ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 38 เหยียนอี้ได้รับบาดเจ็บ (รีไรท์)
บทที่ 38 เหยียนอี้ได้รับบาดเจ็บ (รีไรท์)
แต่ใครเล่าจะรู้ว่าดาบเล่มนี้เป็นเพียงของตกแต่ง แทบไม่มีคมที่จะตัดเนื้อได้
เฉินฟู่เซินเพิ่มแรงที่มือมากขึ้น แม้ว่าชายคนนั้นจะโชคดีรอดจากความตาย แต่คอครึ่งหนึ่งถูกฟันสะบั้น สุดท้ายจึงต้องล้มลงกับพื้น ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
เมื่อนักฆ่าอีกคนเห็นสิ่งนี้ เขาก็พุ่งไปหาเหยียนอี้แล้วบีบคอของนาง
เฉินฟู่เซินไม่ได้ชะงักหรือลดการโจมตีลง เขาพุ่งเข้ามาหมายจะแทงใบหน้าของชายคนนั้น
เมื่อเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะจับตัวประกัน นักฆ่าจึงเลิกสนใจเหยียนอี้และหยิบหอกสั้น ขณะเดียวกันมือขวาของเขาแอบคว้าลูกดอกออกมาแล้วปาไปที่เท้าของเฉินฟู่เซิน
เฉินฟู่เซินรีบหลบ ตัดไหล่ซ้ายคนปาสะบั้น แต่คมดาบทื่อเกินไป แม้เฉินฟู่เซินจะมีพละกำลังมาก ทว่าก็ไม่สามารถตัดแขนให้ขาดได้ อีกทั้งดาบยังฝังอยู่ที่ไหล่ ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก
เหยียนอี้อุทานว่า “ระวังตัวด้วย!”
ปรากฏว่าชายที่ถูกฟันก่อนหน้านี้ได้ลุกขึ้นยืน เงื้อมีดของเขาขึ้นเพื่อจะแทงหลังของเฉินฟู่เซิน
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความกล้ามาจากไหน นางวิ่งไปผลักเฉินฟู่เซิน อย่างแรง ทำให้มีดที่พุ่งมาไม่ได้แทงเข้าที่หลังของเขา แต่กลับเข้าไปในอกของเหยียนอี้แทน
“เหยียนอี้!” เฉินฟู่เซินตะโกน
เขาทิ้งดาบลง ก่อนจะเข้าไปแย่งมีดจากมือนักฆ่า ปาดคอเขาทันที เลือดของชายคนนั้นสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เขาค่อย ๆ หมดแรงแล้วล้มลงข้างเหยียนอี้
เฉินฟู่เซินเตะเขาออกไปแล้วแทงอกด้วยมีดเล่มนั้น สุดท้ายเขาก็หมดลมหายใจ
เหยียนอี้กุมหน้าอกของนาง นางรู้สึกว่าทุกอย่างตรงหน้ามืดมนไปหมด
“เหยียนอี้! เหยียนอี้!” เฉินฟู่เซินประคองร่างนางขึ้นมา ตะโกนอย่างสิ้นหวัง
เหยียนอี้ยังคงมีสติหลงเหลืออยู่ นางพูดด้วยรอยยิ้มเศร้า ๆ ว่า “ข้าไปสร้างเวรสร้างกรรมที่ใดมา? ถึงเห็นเลือดไปเสียทุกที่”
เฉินฟู่เซินไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาอุ้มเหยียนอี้ขึ้นมาและออกไปตามคนมาช่วย
แต่ขาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเขาเดินมาถึงประตู เขาก็ล้มลงกับพื้น สองมือค่อย ๆ วางเหยียนอี้ลง แล้วหันไปมองศพทั้งสองบนพื้น เมื่อเห็นว่าพวกเขาเสียชีวิตแล้วจึงโล่งใจ สลบตามไปอีกคน
เมื่อเหยียนอี้ตื่นขึ้นมา ก็พบว่านางนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง ทั้งแม่ของนางและเหยียนจื่อ ไม่มีใครอยู่บ้านเลย
นางรู้สึกกระหายน้ำและพยายามลุกขึ้นเพื่อเทน้ำหนึ่งแก้ว แต่นางไม่มีกำลังและไม่อาจเคลื่อนไหวได้
นางนอนรอมาสักพักแล้ว แต่ก็ไม่มีใครมา นางกระหายน้ำจริง ๆ หลังจากสะสมแรงมานาน ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นนั่งได้ วางเท้าลงบนพื้น ทว่านางกลับเหยียบโดนสิ่งที่อ่อนนุ่ม เมื่อก้มมอง ก็พบว่ามีคนนอนอยู่บนพื้น
“เฉินฟู่เซิน! เฉินฟู่เซิน!” เหยียนอี้เรียกหาเขาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง
‘เขาดูเจ็บปวดมาก คงยังไม่ตายใช่ไหม’ เหยียนอี้คิดแบบนี้และเหงื่อออกจนหยดลงบนพื้น
แผลที่หน้าอกของนางเจ็บมากจนรู้สึกวิงเวียนและอดไม่ได้ที่จะร้องไห้
“อ้าว เสี่ยวอี้ตื่นแล้วหรือ” เป็นป้าจางผู้ผลักประตูเข้ามาและเอ่ยขึ้น
นางนำอ่างน้ำวางลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ตั้งแต่เหยียนอี้ช่วยให้ครอบครัวได้รับเงินเป็นจำนวนมาก มุมมองของป้าจางที่มีต่อเหยียนอี้ได้เปลี่ยนไปและใส่ใจเด็กสาวมากขึ้น
