ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 26 ฤดูร้อนกำลังจะผ่านไป (รีไรท์)
บทที่ 26 ฤดูร้อนกำลังจะผ่านไป (รีไรท์)
สภาพอากาศในเวลากลางคืนดูเหมือนจะเย็นสบาย คืนนี้คึกคักกว่าปกติ
ตามธรรมเนียมของเมืองอู่ซาน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของช่วงฤดูกาลหน้าร้อน เรียกว่าวันฉูสู่[1] ซึ่งจะมีการจัดเทศกาลฤดูร้อนขึ้น
ทุกคนในเมืองอู่ซานจะมารวมตัวกันที่ตลาดเพื่อชมคณะการแสดงร้องเพลงในเมือง วุ้นย่อมขายดีเทน้ำเทท่า คืนนี้พวกเขาเลยทำวุ้นมากกว่าทุกวัน
เหยียนอี้ยืนอยู่หน้าเตามองไปที่ตะกร้าผลโทงเทงหลายใบแล้วถอนหายใจ เหยียนจื่อยังเด็กอยู่ ไม่สามารถขอให้นางช่วยได้ ส่วนเหอซื่อก็ทำงานหนักมาทั้งวัน นางสุขภาพไม่ดี ไม่อาจปล่อยให้นางตื่นแต่เช้าเพื่อทำวุ้นได้ ส่วนเฉินฟู่เซิน… ช่างเหมาะสม แต่เขาไม่ทำอะไรไม่ได้เลย
เหยียนอี้พูดกับตัวเอง “ลืมมันไปเถอะ ข้าจะทำเอง ข้ารอดมาได้หลายวันแล้ว”
“เหยียนอี้ ให้ข้าช่วยเถิด ป้าจ้าวบอกว่าพรุ่งนี้เป็นเทศกาลฤดูร้อน เจ้าต้องยุ่งมากแน่” เฉินฟู่เซินที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวพูดขึ้น
เหยียนอี้สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง นางหันไปเห็นเฉินฟู่เซินจึงตอบไปอย่างโกรธเคือง “เจ้าทำอะไรน่ะ? ข้าตกใจหมด!”
เฉินฟู่เซินเดินไปหยิบตะกร้าผลโทงเทงทั้งใบจากมือของเหยียนอี้ “สอนวิธีทำแก่ข้า ข้าสร้างปัญหาให้เจ้ามาหลายวันแล้ว คืนนี้ข้าจะฝึกให้หนัก!”
เหยียนอี้มองการแสดงออกที่จริงจังของเฉินฟู่เซิน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคึกไปด้วย กระนั้นก็ยังรู้สึกขบขันอยู่บ้าง
เมื่อไม่กี่วันก่อนนางโกรธมาก แม้ว่าความโกรธของนางจะลดลงแล้ว แต่นางก็ยินดีที่ได้ยินคำขอโทษจากเฉินฟู่เซิน
“ตกลงข้าจะสอนเจ้า แต่หากเจ้าเหนื่อย เจ้าต้องพักผ่อนนะ” เหยียนอี้มองไปที่เฉินฟู่เซิน แววตาแฝงด้วยรอยยิ้ม
แสงเทียนวูบไหวในอากาศ เงาที่เคลื่อนไหวไปมาของเหยียนอี้และเฉินฟู่เซินดูอบอุ่นนักภายใต้แสงเทียนนั้น
เฉินฟู่เซินมองไปที่เหยียนอี้ที่กำลังจริงจังและเอาใจใส่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกละอายใจเมื่อนึกถึงการได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันของครอบครัวเหยียนอี้
เขาเป็นเพียงคนที่ผ่านมา แต่เมื่ออยู่ที่นี่เขากลับรู้สึกเป็นเหมือนหนึ่งในครอบครัวที่อาศัยอยู่กับพวกเขามาแสนนาน
คนที่รู้จักเขาทั้งหมดบอกว่าเขาเป็นคนที่มีหัวใจดั่งศิลาหรือไร้หัวใจ แต่ในเวลานี้ เฉินฟู่เซินรู้สึกว่าเขากำลังดื่มด่ำกับวันที่แสนสุข เหมือนได้อยู่กับคนที่รักมานานแสนนาน
