ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 195 ปรับความเข้าใจ
บทที่ 195 ปรับความเข้าใจ
เหยียนอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นต่ำต้อย นางกับหลี่หรงอวี่เหตุใดถึงแตกต่างกันมากเยี่ยงนี้?
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ สติปัญญา ความกล้าหาญ ความเฉลียวฉลาด นางล้วนเทียบไม่ติดเลย
เรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้มั่งคั่งที่ตกหลุมรักสาวใช้ส่วนตัว และเรื่องราวเกี่ยวกับองค์ชายที่ตกหลุมรักหญิงสาวผู้ยากไร้เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น….
ในชีวิตจริงนางจะโชคดีเช่นนั้นจริงหรือ?
นางมั่นใจในตัวหลี่หรงอวี่มาตลอด ทว่าพอหลี่หรงอวี่ยืนอยู่ตรงหน้านางจริง ๆ นางกลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่ห่างไกลจากเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เหยียนอี้หลุบตาลงแล้ววิ่งหนีเขา
หลี่หรงอวี่คิดจะตามไป แต่เมื่อมองเห็นเงาด้านหลังของนาง เขากลับยืนอยู่ที่เดิมแล้วหัวเราะออกมา
หลังจากฟังลั่วอิ๋งอธิบายจบ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยิ่งเห็นเหยียนอี้โกรธก็ยิ่งมีความสุขมาก อดไม่ได้ที่จะต้องแกล้งนาง
เหยียนอี้วิ่งจนลับสายตาไป เมื่อวิ่งมาได้สักพักก็ไม่เห็นหลี่หรงอวี่ไล่ตามมา ฝีเท้าของเขาเหตุใดจะตามนางมาไม่ทัน? ไม่อยากตามมาชัด ๆ
เดิมทีเหยียนอี้อยากวิ่งกลับไปที่บ้าน แต่ว่าตอนนี้จิตใจยังไม่สงบดี ถ้าหากกลับบ้านแล้วถูกมารดารู้เข้า จะต้องโดนซักถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ ช่างน่าเบื่อแท้
นางตัดสินใจออกจากเมือง เตร็ดเตร่อยู่พักหนึ่งก็ถึงริมอ่างเก็บน้ำ
วิ่งออกมาตั้งไกล หันไปมองด้านหลังเป็นระยะ ๆ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน จะว่าไปก็ชักจะเหนื่อย จึงนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ข้างอ่างเก็บน้ำ
ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่หนาวที่สุด ต้นหลิวริมน้ำจึงยังไม่แตกหน่อ มีแต่สายลมเย็นพัดปะทะใบหน้า
น้ำแข็งบนผืนน้ำละลายเพียงไม่กี่วันก็มีพืชน้ำผุดออกมาแล้ว อ่างเก็บน้ำนี้น่าจะมีคนเลี้ยงปลาไว้ ในฤดูนี้คงปล่อยลูกปลาหลายร้อยตัวลงไป พวกมันจึงแหวกว่ายไปมาอยู่ในน้ำให้เห็น
เหยียนอี้กำลังอารมณ์ไม่ดี มองเห็นปลาแหวกว่ายอย่างมีความสุขก็รู้สึกไม่พอใจ จึงคว้าขี้ดินมากำหนึ่ง ปาลงไปในแม่น้ำอย่างสุดกำลัง
ลูกปลาพวกนั้นล้วนโง่เง่า คงนึกว่าชาวประมงมาให้อาหารจึงกระโดดขึ้นมาบนน้ำทีละตัว เมื่อพบว่าพวกนี้เป็นดินก็กลับลงไปด้วยความผิดหวัง
เหยียนอี้เห็นพวกมันถูกหลอกจึงปัดเศษดินออกจากมือแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ปลาพวกนี้หาเรื่องให้เจ้าหรือ ถึงได้มาระบายโทสะใส่พวกมัน?” หลี่หรงอวี่ตรัสพลางอ้อมออกมาจากด้านหลังต้นหลิว
เขายืนเอามือไพล่หลัง บนร่างสวมเสื้อคลุมและสวมกวานหยก สายลมพัดผ่านผิวหน้า คิ้วเขาเฉียงดุจดั่งกระบี่ ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว รอยยิ้มเปี่ยมไปทั่วใบหน้า พินิจแล้วช่างเป็นองค์ชายที่มีใบหน้าสง่างามอย่างยิ่ง
เหยียนอี้นึกขึ้นได้ว่า ไม่รู้ว่าสตรีคนใดในวังหลวงพูดไว้ว่า ถ้าหากจะหาบุรุษ ต้องหาคนที่ดูดีไว้ เพราะว่าเวลาโกรธ เมื่อได้มองใบหน้าที่ดูดี ความโกรธก็จะหายไป แต่ถ้าได้มองใบหน้าคนขี้เหร่ก็จะยิ่งโกรธมากขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ดังนั้นความโกรธของเหยียนอี้ที่ได้เห็นใบหน้านี้จึงหายไปเพียงเล็กน้อย แต่แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลี่หรงอวี่เดินมาตรงหน้า นำช่อดอกไม้ออกมาจากด้านหลังราวกับแสดงมายากล ดอกไม้นั้นยังไม่บานเต็มที่ เป็นเพียงแค่ดอกไม้ที่กำลังตูมเปล่งประกายระยิบระยับ ใบของดอกมีมากกว่าดอกตูมนั้นมากและไม่ได้เป็นดอกไม้ที่หายากแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ดอกไม้ป่าบางชนิดที่อยู่บนภูเขา
เพียงแต่ว่าอากาศในตอนนี้ยังคงหนาวอยู่ แม้แต่ต้นหลิวยังไม่แตกหน่อ แล้วเขาไปหาดอกไม้ที่กำลังตูมมากมายพวกนี้มาจากที่ใด?