เหยียนอี้ชี้ไปที่เฉินฟู่เซินซึ่งนอนอยู่บนพื้นและถามป้าของนางว่า “เขา… ยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ป้าจางลูบมือของนางและตอบว่า “ยังมีชีวิตอยู่! หมอเปี้ยนในเมืองอวิ๋นเจี้ยนเป็นฮัวโต๋*[1] ที่กลับชาติมาเกิด มีผู้ป่วยที่ไหนที่เขาช่วยชีวิตไม่ได้บ้าง”
“แล้วเหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่เจ้าคะ” เหยียนอี้ถาม
ป้าจางพูดว่า “อี้เอ๋อร์ เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำ เมื่อวานนี้เจ้าและพี่ชายของเจ้าซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยเลือดถูกส่งกลับมา หวงจื่อกับข้าตกใจมาก ท่านยายและท่านตาของเจ้าก็เกือบเป็นลมล้มพับไป”
ป้าจางกล่าวต่อ “โชคดีที่คนของภัตตาคารกุ้ยซานไปเชิญหมอเปี้ยนมาช่วยชีวิตเจ้า แผลของเจ้ามีเลือดออกไม่หยุด หนำซ้ำยังมีไข้ ข้าต้องอยู่เฝ้าเจ้าทั้งวันทั้งคืน!”
เมื่อมาถึงจุดนี้ป้าจางก็ตีสะโพกตัวเองแล้วกล่าวต่อ “เจ้าโชคดีมากนะ หมอเปี้ยนบอกว่าเจ้าไม่ได้บาดเจ็บที่จุดสำคัญ แผลไม่ลึก และเลือดก็หยุดไหลแล้ว แต่เราก็ยังกังวลอยู่ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า แม่ของเจ้าคงโกรธพวกเราเป็นแน่”
เหยียนอี้หลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่ายและพูดว่า “ท่านป้า ข้าไม่ได้อยากฟังเรื่องนี้ เหตุใดเฉินฟู่เซินถึงนอนอยู่ที่นี่”
ป้าจางยิ้มอย่างมีเลศนัย “หมอบอกว่าพี่ชายเฉินเจ็บมากกว่าเจ้า แต่เขาฝึกศิลปะการต่อสู้และแข็งแกร่งกว่า เขาจึงตื่นขึ้นมาเร็วกว่า หลังจากตื่นขึ้นมาเขายืนกรานที่จะมาพบและคอยปกป้องเจ้า เขาพูดราวกับว่าจะมีศัตรูมาทำร้ายเจ้าอย่างไรอย่างนั้น”
เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้ฟังอย่างตั้งใจ เสียงของนางจางก็ฟังดูตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ “แต่เขาบาดเจ็บหลายจุด หมอเปี้ยนกลัวว่าเขาจะไม่ได้พักผ่อนและกลัวว่าแผลจะแตก จึงให้น้ำแกงสองชามแก่เขา แล้วเขาก็ผล็อยหลับไปที่นี่”
เมื่อมาถึงจุดนี้นางจางหยุดชั่วคราว
“อี้เอ๋อร์ ข้าเห็นว่าพี่เฉินผู้นี้เป็นห่วงเจ้ามาก แต่เมื่อวานนี้เขาฆ่าคนไปหลายคน พลลาดตระเวนหลายคนและผู้ตรวจการของเมืองอวิ๋นเจี้ยนอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่ดีหรอกหรือ? อี้เอ๋อร์ เราทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าไม่สามารถดีกับคนแบบนี้ได้”
เหยียนอี้รู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกและแม้กระทั่งในหัวของนาง นางค่อย ๆ นอนลงบนเตียงแล้วพูดว่า “ป้าอย่าพูดเรื่องไร้สาระอีกเลยเจ้าค่ะ ส่งน้ำมาให้ข้าที”
นางจางเทน้ำให้แล้วพูดต่อว่า “ข้าคิดว่าพี่ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เจ้าคิดว่าใครสามารถมีศิลปะการต่อสู้ที่สูงเช่นนี้ได้? ใครกันที่สามารถดึงดูดนักฆ่าได้”
“นอกจากนี้ เมื่อผู้ตรวจการใหญ่และผู้ตรวจการมาเมื่อวานนี้ เขาก็เพิ่งตื่น ตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะจับกุมและส่งไปยังศาลแล้ว”
นางจางอธิบายสถานการณ์เมื่อวานนี้ด้วยความตื่นเต้น “แต่เฉินฟู่เซิน ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับทั้งสองคน จู่ ๆ พวกเขาทั้งคู่ก็จากไปเสียอย่างนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะสืบสวนคดีนักฆ่าพวกนั้นอีกด้วย”
เหยียนอี้รู้สึกแปลกมากเมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ แต่นางไม่รู้อะไรเลย
ใครจะฆ่าเฉินฟู่เซิน?
