียงว่าที่ตรงนั้นมีสตรีนางหนึ่งขายกลองป๋องแป๋ง ทว่าตอนนี้แผงลอยที่เปิดในตลาดตอนกลางวันปิดตัวลง ส่วนตลาดกลางคืนได้เริ่มขึ้นแล้ว สตรีที่ขายของเล่นคนนั้นเลยไม่อยู่อีกต่อไป
เหยียนอี้ไม่พบน้องสาวที่ใดเลย
เหยียนจื่อถือของมากมาย ฉะนั้นนางคงไปไหนได้ไม่ไกล เหยียนอี้จึงเดินไปรอบ ๆ เพื่อมองหาน้องสาว
บางทีอาจเป็นเพราะความวิตกกังวลของนางที่ฉายชัดบนใบหน้า หรืออาจเป็นเพราะเหยียนอี้ทาปากสีชาด ผัดแป้งกลิ่นหอมฟุ้ง จึงพาให้มีชายหลายคนเหลียวมองนางบ่อย ๆ
เหยียนอี้ขัดเขินอยู่บ้าง นางแค่อยากจะออกไปจากฝูงชนตรงนี้โดยเร็วที่สุด ทว่าแม้นางจะไปไกลเท่าไร นางก็ยังไม่เจอเหยียนจื่อเสียที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไฟก็ถูกเปิดขึ้น โคมไฟสว่างไสววาบไปทั่วกลางถนน
ชายคนหนึ่งคว้าแขนของเหยียนอี้ไว้ ท่าทางดูน่ากลัวไม่น้อย เขายิ้มให้เหยียนอี้แล้วพูดว่า “สาวน้อย อยากจุดโคมกับข้าหรือไม่”
“ไปให้พ้น!”
ก่อนที่เหยียนอี้จะได้ลงมืออะไร ชายหนุ่มพร้อมด้ามดาบก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลัง กระแทกชายผู้นั้นล้มลงกับพื้นอย่างแรง
“อ่า เฉินฟู่เซิน!” เหยียนอี้ตะโกน
เมื่อเห็นว่าเฉินฟู่เซินไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ อีกทั้งยังกลัวดาบในมือ ชายผู้นั้นจึงวิ่งหนีไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่?” เหยียนอี้รีบเข้าไปหาเขา
“ข้าบังเอิญเห็นเจ้ากับเหยียนจื่อไปซื้อของเมื่อครู่ ข้าตามพวกเจ้ามาสักพักแล้ว” เฉินฟู่เซินกล่าว
“เจ้าตามพวกเรามาหรือ เหตุใดไม่เข้ามาหาพวกเราเล่า” เหยียนอี้ถาม
เขาเผยรอยยิ้มที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น “ข้าเห็นเจ้ากำลังลองสีชาดอยู่ ไม่อยากรบกวน”
หลังเห็นว่าเฉินฟู่เซินเลื่อนสายตามาหา เหยียนอี้ก็ทึกทักว่าหน้านางคงแปลกตามาก เพราะนางไม่เคยแต่งหน้าเลย
ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเหยียนจื่อ ทาสีชาดเสียเข้ม มิใช่ว่าตอนนี้ใบหน้านางเป็นเหมือนก้นลิงจริง ๆ หรือ?
นางก้มศีรษะลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้าด้วยความรู้สึกเขินอาย
ทว่าเฉินฟู่เซินกลับจับมือนางเอาไว้ “อย่าเช็ด เจ้างดงามมาก”
เหยียนอี้กลับรู้สึกเขินอายกว่าเก่า นางก้มหน้างุดจนแทบจรดหน้าอก
เฉินฟู่เซินไม่ได้ปล่อยมือ เหยียนอี้ไม่สบายใจสักเท่าไร นางเลยรีบดึงมือออกแล้วพูดว่า “เจ้าทำข้าเจ็บ”
เฉินฟู่เซินบีบมือตัวเอง ท่าทางความกระอักกระอ่วน รอยยิ้มประดับอยู่ตรงมุมปาก “ข้า… เบามือแล้ว”
เหยียนอี้รู้สึกว่าน่าอายเหลือเกินที่เฉินฟู่เซินพูดอะไรแบบนั้นออกมา นางจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบความเขินอาย สุดท้ายเลยกระแอมไอออกมา “ขอบคุณที่ช่วยข้าจากชายคนนั้น”
เขายกยิ้มมุมปาก บีบคางคนพูดไว้แล้วตอบไปว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าต้องช่วยเจ้า วันนี้เจ้าสวยเกินไปแล้ว ต่อจากนี้หากเจ้าออกไปข้างนอกอีกคงต้องใช้ขี้เถ้าหม้อเท่านั้นกระมัง”
เหยียนอี้กลอกตาใส่ “เหตุใดวันนี้ปากหวานเสียเหลือเกิน”
ทันใดนั้น นางก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่พบเหยียนจื่อเลยรีบถามขึ้น “อ้อ เหยียนจื่อคลาดกับข้า เจ้าตามเรามา เจ้าเห็นไหมว่านางหายไปไหน?”