บุรุษมอบดอกไม้ให้ สตรีใดเล่าจะไม่มีความสุข ความโกรธของเหยียนอี้จึงหายไปอีกส่วนหนึ่ง
นางมองมือของหลี่หรงอวี่ ฝ่ามือเขาสกปรกมาก มีเศษดินติดอยู่มากมาย บนปลายชายเสื้อก็มีฝุ่นละอองติดไม่น้อย ไม่รู้ว่าเขาไปปีนเด็ดดอกไม้จากที่ใด
เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนม “ดูความสกปรกของท่านสิ หัวหน้าโจรป่าชุ่ยเวยข้าง ๆ นี่ยังดูดีกว่าเสียอีก ”
หลี่หรงอวี่กลับหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้าเป็นหัวหน้าโจรป่าให้เจ้าได้ ถ้าเจ้าพอใจ”
เหยียนอี้ส่ายหัว คว้าเศษดินขึ้นมาอีกกำแล้วปาไกล ๆ ลงไปในแม่น้ำ ปากก็พูดว่า “ฝ่าบาททรงมาทำอะไรที่นี่เพคะ?”
หลี่หรงอวี่เดินไปหานาง นั่งลงบนหินก้อนโตเช่นกัน “วันนี้คนรักของข้าอารมณ์ไม่ดี ยังไม่ได้อธิบายอะไรก็วิ่งมาเข้าในชานเมืองกว้างนี่แล้ว ข้ามาตามหาเพื่อพานางกลับไป ไม่รู้ว่าแม่นางเห็นนางหรือไม่? ”
เหยียนอี้พ่นลมออกจากจมูกเบา ๆ “ สถานที่นี้ไม่มีผู้ใด ข้าไม่เห็น ”
หลี่หรงอวี่ตรัสด้วยรอยยิ้ม “น่าเสียดาย ข้าออกจากประตูมาไม่เคยกลับเข้าไปมือเปล่า ในเมื่อที่นี่มีแม่นางเพียงแค่คนเดียว จึงต้องขอให้เจ้าต้องกลับไปพร้อมกับข้าแล้ว ”
สิ่งที่เขาพูดนั้นดูขี้เล่นมาก เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่ว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่ นางก็ตีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ “ข้าไม่รู้ว่ากลางวันแสก ๆ เช่นนี้ ฝ่าบาทจะยังทรงใช้กำลังปล้นชิงหญิงสาวอยู่อีก?”
จู่ ๆ หลี่หรงอวี่ก็เอื้อมมือออกมาโอบเอวนางไว้ จงใจเปล่งเสียงออกมาให้ดูเกรี้ยวกราด “แม่นางอย่าเข้าใจคนผิดไป ข้าไม่ใช่คนของตำหนักบูรพารัชทายาท แต่เป็นหัวหน้าโจรป่าที่ปล้นชิงสตรีจากตระกูลใหญ่!”