“เฉินฟู่เซิน ทำเสร็จแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะทำส่วนที่เหลือเอง” เหยียนอี้พูดกับเฉินฟู่เซินไปง่วนกับงานตัวเองไป
เฉินฟู่เซินไม่ได้มองไปที่เหยียนอี้ เพราะกลัวว่าเขาจะยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่แล้วไม่สามารถปล่อยตัวเองไปได้ เขาจึงตอบอย่างรวดเร็ว “ข้าจะกลับไป”
เมื่อกลับเข้ามาในห้อง เฉินฟู่เซินก็พิงเตียง แสงจันทร์นอกหน้าต่างนั้นชัดเจนและสว่างไสว มีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วง
เฉินฟู่เซินคิดฟุ้งซ่าน เมื่อครั้งยังเด็ก พ่อของเขามักจะมาพบเขาและแม่ เขานึกถึงคืนที่พ่อตนขับไล่เขาและแม่ออกไป นึกไปถึงแม่ที่ตายอย่างน่าหดหู่เพื่อปกป้องเขา
เขานึกถึงวันที่ถูกไล่ฆ่าตลอดวันไม่ได้พักแม้แต่พริบตาเดียว รวมถึงตอนที่เขาเห็นเหยียนอี้เป็นครั้งแรกและวิธีที่เหยียนอี้รักษาเขา
อย่างไรก็ตามความเกลียดชังได้จารึกไว้ในใจของเฉินฟู่เซินเหมือนตราประทับ เราจะใช้ชีวิตอันอบอุ่นนี้โดยที่ยังไม่ได้แก้แค้นได้อย่างไร
เฉินฟู่เซินถอนหายใจ คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ
เช้าวันรุ่งขึ้นเหยียนอี้ปลุกเด็กหนุ่มขึ้นมา
“เฉินฟู่เซิน! วันนี้เจ้าช่วยข้าขายวุ้นในตลาดได้หรือไม่” เหยียนอี้ยืนอยู่ที่ประตูแล้วส่งยิ้มให้เขา
“…ตกลง ข้าจะไปทันที ขอเวลาประเดี๋ยว” เฉินฟู่เซินไม่อยากตกลงในทีแรก แต่ทันทีที่เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะกล่าวคำอำลากับครอบครัวเล็ก ๆ นี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเห็นด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เหยียนอี้ เหอซื่อ เฉินฟู่เซิน และเหยียนจื่อก็เข็นรถเข็นวุ้นมาที่ตลาด
ตลาดเต็มไปด้วยแผงลอยนานแล้ว ผู้ขายทุกคนหวังว่าจะส่งท้ายฤดูร้อนนี้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับผู้คนในเมืองอู่ซาน การเก็บเกี่ยวที่ดีในวันนี้เป็นลางดีในช่วงครึ่งหลังของปี
การขับขานบทเพลงกำลังจะเริ่ม ผู้ชมจำนวนมากมารวมตัวกันที่แผงขายของเหยียนอี้เพื่อซื้อวุ้น ทุกคนมีถ้วยของตัวเอง ลูกค้าบางคนซื้อหลายถ้วยในคราเดียว
ไม่นานหลังจากนั้น วุ้นก็ถูกขายไปมากกว่าครึ่ง
“ท่านพี่ ข้าอยากไปชมการแสดงด้วย!” เหยียนจื่อจ้องมองเหยียนอี้ด้วยดวงตาที่สดใส
เหยียนอี้เห็นเหอซื่อซึ่งกำลังนั่งทำบัญชีอยู่อีกด้านหนึ่งเลยพูดว่า “ท่านแม่กับเหยียนจื่อไปชมการแสดงด้วยกันเถิด ข้าอยู่ที่นี่ได้เจ้าค่ะ”
เหอซื่อพูดว่า “เจ้าสามคนไปเถิด ข้าไม่อยากดูมันเท่าไร ไว้คราวหน้าแล้วกัน”
เหยียนอี้ไม่เห็นด้วย ดึงเหอซื่อขึ้น ผลักนางและเหยียนจื่อไปหาที่นั่งหน้าเวทีแล้วขอให้พวกเขาดูการแสดง