เหยียนอี้จำได้ว่าเมื่อนางพบเฉินฟู่เซินครั้งแรก เขาถูกไล่ฆ่า แล้วก็ล้มลงบนพื้นเพราะอาการบาดเจ็บ
สองปีต่อมาคนเหล่านี้ยังไม่เต็มใจที่จะปล่อยเขาไปอีกหรือ?
เหยียนอี้คิดกับตัวเองว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา นางอาศัยอยู่กับเฉินฟู่เซินทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ว่าเขาจะค่อนข้างเก็บตัวและไม่แยแสผู้คนหรืออาชีพการงาน แต่เขาก็ดูไม่ได้เป็นคนทรยศ เหตุใดเขาถึงดึงดูดศัตรูมากมายเพียงนี้?
เขาซ่อนความลับอะไรอยู่?
นางรู้สึกเพียงว่าบาดแผลบนร่างกายของนางเจ็บปวดอย่างมากและจิตใจของนางก็กำลังสับสน นางไม่เข้าใจสักนิด
“ไม่ว่าในกรณีใด หลังจากที่เขาฟื้นตัวแล้ว เราคงไม่อาจให้เขาอยู่กับเราได้ มิฉะนั้นทั้งครอบครัวเราจะติดอยู่ในความทุกข์ยาก”
เหยียนอี้ตัดสินใจแล้วดังนั้นนางจึงไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก นางลูบหน้าผากตัวเองและกลับไปนอนโดยไม่สนใจนางจาง
นางจางก้าวออกจากประตู ทันทีที่ประตูปิด เฉินฟู่เซินก็ตื่นขึ้นมา
เขาได้รับบาดเจ็บมากกว่าเหยียนอี้มาก กระนั้นก็พยายามพยุงร่างกายส่วนบนขึ้นแล้วมองไปที่เหยียนอี้
บนพื้นนั้นเย็นสบาย แต่เขานอนไม่หลับเพราะยังไม่รู้ว่ามีนักฆ่าอีกกี่คนที่ไล่ตามเขา และไม่รู้ว่าพวกนั้นจ้องทำร้ายเหยียนอี้ด้วยหรือไม่
แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย แต่หากมีนักฆ่ามาอีกครั้ง เขาก็พร้อมจะฆ่าพวกนั้นด้วยมือของเขาเอง ยิ่งคิดว่าเหยียนอี้จะตกอยู่ในอันตราย มันก็คุ้มค่าที่เขาจะกระโจนเข้าไปฟาดฟันดาบใส่นักฆ่าพวกนั้น
ความคิดเช่นนี้เพิ่งพรั่งพรูออกมา แม้แต่เฉินฟู่เซินเองก็ตกใจกับสิ่งที่ตัวเองคิด
ตาย…
ไม่ เขาตายไม่ได้ เขามีอะไรต้องทำมากมาย
ถ้าเขาจะตายจริง ๆ เขาต้องฆ่าศัตรูให้ได้ก่อน
นอกจากแม่ของเขาแล้ว ใครมีค่าพอให้เขาปกป้องอีก ไม่มี!
แต่เมื่อวานนี้ เหยียนอี้ไม่ลังเลที่จะปกป้องเขา
เฉินฟู่เซินเอื้อมมือออกไปหมายจะสัมผัสบาดแผลของเหยียนอี้เบา ๆ แต่นางได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก ดังนั้นมันคงไม่สมควรนัก เขาจึงหยุดมือข้างหนึ่งกลางอากาศและเอามันกลับอย่างเงียบ ๆ
“เหตุใด เจ้าถึงช่วยข้า” เฉินฟู่เซินเกิดคำถามในใจ
หากสถานการณ์เมื่อวานนี้กลับกัน เขาจะลังเลที่จะขวางมีดให้เหยียนอี้หรือไม่?
