ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 194 ความโกรธที่ไร้เหตุผลคือความน้อยใจอย่างที่สุด
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 194 ความโกรธที่ไร้เหตุผลคือความน้อยใจอย่างที่สุด
บทที่ 194 ความโกรธที่ไร้เหตุผลคือความน้อยใจอย่างที่สุด
ตามความเป็นจริงแล้ว ลั่วอิ๋งกล่าวเรียกชื่อเหยียนอี้นั้นก็ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรเสียในวังหลวงแห่งนี้พวกนางทั้งสองก็เป็นเพียงข้ารับใช้ในวัง นับตั้งแต่ที่ถูกลดขั้นเข้าไปในกรมแรงงานทาสจนถึงตอนนี้ตำแหน่งสาวใช้ห้องเครื่องของเหยียนอี้ก็ถูกปลดออก
แม้ว่าลั่วอิ๋งนั้นก็เข้าไปในกรมแรงงานทาสด้วย แต่ภายหลังกลับได้ตำแหน่งคืนมาเช่นเดิม ถ้าจะคิดเล็กคิดน้อยแล้ว ตำแหน่งของลั่วอิ๋งนั้นก็สูงกว่าเหยียนอี้ไม่รู้กี่เท่า เหยียนอี้ยังต้องปฏิบัติตามกฎ เรียกนางว่า ‘ท่านหญิงลั่ว’ อีกด้วย
หลี่หรงอวี่เห็นเหยียนอี้ดูเหมือนไม่ค่อยมีความสุขจึงจงใจยิ้มให้นาง “ข้าก็หิวพอดี มิรู้ว่าน้ำแกงไก่สมุนไพรถ้วยนี้ข้าจะได้ลิ้มรสหรือไม่” ขณะที่เอ่ยเขาก็เอานิ้วชี้ที่ปากตัวเอง
ถ้าหากกล่าวว่าความไม่พอใจของเหยียนอี้ที่มีต่อลั่วอิ๋งนั้นมีค่าสามคะแนน เช่นนั้นสำหรับหลี่หรงอวี่แล้วก็คือสามสิบคะแนน ดังนั้นนางยินยอมมอบน้ำแกงให้ลั่วอิ๋งได้เบิกบานใจ ส่วนหลี่หรงอวี่น่ะช่างเขาเถอะ
นางกล่าวว่า “พระโอษฐ์ของฝ่าบาทมีค่าดุจทองคำ โสมป่าและหน่อไม้แห้งในน้ำแกงไก่สมุนไพรชามนี้มิได้ปฏิบัติตามกฎของห้องเครื่อง ที่ต้องนึ่งสามครั้งและผึ่งแดดสามครั้ง น้ำแกงไก่ก็มิได้นำน้ำแปดถ้วยมาเคี่ยวให้เหลือถ้วยเดียว น่าเสียดายที่น้ำแกงเคี่ยวเพียงเจ็ดถ้วย เกรงว่าจะไม่ถูกพระโอษฐ์ที่สูงส่งของฝ่าบาทเพคะ”
เดิมทีหลี่หรงอวี่อยากให้เหยียนอี้หัวเราะ แต่กลับกลายเป็นว่าตนเป็นฝ่ายกระดากอายเสียเอง เขาจึงยิ้มแล้วตอบไปว่า “ในเมื่อมีเพียงเจ็ดถ้วย เมื่อครู่ทำหกไปแล้วหนึ่งถ้วยก็ยังเหลืออีกหกถ้วย แบ่งเท่ากันให้ข้าสักถ้วยก็พอดีแล้วไม่ใช่หรือ?”
เหยียนอี้คว้าช้อนน้ำแกงไว้แล้วกล่าวว่า “วันแรกที่หม่อมฉันเข้าห้องเครื่องก็ถูกกำชับไว้แล้วว่าจงระวังเรื่องพระกระยาหารที่ฝ่าบาททรงเสวย ในชนบทแห่งนี้ไม่มีเข็มเงินใช้ตรวจสอบพิษธารน้ำของหมู่บ้าน ฝ่าบาทเองก็มิได้นำขันทีทดสอบพระกระยาหารออกมาด้วย”
“ถ้าหากเสวยพระกระยาหารนี้เข้าไปแล้วมีปัญหาเกิดขึ้น เช่นนั้นชีวิตนับสิบกว่าชีวิตที่ภัตตาคารกุ้ยซานจะเป็นเช่นไร? มิเช่นนั้นฝ่าบาททรงเสด็จกลับวังไปเสวยพระกระยาหารเถอะเพคะ”
คำพูดนี้นางกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ ระยะทางจากเมืองอวิ๋นเจี้ยนไปถึงเมืองหลวงนั้นใช้เวลาตั้งกี่วัน ระหว่างนั้นจะไม่ให้รัชทายาทได้เสวยพระกระยาหารเลยหรือ?