“เจ้าอยากดูหรือไม่” เหยียนอี้เงยหน้าขึ้นและถามเฉินฟู่เซินที่กำลังทอดตาไปที่เวที
“โชคดีที่ข้าจำได้ว่าท่านแม่พาข้าชมการแสดงตอนที่ยังเด็ก หลังจากนั้นข้าไม่เคยได้ดูอีกเลย” เฉินฟู่เซินมองไปที่ร่างของตัวละครบนเวที เผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“แล้วแม่ของเจ้าเล่า? เจ้าไม่กลับบ้านบ้างหรือ” เหยียนอี้ถามอย่างสงสัย
“แม่ของข้า…ตายแล้ว” เฉินฟู่เซินตอบคำถามดังกล่าวนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก
“ตอนที่ข้ายังเด็ก เวลามีคนถามว่าเหตุใดข้าไม่กลับบ้าน ข้าจะร้องไห้เสมอ ตอนนี้ข้าโตพอที่จะเผชิญกับการตอบคำถามเช่นนี้ได้อย่างใจเย็นแล้ว”
“ข้าขอโทษจริง ๆ เฉินฟู่เซิน ข้าไม่ได้…” เหยียนอี้รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นดวงตาที่เศร้าหมองของเฉินฟู่เซิน
“มันไม่สำคัญหรอก ข้าชินกับมันแล้ว” เฉินฟู่เซินละสายตาจากเวที เขาหันหลังกลับ มองวุ้นที่ขายหมดแล้วอย่างเงียบ ๆ
ในช่วงบ่าย การเดินเล่นในเวลากลางวันสิ้นสุดลง ทั้งสี่เลยกลับบ้านด้วยกัน
ระหว่างทางซื้อวัตถุดิบไปมากมาย ในเทศกาลฤดูร้อนพวกเขาตั้งใจจะทำอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเป็นรางวัลแก่ครอบครัว!
เมื่อนึกถึงการทำอาหารเย็นดี ๆ ในตอนเย็น ใจของเหยียนอี้ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข หลังจากขมขื่นมาหลายปีในที่สุดแม่ของนางก็มีวันที่สงบสุขเสียที
เหยียนอี้ใช้มีดทำครัวสับลงบนเขียงเร็วรี่ ในเวลาอันสั้นนางเปลี่ยนเนื้อปลาเฉาให้กลายเป็นเนื้อบาง ๆ เหมือนปีกของจักจั่น เพิ่มไข่ขาวและผสมให้เข้ากัน เทผงเครื่องเทศห้าชนิด นวดให้เข้ากัน จากนั้นหั่นขิงและต้นหอมเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะนำไปพักไว้
เมื่อน้ำในหม้อเดือดก็ใส่เนื้อปลาลงในหม้อไฟ เนื้อปลาสีขาวม้วนตัวขึ้น จากนั้นตั้งน้ำมันให้ร้อน เทต้นหอมและขิงลงไป รอจนกว่ากลิ่นของต้นหอมและขิงจะส่งกลิ่นหอมออกมาเล็กน้อย
จากนั้นเทเนื้อปลาลงในหม้อแล้วผัดเล็กน้อย ตามด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาล และผงแป้งน้ำ สุดท้ายโรยด้วยต้นหอมที่หั่นแล้ว เนื้อปลาต้มในน้ำส้มสายชูก็พร้อมทาน ส่งกลิ่นเปรี้ยวหวานอวลไปในอากาศ
นมถั่วเหลืองในตอนเช้ายังไม่เสร็จดี แต่นมถั่วเหลืองที่เหลือก็เพียงพอสำหรับสี่คน วุ้นบางส่วนที่เหลือถูกทิ้งไว้ในถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ หลังจากนั้นสักพัก เหยียนอี้ก็เดินออกมาพร้อมกับอาหารอีกสองจาน
“เฉินฟู่เซิน นำแตงโมมาให้ข้าที!” เหยียนอี้ชะโงกมาเรียกเฉินฟู่เซินที่กำลังผ่าฟืนในลานบ้าน
“ตกลง รอสักครู่!” เฉินฟู่เซินพยักหน้า จากนั้นก็วิ่งไปหยิบแตงโม