เขาส่ายหัว “ข้าตามเจ้าเข้าไปในร้านขายเครื่องเทศ ไม่ได้สนใจเหยียนจื่อเลย”
ตั้งแต่พวกเขามาถึงลั่วหยาง แม้ว่าทั้งสองจะอยู่ในพระราชวังชั่วคราว แต่หนึ่งในนั้นยุ่งอยู่ในครัวตลอดทั้งวัน ส่วนอีกคนได้รับมอบหมายให้ดูแลวัง พวกเขาจึงไม่ค่อยได้พบกัน ช่วงเวลาที่จะได้คุยกันแบบนี้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
เมื่อเดินเคียงข้างกันครู่หนึ่ง เฉินฟู่เซินก็มีความสุขล้น ความจริงแล้วเขารู้ว่าเหยียนจื่อกำลังรอพี่สาวตนอยู่ในร้านขายเกี๊ยว แต่เขาไม่ได้บอกนาง
“คนที่นี่เยอะเกินไป มีทั้งคนดีไม่และไม่ดีปะปนกัน หากเหยียนจื่อตกอยู่ในอันตรายเล่า จะทำอย่างไร?” เหยียนอี้ยังคงกังวล
“นางไม่ใช่เด็กแล้ว นางจะไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก” เฉินฟู่เซินกล่าวปลอบ
“แต่นางเป็นผู้หญิง” เหยียนอี้พูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจมากขึ้นทุกที “จะเกิดอะไรขึ้นหากนางเจอคนโรคจิตอย่างที่ข้าเจอเมื่อครู่ หากนางไปเจอพวกอันธพาลข้างถนนล่ะ”
“อย่าเพิ่งกังวลเกินไปเลย เราไปตามหานางกันเถอะ” เขาจับมือนางและปรี่ไปยังทิศทางตรงข้ามของเหยียนจื่อ เป็นเช่นนี้พวกเขาจะหานางได้อย่างไร?
ยิ่งนางมองหาเหยียนจื่อมากเท่าไร เหยียนอี้ก็ยิ่งเป็นห่วงน้องสาวมากขึ้นเท่านั้น น้ำเสียงนางจึงทวีความร้อนรน “ทำอย่างไรดี เรามาผิดทางหรือเปล่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง หรือจะมีใครลักพาตัวนางไปหรือไม่”
เฉินฟู่เซินแค่อยากอยู่กับเหยียนอี้เพียงลำพังนานขึ้นเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเหยียนอี้จะกังวลใจขนาดนี้ ครานี้เขาคิดน้อยเกินไปจริง ๆ เขาจึงรีบโพล่งว่า “เช่นนั้นเรากลับไปหานางกัน เหยียนจื่ออาจไม่พบเรา อาจจะกำลังรออยู่ที่เดิมก็ได้”
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเหยียนจื่อกินเกี๊ยวแล้ว นางก็กินบะหมี่รสเผ็ดเปรี้ยวต่ออีกหนึ่งชาม เสร็จแล้วก็ไปซื้อของหวานจากคนปั้นน้ำตาล
หลังกินน้ำตาลปั้น เหยียนจื่อก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่สาว นางจึงกังวลแล้วเดินไปรอบ ๆ เพื่อตามหาเหยียนอี้
เฉินฟู่เซินคิดว่านางยังอยู่ที่เดิม แต่จู่ ๆ เหยียนจื่อก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่กล้าบอกความจริงกับเหยียนอี้ ทั้งสองจึงต้องตามหานางต่อไป
ในตอนกลางดึก บรรดาผู้ที่จุดโคมกลางถนนแยกย้ายกันไป การมองหาคนเลยง่ายขึ้น เมื่อเหยียนจื่อเห็นเฉินฟู่เซินและเหยียนอี้ นางก็รีบโผเข้าไปกอด “ท่านพี่ ท่านไปที่ใดมา”
เหยียนอี้กอดน้องไว้ในอ้อมแขนเพื่อให้แน่ใจว่านางสบายดี ดวงตาพลันแดงก่ำ
“ท่านพี่ ท่านไม่รู้ว่าตอนที่ข้าหาพี่ไม่เจอ ข้าถามทุกคนจนคอของข้ากระหายน้ำหมดแล้ว” เหยียนจื่อกล่าว