เขาโอบเหยียนอี้โอบไว้ ไม่ได้แน่นเกินไปมากนัก จากนั้นก็ใช้นิ้วมือทั้งสองข้างเกาเบา ๆ ที่เอวของนาง
เหยียนอี้รู้สึกจั๊กจี้ คราวนี้ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป นางหัวเราะคิกคักออกมาเอนตัวไปด้านข้าง
“นักปราชญ์ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า มีแต่สตรีและคนถ่อยที่เข้าด้วยได้ยาก แต่เหยียนอี้ของข้าเกลี้ยกล่อมง่ายมาก เห็นได้ว่าคำพูดของนักปราชญ์มิอาจเชื่อถือได้ทั้งหมด” หลี่หรงอวี่เห็นนางยิ้มก็รู้สึกสบายใจ
เหยียนอี้เลิกคิ้วขึ้น “นักปราชญ์ขงจื๊อจะผิดได้อย่างไร? เดิมทีข้าก็เข้าด้วยได้ยากมากอยู่แล้ว”
หลี่หรงอวี่กลัวว่าเหยียนอี้จะกระแทกก้อนหินเข้าอีก จึงรีบคว้าแขนนางมาไว้ในอ้อมอก ตรัสด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “แม่นางรีบกลับไปพร้อมกับข้าเถอะ ไปเป็นภรรยาของข้าดีหรือไม่? ”
เหยียนอี้ลูบผมตัวเอง “ข้าไม่กลับไป ข้ายังไม่หายโกรธ”
หลี่หรงอวี่ปรับท่านั่งให้ตรงขึ้นแล้วตรัสต่อ “ได้สิ เช่นนั้นข้าก็จะรอเจ้าหายโกรธก่อน แล้วพวกเราค่อยกลับกัน ”
เหยียนอี้จ้องมองเขา “หากท่านยังอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางที่ข้าจะหายโกรธ”
หลี่หรงอวี่เอียงศรีษะ แสร้งทำท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก “งั้นเอาเช่นนี้ หลังจากกลับไปแล้วข้าจะรีบหารถม้าพาลั่วอิ๋งส่งกลับไปที่เมืองหลวง พอพวกเรากลับวังแล้ว หากเจ้าไม่ชอบเห็นนางอยู่ที่ตำหนักบูรพา ข้าก็จะรีบพานางไปอยู่ที่จวงซือเจ้าว่าดีหรือไม่? ”
เหยียนอี้ได้ยินเช่นนี้ก็อยากจะทุบตีเขา “องค์รัชทายาท ท่านคิดว่าข้าเป็นคนใจแคบเช่นนั้นรึ? พี่สาวลั่วอิ๋งบาดเจ็บก็เพราะช่วยท่าน ตอนนี้อาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดี ท่านอยากไล่นางไปเพราะข้าอีกหรือ”
“ท่านต้องการ… ท่านต้องการให้คนอื่นมองข้าเช่นไร? ท่านอยากให้พวกเขาบอกว่าข้า… บอกว่าข้าไม่รู้จักบุญคุณ บอกว่าข้าอกตัญญูเป็นคนถ่อยเช่นนั้นรึ?
หลี่หรงอวี่เห็นท่าทางเหยียนอี้เป็นเช่นนี้กลับยิ้มออกมา “นั่นก็ยากสำหรับข้าเช่นกัน ข้าดีกับสตรีเจ้าก็โกรธหึงหวง ข้าไม่ดีกับสตรีเจ้าก็กลับยิ่งโกรธ ข้าควรจะทำเช่นไรเล่า? ”
“ข้า…. ข้าไม่ได้โกรธ ไม่ได้หึงหวง! ท่าน….หลี่หรงอวี่ ในใจท่านเห็นข้าเป็นเช่นนี้หรือ?” เหยียนอี้โมโหจนเรียกชื่อเขาตรง ๆ ออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
หลี่หรงอวี่เห็นนางโกรธมากจริง ๆ ก็หยุดแกล้งนางและเกลี้ยกล่อมอย่างรวดเร็ว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น ข้าแค่แกล้งเจ้าเล่น อย่าโกรธได้หรือไม่? ”
เหยียนอี้เกือบจะร้องไห้ออกมา “ไม่ใช่ว่าท่านรู้สึกว่าข้างี่เง่าหรอกหรือ?”
หลี่หรงอวี่จูบแก้มนาง “ข้าชอบเจ้าที่งี่เง่า เจ้ายิ่งงี่เง่าข้าก็ยิ่งชอบเจ้า ถ้าเจ้าไม่โกรธไม่หึงข้า นั่นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แล้ว ”
เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะทุบหน้าอกเขา “ท่านชอบนักหรือที่เห็นข้าเป็นเช่นนั้น?”
หลี่หรงอวี่จับมือของนางไว้ จากนั้นก็ยิ้มแล้วตรัสว่า “ลั่วอิ๋งบาดเจ็บและโดนทำร้ายเพราะข้า ข้าไม่อาจเพิกเฉยได้ แต่ข้ามัวแต่ดูแลนางจนลืมนึกถึงเจ้า ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าต่อยข้าสองครั้งดีหรือไม่ จะได้ระบายความโกรธ? ”
เขาเป็นถึงรัชทายาทแห่งราชวงศ์ ยอมเกลี้ยกล่อมนางอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ ในใจจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไรเล่า? “อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้โกรธ ไม่ได้โกรธพี่สาวลั่วอิ๋งด้วย ข้า… ข้าแค่โกรธตัวเอง!”
