ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 29 ข้าวโพดกรอบ (รีไรท์)
บทที่ 29 ข้าวโพดกรอบ (รีไรท์)
เหยียนอี้ฟังสิ่งที่ท่านยายกับท่านตาพูด สังเกตว่าเหอจวงไม่กลับมาครึ่งชั่วยามแล้ว การทะเลาะกันของทั้งคู่เป็นการทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่จริง ๆ
แต่มันเกี่ยวอะไรกับนางด้วยเล่า?
ป้าจางมักจะทำตัวหน้าไม่อายต่อครอบครัวของนาง ตอนนี้เมื่อมองไปที่ใบหน้าทะมึนของนาง เหยียนอี้ก็มีความสุขเล็กน้อย
ท่านย่ายังคงเอ่ยไม่หยุด นางถอนหายใจ พูดต่ออีกว่า “ข้าจะทำอย่างไรได้บ้าง”
เหอซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางพูดกับนางจางว่า “พี่สะใภ้ ในเมื่อครอบครัวมีปัญหา เหตุใดเจ้ายังรั้นเก็บเครื่องประดับไว้? เจ้าควรคืนมันให้ไวแล้วตามพี่ชายของข้าไป”
นางจางพ่นลมอย่างเย็นชา “ตอนนี้เจ้าพัฒนาขึ้นนะ ถึงขั้นแนะนำเรื่องในครอบครัวของเราได้”
เมื่อเหอซื่อถูกขัดเช่นนั้น นางที่กำลังจะเอ่ยปากแต่ก็ไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาอีก
เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเขา หลิวจูจึงไม่สามารถอยู่ได้อีก เขาเลยจากไป
เหยียนจื่อจับมือของเหยียนอี้ นางอยากไปจากตรงนี้ แต่เหอซื่อเป็นห่วงสุขภาพพ่อแม่ของนางเลยยังไม่อยากจากไปไหน เหยียนอี้จำต้องอยู่กับนางต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน เหอจวงก็กลับมา ใบหน้าแดงเห่อราวกับดื่มสุรามา เขาเห็นทุกคนรวมตัวกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใด ทำเพียงแค่นั่งลงเท่านั้น
นางจางแอบอับอายจึงพยายามดึงเขาขึ้น แต่เหอจวงสะบัดนางออกทันที
นางจางเสียหน้าต่อหน้าครอบครัวเหยียนอี้ ไฟโกรธปะทุขึ้นมาอีกครั้ง นางเท้าเอว ตะโกนด่าด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าที่นี่อีก ไอ้คนไร้ประโยชน์! เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของข้า มีชายเช่นนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร!”
เหอจวงตอบกลับอย่างเดือดดาล “ใช่ ข้าไม่มีประโยชน์ ส่วนเจ้ามี! ครอบครัวของข้าไม่อาจหาเงินทองเครื่องประดับมาให้เจ้าได้!”
นางจางถ่มน้ำลาย “หากเป็นภรรยาของคนอื่นไม่ต้องพูดถึงต่างหูเงินคู่หนึ่ง แม้แต่ต่างหูทองคำก็สามารถซื้อได้!”
เหอจวงลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “งั้นเจ้าไม่ไปเป็นภรรยาของคนอื่นเสียเล่า?”
“เจ้า…” นางจางโกรธมาก แต่นางพูดไม่ออก
“เอาล่ะ!” ท่านตาตบโต๊ะ ทอดถอนใจออกมา “คู่รักที่น่าสงสาร ต่ำต้อย ช่างน่าเวทนาจริง ๆ!”
แม้เหยียนอี้จะไม่เคยชอบป้าคนนี้ แต่นางก็ไม่อยากได้ยินพวกเขาทะเลาะกันเท่าไรนัก
จริงสิ ต่างหูเงินหนึ่งคู่มันมีมูลค่าเท่าใดกัน?
เรื่องเช่นนี้ ก็สมควรอยู่ที่สามารถทำคู่สามีภรรยาจากครอบครัวที่ยากจนระหองระแหงกันได้
“สุดท้ายแล้ว ก็เป็นเจ้าที่โอ้อวดว่าเมื่อขายข้าวโพดและทำเงินได้ เจ้าจะให้เครื่องประดับดี ๆ แก่ข้า คราวนี้ข้าซื้อเครื่องประดับด้วยตัวเอง แต่กลับถูกทำให้อับอายขายหน้า! ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!” นางจางพรั่งพรูคำพูด วิ่งปรี่เข้าหาเสา
เหอจวงรีบคว้านางจางจนหัวนางกระแทกเข้ากับแผ่นอกตน
ทั้งสองโอบกอดร้องไห้ ใส่กัน
เหอซื่อทนมองไม่ไหว นางคิดว่าพี่ชายของนางเป็นคนที่ซื่อสัตย์ที่สุด แม้ว่าพี่สะใภ้ของนางจะค่อนข้างไร้เหตุผลและขี้โกงไปบ้าง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นดีเสมอ เหตุใดถึงเรื่องเอะอะขนาดนี้ได้กัน?