เหยียนอี้ตบหัวตัวเองพลางบ่นว่า “ข้าโง่เกินไป ข้าคิดว่าเจ้าหนีไป ข้าเลยไปทางตะวันตกพร้อมกับฟู่เซิน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหยียนจื่อก็ปาดน้ำตาแล้วพูดว่า “พี่เฉิน พี่ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นข้าเห็นคนบนถนนดูเหมือนพี่ด้วย”
“เขาเห็นเรามานานแล้ว เขาติดตามเรามาตั้งแต่เราซื้อสีชาด” เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่เหยียนจื่อส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ คนคนนั้นไม่ใช่พี่เฉิน เขาเตี้ยกว่าพี่เฉินนิดหน่อย เสื้อผ้าก็ใส่ไม่เหมือนกัน วันนี้พี่เฉินใส่สีฟ้า แต่คนนั้นใส่สีดำ”
สีหน้าของเฉินฟู่เซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาซ่อนไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะพูดอย่างใจเย็นว่า “คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดทำให้ไม่ค่อยมีแสง เจ้าอาจมองผิดไปก็ได้”
ทว่าเหยียนจื่อกล่าวว่า “ถนนสว่างไสวเช่นนี้ ข้าจะจำผิดได้อย่างไร ข้าคิดว่าเป็นพี่เฉิน เลยเรียกชื่อพี่ เขามองกลับมาที่ข้า แต่ไม่นานก็หายเข้าไปในตรอก ข้ารู้ว่าข้าจำคนผิด ข้าก็เลยไม่ได้ไล่ตามเขา พี่เฉิน คนคนนั้นเหมือนท่านจริง ๆ อย่างกับว่าเป็นพี่ชายของท่านเชียวล่ะ”
“บางทีคนในโลกนี้อาจจะมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน กลับกันเถิด” เฉินฟู่เซินกล่าว
ทั้งสามคนเดินเคียงข้างกันไป ทันทีที่ขึ้นไปบนสะพาน พวกเขาก็เห็นดอกไม้ไฟอยู่กลางถนน ปรากฏว่าหลังจากที่คนจุดโคมแยกย้ายกันไป ก็มีการแสดงให้ชื่นชม
นักดนตรีกำลังเล่นฆ้อง กลอง และดอกไม้ไฟ เด็กหญิงร่างผอมบางยืนด้วยมืออยู่ตรงกลาง ชามสองใบวางอยู่บนเท้าของนาง
หนุ่มน้อยคนหนึ่งกระโดดขึ้นบนไหล่ของอีกคนที่กำลังคุกเข่า เขาอยู่ห่างจากเด็กหญิงเพียงไม่กี่ก้าว จากนั้นเขาก็เทชาลงในชามที่เท้าของเด็กหญิงที่ยังอยู่ในท่าหกสูงโดยไม่พลาดแม้แต่หยดเดียว
“ว้าว!” เหยียนจื่อเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ
ผู้คนนับร้อยต่างส่งเสียงโห่ร้องและปรบมือ
เด็กหนุ่มที่รินชาแลดูร่าเริงขึ้น ภูมิใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากระโดดขึ้นไปบนเท้าของเด็กหญิงแล้วยืนตัวตรงบนชามทั้งสอง
เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้หญิงร่างผอมไม่อาจรับน้ำหนักของผู้ชายได้ ขาของนางงอ ทำให้ชามหล่นลงมากระแทกกับพื้น ล้มก้นจ้ำเบ้าลงจนได้
เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างบนเป็นผู้ฝึกฝนมีประสบการณ์ เขาไม่ตื่นตระหนกเมื่อเผชิญกับอันตรายไม่คาดคิด เขาเพียงกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของคนที่เขาเคยยืนมาก่อนหน้านี้ ทั้งสองร่วมมือกัน สุดท้ายเลยลงพื้นอย่างมั่นคง