หลี่หรงอวี่ยิ้ม “เจ้าทำเรื่องอะไรผิด เหตุใดถึงต้องโกรธตัวเองเล่า?”
“โกรธที่วันนั้นคนที่เข้าไปขวางท่านไม่ใช่ข้า ข้าโกรธตัวเองที่ทุกครั้งที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับข้า ข้าต้องให้ท่านมาช่วย ข้าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย” เหยียนอี้ถอนหายใจ
หลี่หรงอวี่ลูบหัวนาง “ไม่ได้ ข้าเป็นบุรุษ เกิดมาข้าก็ควรจะปกป้องเจ้า ถ้าเจ้ารับดาบแทนข้า เช่นนั้นข้าจะต้องโกรธตัวเองแน่”
“แต่ว่าพี่สาวลั่วอิ๋งคอยปกป้องท่านตลอด ไม่เหมือนกับข้าที่ไร้ประโยชน์” เหยียนอี้กล่าว
หลี่หรงอวี่บอกนาง “บนโลกนี้นั้นทุกคนต่างก็มีหน้าที่ต้องทำ นอกจากลั่วอิ๋งจะเป็นเพื่อนกับพวกเราแล้วก็ยังเป็นสาวใช้ของตำหนักบูรพา ข้าคือเจ้านายของนาง เวลามีสถานการณ์คับขัน นางปกป้องข้าน่ะถูกแล้ว นอกจากไมตรีแล้ว นางก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ”
“แต่ว่าเจ้านั้นไม่เหมือนกัน หน้าที่ของเจ้าก็คือต้องอยู่เคียงข้างข้าไปทุก ๆ วัน ไม่อนุญาตให้บาดเจ็บ ไม่อนุญาตให้เจ็บป่วย อนุญาตให้โกรธได้แต่ไม่อนุญาตให้วิ่งหนี และไม่อนุญาตให้ข้าไม่ตามหาเจ้า”
เหยียนอี้ขบขันกับคำพูดของเขา “อนุญาตให้โกรธได้หรือ?”
“อืม ข้าชอบเห็นเจ้าโกรธ” เขาบีบหน้านางแล้วพูดว่า “เจ้าอาจจะไม่รู้ตัว เจ้าโกรธเช่นนี้น่ารักมาก”
ไม่ไกลกันนั้นก็มีเสียงเกวียนดังกึกกัก เกวียนวัวสองเล่มนั้นแล่นผ่านไปตามบนถนนลูกรังด้านหลังของพวกเขาสองคน
คนขับเกวียนผู้นั้นเป็นพ่อเลี้ยงของเหยียนอี้ซึ่งก็คือหลิวจู เขามองเห็นเหยียนอี้กับหลี่หรงอวี่ก่อนแล้ว เห็นทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด ในใจรู้ทันไม่กล้ารบกวน เขาจึงรีบขับเกวียนวัวผ่านไปให้ไว ๆ
ใครจะคิดว่าเหยียนอี้จะหันหน้ามาพอดี เห็นเขาแล้วยังทักทายขึ้นมาอีก “พ่อ เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
หลิวจูหยุดเกวียนวัวแล้วตอบกลับว่า “ค้าขาย!”
เดิมทีหลิวจูทำกิจการเล็ก ๆ เกี่ยวกับการขายผักและผลไม้ และเป็นเพราะว่าเหยียนอี้ เขาจึงได้รับรายการสั่งซื้อวัตุดิบจำนวนมากจากพ่อครัวภัตตาคารกุ้ยซาน ในช่วงไม่กี่ปีมานี้กิจการก็ดำเนินไปอย่างมีชีวิตชีวามาก
เพียงแต่ภัตตาคารกุ้ยซานได้รับความวุ่นวายจากพวกมือสังหารเช่นนี้ จำต้องพักกิจการไปอีกสองสามวัน แต่กิจการของหลิวจูไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเดิมทีเขาต้องส่งผักพวกนี้ให้แก่ภัตตาคารกุ้ยซาน จึงทำได้เพียงไปที่เมืองข้าง ๆ แล้วขายผักพวกนี้ในราคาถูกให้แก่ร้านอาหารอื่น
เขาพูดกับเหยียนอี้ว่า “แม่ของเจ้าได้ยินว่าภัตตาคารกุ้ยซานเกิดความวุ่นวายก็ตกใจจนนอนไม่หลับ ถ้าหากว่าเจ้าว่างแล้วก็ให้รีบกลับไป นางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”