การแต่งงานของนางเองไม่ได้เป็นไปด้วยดี ดังนั้นนางจึงหวังว่าพี่ชายของนางจะไม่เป็นเช่นนั้น
ท้ายที่สุดต้นเหตุเป็นเพราะข้าวโพดยังไม่ได้ขาย
แม้ว่าเหยียนจื่อจะยังเด็ก แต่ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน นางจึงถามเหอซื่อว่า “ท่านแม่ หากข้าวโพดในบ้านของท่านตาถูกขายไปพวกเขาจะไม่ทะเลาะกันใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เหอซื่อพยักหน้า “ใช่ แต่เจ้าได้ยินลุงหลิวพูดแล้วนี่ว่าข้าวโพดในเมืองขายไม่ได้ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง”
เราจะทำอย่างไรได้บ้าง?
เหยียนอี้ได้ยินแล้วในใจของนางก็พลันเกิดแสงสว่างวาบ
“เอาล่ะ เงียบได้แล้ว หยุดร้องไห้เสียทีเจ้าค่ะ” เหยียนอี้พูดกับนางจางและเหอจวง “ข้าสามารถช่วยท่านขายข้าวโพดได้ทั้งหมด แต่ข้ามีเงื่อนไขเดียว ต้องแบ่งปันผลกำไรเจ็ดส่วนให้ครอบครัวของข้า”
นางจางหยุดหลั่งน้ำตาแล้วถามอย่างสงสัย “เด็กน้อยเจ้าคิดอะไรอยู่ เลิกเพ้อฝันได้แล้ว”
“เด็กสาวตัวเล็ก ๆ มักจะมีความคิดดี ๆ ข้าถามเจ้าว่าท่านเต็มใจให้ข้าเจ็ดต่อสามหรือไม่” เหยียนอี้กล่าว
นางจางกล่าวว่า “ข้าวโพดนี้เป็นรายได้หลักของเรา ข้าทำงานอย่างหนักมาเป็นปีตั้งแต่หว่านเมล็ดไปจนถึงใส่ปุ๋ย รดน้ำ เก็บเกี่ยว กว่าจะได้ทำให้แห้ง เราใช้ความพยายามอันขมขื่นมากมาย หากเจ้าเพียงแค่ช่วยขายมัน แต่กลับได้รับถึงเจ็ดส่วน เจ้าไม่โลภมากไปหน่อยหรือ?”
เหยียนอี้หัวเราะ “หากข้าไม่ช่วย ท่านจะไม่สามารถหาเงินได้หรือ หากท่านตกลง อย่างน้อยท่านจะได้รับสามส่วนของผลกำไร ไม่ว่าท่านจะต้องการหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
นางจางยังต้องการตั้งคำถาม แต่ท่านตาได้กล่าวไปแล้ว “อี้เอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กฉลาดมาตลอด หากเจ้าสามารถขายข้าวโพดชุดนี้ได้จริง ๆ จะดีมาก”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ท่านตาท่านยาย แม้ว่าจะเป็นกำไรเพียงสามส่วน แต่ข้ารับประกันได้ว่ารายได้มากกว่าการขายข้าวโพดเพียงอย่างเดียวเจ้าค่ะ”
สองวันต่อมา ‘แผงข้าวโพด’ ถูกวางไว้บนถนนภายใต้ความสงสัยของตระกูลเหอ
เหยียนอี้บดข้าวโพดบางส่วนเป็นผง ผสมกับไข่และเติมน้ำลงไป จากนั้นนำซังข้าวโพดเคี่ยวน้ำตาล ชุบด้วยไข่และผงข้าวโพดที่่เตรียมก่อนหน้านั้น แล้วทอดในกระทะน้ำมันจนเป็นสีเหลืองทอง
หลังจากนึ่งในหม้อ มันจะกลายเป็นข้าวโพดสีทองกรอบชุ่มด้วยน้ำราดหวานพิเศษส่งกลิ่นหอมยั่วยวน
เทียบกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้ในการขายวุ้น ข้าวโพดกรอบนี้ขายได้ง่ายมาก ชาวบ้านบอกปากต่อปากอย่างรวดเร็ว คนพากันมาต่อแถวซื้อยาวเหยียด
เดิมทีราคาข้าวโพดต่ำมากในปีนี้ ต่อให้ขายห้าสิบเหวินก็ไม่มีใครสนใจซื้อ อย่างไรก็ตามข้าวโพดกรอบนี้มีราคาเพียงสิบเหวินต่อชิ้นทว่ากลับขายดีมาก
เหยียนอี้ นางจาง เหอจวง เหอซื่อ และชายชราสองคนตั้งแผงขายของในทิศตะวันออก ตะวันตก และกลางเมือง แผงลอยสามแห่งมีแถวยาวต่อ
ทั้งครอบครัวยุ่งมากจนแม้แต่เหยียนจื่อที่เอาแต่เล่นยังต้องถูกควบคุมตัวไปที่แผงเพื่อผสมน้ำเชื่อมข้าวโพด