เหยียนอี้กรองนมถั่วเหลืองด้วยผ้ากรองอย่างระมัดระวัง ผสมผงมันเทศลงไป ค่อย ๆ ปั้นเป็นทรงกลม หั่นเป็นก้อนเล็ก ๆ จุ่มด้วยแป้งแล้วทอดในน้ำมันร้อนจนสุก
กลิ่นหอมของนมถั่วเหลืองและกลิ่นที่คมชัดของน้ำมันยังคงอบอวลอยู่ในห้องครัว นมถั่วเหลืองทอดแต่ละชิ้นมีผิวสีทองราวกับอยากจะล่อลวงทุกคนให้ลิ้มรสมัน
เฉินฟู่เซินนำแตงโมมาให้เหยียนอี้ นางขอให้เขาช่วยตัดแตงโมเป็นสี่ชิ้น หนึ่งในนั้นถูกตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกับวุ้น และเติมน้ำตาลเคี่ยวลงในชามใส่น้ำแข็ง หลังอาหารเย็นพวกเขาจะได้กินกันคนละชาม
ทันใดนั้นก็มีกลิ่นหอมออกมาจากหม้อข้าว เฉินฟู่เซินไปเปิดหม้อ เห็นเมล็ดข้าวขาวผ่อง ซี่โครงเล็ก ๆ มันวาว ไส้กรอกรมควัน ผักดองที่ส่งกลิ่นหอมและผักใบเขียว
เหยียนอี้ตอกไข่สี่ฟองแล้วตีมันลงบนข้าวทีละฟอง นางปิดฝาและตุ๋นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเทซอส ตุ๋นต่ออีกครู่ เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย!
เหยียนอี้และเฉินฟู่เซินเดินเข้าไปในลานเล็ก ๆ พร้อมผัก ชิ้นปลาในน้ำส้มสายชู นมถั่วเหลืองทอด ข้าวตุ๋นกับซี่โครง และวุ้นแตงโม
อาหารเย็นคืนนี้หรูหรามากสำหรับพวกเขา ครอบครัวพร้อมที่จะนั่งรับประทานอาหารเย็น แต่ในตอนนั้นเอง สะใภ้จางกลับเดินบิดเอวเข้ามา
“อุ๊ย ข้าก็นึกสงสัยว่าใครอยู่บ้าน? กับข้าวหอมเหลือเกิน เป็นเจ้านี่เอง” ป้าสะใภ้จางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่สะใภ้ เจ้ามาที่นี่ทำไม…” เหอซื่อพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ยามเห็นพี่สะใภ้ของตน
“เหตุใดข้าจะมาไม่ได้” นางจางตอบ
“บ้านท่านป้าออกจะหลังใหญ่และสว่างไสว ท่านมีธุระอะไรที่บ้านโทรม ๆ ของเราหรือ?!” ทันทีที่เหยียนอี้เห็นสีหน้าโลภของป้าสะใภ้จาง นางก็เริ่มโมโห
“ไอหยา อี้เอ๋อร์ เจ้าทำอาหารเหล่านี้ทั้งหมดงั้นหรือ? เอ๊ะ? แต่เจ้าไม่ได้นำไปแบ่งให้ท่านยายและท่านตาได้ลิ้มรสเลยนี่นา เจ้าช่างไร้น้ำใจจริง ๆ ไม่ว่าอาหารจะอร่อยเพียงใด ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องให้ผู้อาวุโสก่อนไม่ใช่หรือ” นางจางมองหน้าตาที่ดูฉลาดเฉลียวของเหยียนอี้แล้วประชดประชันออกมา
เหยียนอี้พยายามตอบกลับ แต่เหอซื่อหยุดนางไว้
นางจางมองเฉินฟู่เซินที่กำลังนั่งอยู่ แสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ฟางเอ๋อร์ เจ้ายังพาผู้ชายเข้าบ้านอยู่อีก! เจ้ารู้จักมารยาท ความถูกต้อง และความละอายใจบ้างหรือไม่? เอ๊ะ ชายคนนี้ยังดูเด็กอยู่เลย ไม่ใช่เจ้าแต่เป็นเหยียนอี้ที่พามางั้นรึ!? ชัดเจนเช่นนี้ นี่เจ้ามีลูกสาวแบบไหนกัน หน้าหนากว่าคนเป็นแม่เสียอีก!”