เขาไม่อาจรับประกันได้จริง ๆ
“มีคนในโลกนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา แต่เต็มใจที่จะตายเพื่อเราหรือไม่”
เฉินฟู่เซินไม่รู้ว่ามีดที่แทงหน้าอกของเหยียนอี้เมื่อวานนี้ นางไม่ได้เต็มใจที่จะไปรับแทนเขา เพียงแต่ว่าความเร็วของนักฆ่านั้นเร็วเกินไป เหยียนอี้ซึ่งไม่เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้จึงหลบหลีกไม่ทัน
หากเขาถามเหยียนอี้ว่า ‘เจ้าเต็มใจตายเพื่อข้าจริง ๆ หรือ’
เก้าครั้งจากสิบครั้ง เหยียนอี้ก็คงตอบว่าไม่เต็มใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาไม่ได้ถาม เขาจึงตัดสินใจว่าเหยียนอี้มีความรู้สึกต่อเขา จากความรู้สึกละอายใจกลายเป็นความรู้สึกซาบซึ้ง เขาน้ำตารื้น แล้วก้มลงจูบเหยียนอี้ที่แก้มแผ่วเบา
เหยียนอี้ยังไม่หลับ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีสัมผัสบางอย่างที่เย็น นุ่ม และชื้นเล็กน้อยมาสัมผัสบนใบหน้า นางจึงลืมตาขึ้นมา
คนสองคนหายใจและมองหน้ากันอย่างประดักประเดิด
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหยียนอี้ผินหน้าไปอีกทาง หัวใจเต้นรัวไม่หยุด ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
เฉินฟู่เซินพยายามลุกขึ้นจากพื้น แต่แขนขาของเขาอ่อนแรง เขาจึงยังนั่งอยู่ที่เดิม
เหยียนอี้ได้ยินเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวด อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “อย่าขยับมากนัก… เหตุใดเจ้าไม่กลับไปนอนที่ห้องของเจ้าเล่า?”
“ข้ากำลังเฝ้าเจ้าอยู่” เฉินฟู่เซินกระซิบ
“ข้าสบายดี ข้าไม่อยากให้เจ้าดูแลข้า” เหยียนอี้ปฏิเสธ
“เหยียนอี้ ข้าขอโทษ” เฉินฟู่เซินกล่าว
แต่ก่อนนั้นนางเต็มไปด้วยความสงสัย แต่นางไม่เคยถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำและไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอดีตของเขา มันเลยนำมาสู่ภัยพิบัติในวันนี้
ตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้น เฉินฟู่เซินไม่อาจอยู่บ้านของนางได้อีกต่อไป โชคดีที่เหอซื่อและเหยียนจื่อไม่ได้อยู่ที่นี่ มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยเป็นแน่
ทว่าเหยียนอี้ก็เกือบจะตายเป็นวิญญาณเช่นกัน นางต้องให้เฉินฟู่เซินเล่าเรื่องของนางอย่างชัดเจนแล้วค่อยไล่เขาออกไป
นางจึงถามเขาว่า “เฉินฟู่เซิน เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าหรือ”
เฉินฟู่เซินก็รู้เช่นกันว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดอีกต่อไป นอกจากนี้เหยียนอี้ยังเต็มใจที่จะขวางมีดให้เขา หลังจากอยู่ด้วยกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาก็รู้ว่านางเป็นคนที่ไว้ใจได้
แต่ตัวตนของเขาเป็นความลับ เขาจะพูดออกไปได้อย่างไร เขาตัดสินใจแล้ว ตอนนี้จำต้องหาข้ออ้างหรือไม่ก็ทำเฉไฉไปก่อน
เขาจึงตอบว่า “ถามข้ามาสิว่าเจ้าอยากรู้อะไร”
เหยียนอี้ถามว่า “เจ้าเป็นใคร”
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “ข้าคือเฉินฟู่เซิน”
เหยียนอี้ถามอีกครั้งว่า “เจ้าเป็นใครนอกจากเฉินฟู่เซิน?”
เฉินฟู่เซินยิ้ม “เหยียนอี้ เช่นนั้นข้าถามเจ้าด้วยว่าเจ้าเป็นใครนอกจากเหยียนอี้?”
[1] หมอฮัวโต๋เป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเก่าของจีน ได้รับยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ด้านศัลยกรรม