เฉินฟู่เซินรู้สึกแย่ที่จะอยู่บ้านเฉย ๆ เขาจึงออกมาช่วยเหยียนอี้ขายที่แผงทุกวัน
เขาอยู่ในหมู่บ้านอู่ซานมาเป็นเวลานาน คนที่ไล่ล่าเขาไม่เคยมาอีกเลย เขาจึงโล่งใจ ไม่ต้องกังวลเวลาอยู่ข้างนอกอีก
เป็นครั้งแรกที่เฉินฟู่เซินไปที่ถนนเพื่อเร่ขายของ เขาเขินอายมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับข้าวโพดในมือ
ทว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลาจึงไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศมากมาย ตราบใดที่เขาหยุดบนถนนก็จะมีสาว ๆ วัยสิบเจ็ดหรือสิบแปดหนาวมารุมซื้อทันที
เมื่อกลับบ้านก็พบว่าเฉินฟู่เซินขายได้มากที่สุด
นางจางมีความสุขเหมือนอยู่ในทุ่งดอกไม้ ทุกคืนนางมักจะหยิบกล่องเงินขึ้นมาดู นางไม่เพียงแต่จ่ายเงินคืนค่าต่างหูเงิน แต่ยังเอาเงินสดไปซื้อปิ่นปักผมทองคำได้ด้วย
เหอจวงอดไม่ได้ที่จะบ่นนางจางเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน
กระนั้นยามครอบครัวมีเงินเหลือก็ถึงเวลาที่จะใช้จ่าย เหอจวงขอให้นางจางซื้อพระพุทธรูปหยกองค์เล็ก ๆ ให้เหอซื่อและปล้องยาสูบดี ๆ ให้บิดา
เหยียนอี้เป็นเจ้าของความคิด แต่นางขอน้อยที่สุด นางไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเองนอกจากชุดใหม่สำหรับคนในครอบครัว
ในวันนั้นมีซุ้มผงสีชาดอยู่ข้างแผง ล้อมรอบด้วยกลุ่มเด็กสาว
เฉินฟู่เซินเห็นว่าเหยียนอี้ไม่ได้มองมันด้วยซ้ำ เขาจึงถามอย่างสงสัย “เจ้าเองก็เป็นหญิง เหตุใดเจ้าไม่ซื้อผงสีชาดใด ๆ เลย?”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยู่หน้าหม้อต้มน้ำมันในครัวทุกวัน ข้าจะต้องการผงสีชาดไปทำไม? ยิ่งกว่านั้นข้าจะแต่งไปให้ใครดูกันเล่า”
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “เจ้าแต่งตัวให้ข้าหรือเหยียนจื่อดูก็ได้”
เหยียนจื่อกำลังตีไข่ เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็ยิ้ม “ท่านพี่ ท่านจะซื้อกล่องสีชาดให้ข้าหรือไม่”
เหยียนอี้พูดว่า “เจ้าอายุเท่าไร? เจ้าต้องการสีชาดแบบไหน? เข้าใจแล้ว ข้าแค่ทาสีน้ำตาลแดงจากถังหูลู่บนหน้าของเจ้าก็พอสินะ”
…
ธุรกิจยังคงเฟื่องฟู ทุกอย่างขายเกลี้ยงในเวลาไม่นาน เหยียนอี้เตรียมปิดแผงขายของแล้วกลับบ้าน
ขณะที่นางกำลังจะจากไปก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอย
ชายวัยกลางคนสวมหมวกนั่งอยู่บนถนน มือกุมท้องตัวเองกลิ้งไปบนพื้นและร้องไห้
เหยียนจื่อวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นนางก็ถูกชายคนนั้นคว้าข้อมือไว้ นางตื่นตระหนก ต้องการดึงมือออก แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก จนในที่สุดนางต้อร้องลั่นออกมา
เสียงของชายคนนั้นดังกว่าเหยียนจื่อมาก ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ในทันที
เหยียนอี้และเฉินฟู่เซินรีบไปดู
ชายสวมหมวกจับข้อมือเหยียนจื่อไว้พลางตะโกนว่าปวดท้อง
เหยียนอี้พยายามดึงเหยียนจื่อกลับ แต่ขยับไม่ได้แม่แต่นิด นางสาปแช่งว่า “ไอ้คนตาขาว เจ้ามาจับน้องข้าไว้ด้วยเหตุใด?”
เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้เป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อยเย้าเสน่ห์ เขาก็ทวีความไร้ยางอายมากขึ้น ตะโกนว่า “ปวดท้อง! โอ๊ยยย ปวดมาก! ไม่นะไม่ ข้ากำลังจะตาย…”
เหยียนอี้พูดอย่างโกรธเคือง “หากเจ้าปวดท้องก็ไปพบหมอ เหตุใดเจ้าถึงจับน้องสาวของข้าไว้”
“ข้าปวดหลังจากกินข้าวโพดของเจ้า!” เขาร้องตะโกน
“เหลวไหล! มีคนกินข้าวโพดกรอบของเราเยอะมาก ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย!” เหยียนจื่อรีบแก้ต่าง
“หากมันไม่เจ็บวันนี้ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่ามันจะไม่เจ็บในวันพรุ่งนี้! ข้ากินข้าวโพดของเจ้าเมื่อวานนี้ จู่ ๆ วันนี้มันก็เจ็บขึ้นมา!” เขายังคงร้องไห้
เหยียนอี้รู้ว่าวันนี้นางได้พบกับคนขี้ขลาด เมื่อนางเข้าไปพัวพันกับสุนัขขี้เรื้อนเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะกำจัดมันได้ นางเป็นคนขายอาหาร คำว่า ‘ชื่อเสียง’ คือทุกสิ่ง หากชายคนนี้ยังตะโกนต่อไปเช่นนี้ ชื่อเสียงที่ดีของนางจะถูกทำลาย
“เจ้า… เจ้าอย่ากล่าวหาเราอย่างผิด ๆ ข้าวโพดกรอบของข้าตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงการผลิตนั้นสะอาดและถูกสุขลักษณะ ต่อให้เจ้าจะฟ้องผู้ตรวจการ ข้าก็ไม่กลัว!” เหยียนอี้กล่าว
แต่เสียงของชายคนนั้นดังมาก มีผู้คนมากมายตรงที่เกิดเรื่อง นางตะโกนออกไปสองสามคำ แต่ก็ถูกเสียงผู้อื่นกลบจนหมด
ชายวัยกลางคนยังคงจับเหยียนจื่อไว้ เมื่อเห็นว่ามือของเขาแข็งแกร่งเพียงใด ใบหน้าเล็ก ๆ ของเหยียนจื่อก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเจ็บ
ชายคนนั้นยืนขึ้น มือกุมอยู่ที่ท้อง จากนั้นชี้นิ้วไปที่เหยียนอี้แล้วพูดว่า
“สาวน้อย เจ้ายังไม่ได้ออกเรือน มิสมควรที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนและเร่ขายของบนถนนเช่นนี้ ตอนนี้เจ้ายังกระทำการชั่วร้ายอีก ข้าไม่รู้ว่าเครื่องเทศอันตรายชนิดใดถูกผสมเข้าไปในข้าวโพด ข้าจะตายอยู่แล้ว เจ้าสารภาพมาเสียดีกว่า”
เหยียนอี้โต้เถียงกับเขาสองสามคำ แต่เสียงของนางเล็ก มันจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงต่อ ทำได้แค่ถ่มน้ำลาย คารมคมคายของนางไม่สามารถใช้ในฝูงชนได้อีก
“ทุกคนลองคิดดูสิ พวกเราเคยลิ้มรสข้าวโพดมานานกว่าสิบปี เหตุใดมันถึงกลายเป็นอาหารอันโอชะที่สุดในโลกหลังผสมส่วนผสมอื่น ๆ? เป็นเพราะใส่สิ่งใดที่ไม่ควรใส่ลงไปหรือไม่” ชายคนนั้นร้องโอดครวญ
เมื่อเห็นว่าบางคนในฝูงชนเริ่มชี้ไปที่เหยียนอี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพูดจาใส่ร้ายต่อไป
“ข้าได้ยินมาว่าในสมัยราชวงศ์เว่ยและจินมีพิษที่เรียกว่าผงห้าศิลา[1] เมื่อกินมันเข้าไปผู้คนจะรู้สึกว่ามันเป็นอาหารอันโอชะ แต่หากกินมากเกินไป พวกเขาจะต้องพบกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนได้”
เมื่อชายวัยกลางคนพูดเช่นนี้ เขาก็พูดว่า “โอย” อีกครั้ง
“พวกเจ้าลองคิดดูสิ เจ้ากินอาหารของสาวน้อยตระกูลเหยียนแล้วไม่รู้สึกอยากกินอาหารอื่นอีกเลยหรือไม่? เจ้าปวดท้องกันหรือไม่”
[1] 五石散 (อู่สือส่าน) ผงห้าศิลา เป็นยาเสพติด