เด็กหญิงร่างผอมบางลุกขึ้นยืน นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไหล่ของนางบาดเจ็บ จนกระทั่งเด็กหนุ่มทั้งสองจ้องมาที่นาง นางจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วกลับมาเดินด้วยมือเช่นเดิม
เท้าเปล่าทั้งสองของนางค่อย ๆ โค้งลงพื้นเพื่อหยิบชามด้วยนิ้วเท้า นางเดินไปรอบ ๆ ต่อหน้าทุกคนแล้วยื่นชามให้
วิธีนี้ช่างชาญฉลาด ทำให้ผู้ชมยินดีจ่าย
อย่างไรก็ตาม ย่อมมีคนจำนวนมากที่ต้องการดูความสนุกโดยไม่ต้องเสียเงินสักเหรียญเดียว ทันทีที่ผู้แสดงเอื้อมมือไปขอเงินคนดูก็เดินจากไป ไม่นานหลังจากนั้นมีเงินอยู่ประมาณครึ่งชามแต่ผู้ชมมากกว่าครึ่งได้หายไปแล้ว
เหยียนจื่อรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง นางวิ่งลงไปและหยิบเศษเงินออกจากกระเป๋าของนาง แต่ไม่ได้โยนมันลงในชาม นางกลับมอบให้เด็กหญิงคนนั้น
เด็กหญิงรู้สึกขอบคุณมาก ทว่าเมื่อนางกำลังจะหยิบเงิน เด็กหนุ่มก็คว้ามันมาไว้ในมือ แล้วยิ้มขอบคุณแทน “ขอบคุณสำหรับรางวัลของเจ้า แม่นาง!”
เหยียนจื่อไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร “นี่สำหรับน้องสาวคนนี้”
เขามีทีท่าอับอาย แต่ก็แย้งขึ้น “ข้าเป็นพี่ชายของนาง นางเด็กเกินไปที่จะเก็บเงิน ข้าจะเก็บไว้ให้นางเอง”
เด็กหญิงมองไปที่เหยียนจื่อแล้วมองขึ้นไปที่พี่ชายของนาง จากนั้นนางก็ก้มศีรษะลง เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงยุง “พี่สาว ขอบคุณสำหรับรางวัล!”
เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงไม่ได้ตั้งใจจะเอาเงินคืนจากพี่ชายของนาง เหยียนจื่อก็ไม่พูดอะไรอีก
เหยียนอี้มองดูเด็กหญิงยากจนที่ผ่ายผอมนางนี้ “เจ้ากินข้าวเย็นหรือยัง”
พี่ชายของนางตอบเสียก่อน “แม่นางอาจไม่รู้ น้องสาวของข้าฝึกวิชาตัวอ่อน นางกลัวอ้วนเป็นที่สุด นางจะไม่กินอะไรหลังอาหารกลางวัน”
“อยู่ในวัยกำลังเติบโตเช่นนี้ เหตุใดไม่กินอาหารให้ครบมื้อเล่า” เหยียนอี้โกรธ นางกำลังจะดึงเด็กหญิงไปอยู่ข้างนางแล้วพานางไปกินอาหารมื้อใหญ่สักมื้อ
ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้ดูยินดี นางพูดเสียงต่ำออกมา “ข้าไม่อยากกิน”
“ไม่ต้องกลัว”
“ข้าจะเลี้ยงอาหารเย็นเจ้า พี่ชายของเจ้าไม่ว่าอะไรหรอก” เหยียนอี้กล่าว
แล้วนางก็หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้เด็กหนุ่ม “เจ้าแค่ต้องการให้นางขายความสามารถหาเงิน เงินนี้เพียงพอให้เจ้ากับน้องอยู่ได้สองเดือน เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้อดอาหารน้องสาวของเจ้าอีก”