“หากเจ้ากล้าพูดอีกคำหนึ่ง!” เฉินฟู่เซินฟังคำถากถางของนางจางไม่ไหว ในที่สุดก็ลุกพรวดขึ้นมา
นางจางมองไปที่ใบหน้าครึ้มทะมึนของเฉินฟู่เซิน แม้จะยังเด็ก แต่แววตาของเขาก็น่ากลัวน่าขนลุกอย่างยิ่ง นางจางเริ่มหวั่นใจขึ้นมาเลยพูดว่า “ช่างโชคร้ายจริง ๆ” แล้วเดินออกจากลานกระท่อมไป
เมื่อมองไปที่เฉินฟู่เซิน เหอซื่อไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง หากมอบอี้เอ๋อร์ให้ชายคนนี้ นางก็คงวางใจได้
“กินเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นอาหารจะเย็นหมด!” เหยียนอี้มองไปที่อาหารที่เริ่มเย็นชืดด้วยความเจ็บปวด จากนั้นรีบเรียกทุกคนมากินด้วยกัน “อนิจจา เนื้อปลาและข้าวนี้ควรกินตอนที่มันยังร้อนอยู่แท้ ๆ!”
“อร่อยมาก” เฉินฟู่เซินพูดเบา ๆ
เหยียนอี้สะดุ้งกับคำชมนั้น ใบหน้าเคลือบรอยยิ้มเขิน ๆ
“ท่านแม่ ข้าไม่กินไข่ ข้าให้ท่าน!” เหยียนอี้ตักไข่สองฟองจากข้าวมอบให้เหอซื่อ นางกล่าวว่า “เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเหตุใด จู่ ๆ ข้าก็ไม่ชอบไข่เสียอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
เหอซื่อมองไปที่เหยียนอี้ ดวงตาของนางค่อย ๆ พร่ามัวไปด้วยน้ำตา
เหยียนอี้อ่อนโยนยิ่ง แต่นางไม่อาจช่วยอะไรลูกสาวได้เลย ในชีวิตนี้นางเป็นหนี้เหยียนอี้มากจริง ๆ
ทันทีที่เหยียนอี้มองลงมา นางก็เห็นไข่ในชาม เฉินฟู่เซินแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่รู้อะไรแล้วกินข้าวในชามต่อไป
เหยียนอี้ยิ้มกับการกระทำนั้น นางตักเนื้อปลาลงในชามของเฉินฟู่เซินแล้วพูดว่า “เจ้าต้องกินให้มาก ๆ อาการบาดเจ็บจะได้ดีขึ้น! ข้าพูดจริงนะ!”
[1] วันฉูสู่ คือวันสิ้นสุดฤดูร้อน ช่วงประมาณวันที่ 23 สิงหาคมของทุกปี