ตอนนางกล่าวคำพูดนี้ออกมา หลี่หรงอวี่กับลั่วอิ๋งก็พากันหัวเราะ ลั่วอิ๋งหัวเราะก็ยิ่งกระทบกระเทือนบาดแผลจึงร้อง ‘โอ๊ย โอ๊ย’ ออกมา
หลี่หรงอวี่รีบเข้าไปอุดบาดแผลที่ท้องของลั่วอิ๋งเผื่อว่าความเจ็บปวดของนางจะทุเลาลง
แต่เหยียนอี้เห็นหลี่หรงอวี่ทำเช่นนี้ก็นึกว่าเขาไม่คำนึกถึงความรู้สึกนาง เห็นเขาเอามือกดเข้าที่ข้างท้องของสตรีเช่นนี้แล้วนางก็ยิ่งโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล นางเอาช้อนคันนั้นกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง ไม่เอ่ยคำใดแล้วเดินออกไป
ความโกรธของนางนั้นหลี่หรงอวี่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หลังจากที่รีบร้อนออกมาแล้วก็ยังรู้สึกเสียใจไม่หยุด
เดิมทีลั่วอิ๋งก็เป็นคนสนิทที่อยู่ข้างกายเขา พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันนานกว่าเหยียนอี้กับหลี่หรงอวี่รู้จักกันตั้งไม่รู้กี่สิบเท่า ถ้าหากทั้งสองคนมีความรักเช่นบุรุษสตรีต่อกันจริง ๆ ไฉนเลยจะยังมาหยอกล้อเหยียนอี้ที่เป็นเพียงคนนอกได้?
ยิ่งไปกว่านั้นอาการบาดเจ็บของลั่วอิ๋งก็เป็นเพราะปกป้องหลี่หรงอวี่ถึงขนาดเกือบเสี่ยงชีวิต หลี่หรงอวี่เอาใจใส่นางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ก็นับว่าสมควรมาก
นางควรจะใจกว้างขอบคุณลั่วอิ๋งที่ช่วยชีวิตคนรักของตัวเองไว้แทนที่จะโกรธอย่างไร้เหตุผล ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ลั่วอิ๋งก็เคยช่วยเหลือนางตั้งมากมาย ตัวนางเองนั้นก็ชื่นชมลั่วอิ๋งมาก จะยอมเสียหน้าเพียงเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบนี้ได้อย่างไร?
แต่ว่า… แต่ว่า… ไม่ว่าจะคิดถึงเหตุผลพวกนี้มามากมายเพียงใด สถานการณ์ในตอนนี้กลับเหลือทนอย่างยิ่ง
ถ้าหากสามารถอดทนได้ก็ไม่ได้เรียกว่าชอบแล้ว การชอบใครสักคนนั้น เดิมทีก็ควรมีความเกรงใจกันไม่ใช่หรอกหรือ?
หลี่หรงอวี่นั้นฉลาดอย่างยิ่ง เขาเคยโม้โอ้อวดว่าเขาล่วงรู้เรื่องในใจของเหยียนอี้ แต่กระทั่งจนถึงตอนนี้ สมองของเขากลับทึมทื่อ
เขาอยากจะตามนางออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่านางโกรธเขาเรื่องอะไร อีกทั้งยังกลัวว่าจะเหยียบทุ่นระเบิดเข้าจึงไม่ได้ตามออกไป ท่าทางเหยียนอี้เมื่อครู่นี้จะต้องเกลี้ยกล่อมให้ดี ๆ มากกว่า
ในสนามรบนั้นเขาไม่เคยเกรงกลัวศัตรูนับพันนับหมื่น แต่ตอนนี้เพื่อต้องการปลอบโยนสตรีในดวงใจที่ตนเองรักแล้ว กลับตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียอย่างนั้น
กลับเป็นลั่วอิ๋งที่เข้าใจอยู่ในมุมของผู้ชมเหตุการณ์ นางเอ่ยถามหลี่หรงอวี่ว่า “ฝ่าบาท ท่านไม่ทราบจริง ๆ หรือว่าเหยียนอี้โกรธเรื่องอะไร?”
หลี่หรงอวี่ลูบศีรษะตนเองไปมาอย่างครุ่นคิดแล้วตรัสว่า “สองสามวันที่ผ่านมานี้ท่าทางนางดูไม่ค่อยพอใจ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้นางมักจะยิ้มแย้มมีความสุข ถึงแม้ว่าข้าจะรู้สึกว่านางไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจจริงก็ตาม แต่ว่าสองสามวันนี้ข้าก็ไม่ได้ทำเรื่องใดที่ทำให้นางไม่พอใจ”
หลี่หรงอวี่ส่ายหัวไปมา ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ “หรือว่าเป็นเพราะวันนั้นข้าไปขอหมั้นต่อบิดามารดานางอย่างบุ่มบ่ามเกินไป นางจึงยังเคืองใจอยู่?”
ลั่วอิ๋งไม่รู้เรื่องที่ขอหมั้น จึงพูดได้เพียงแค่ “แม่นางเหยียนอี้ชอบฝ่าบาทด้วยใจจริง ฝ่าบาทสู่ขอนางเช่นนี้ แม้ว่านางจะปฏิเสธไม่ยอมรับ แต่ในใจนั้นจะต้องดีใจอย่างมากแน่ แล้วนางจะโกรธได้เช่นไรเล่าเพคะ?”
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้าเถิด เหตุใดนางถึงไม่มีความสุขเล่า?” หลี่หรงอวี่ถาม
ลั่วอิ๋งหัวเราะ “ฝ่าบาท สองสามวันที่ผ่านมานี้ ท่านเห็นรุ่ยชินหวังก่อกวนเหยียนอี้แล้วท่านมีความสุขหรือไม่?”
หลี่หรงอวี่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตัวเองก็รู้สึกแย่ไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าปากของเหยียนอี้จะเอ่ยว่าเกลียดชังจี้ชิงเฟิง แต่ว่าทุก ๆ ครั้งที่โต้เถียง นางก็ดูมีความสุขแบบโกรธ ๆ นางไม่เคยทำท่าทางเช่นนั้นต่อหน้าเขาเลย เห็นแล้วไม่มีความสุขอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ความเกลียดชังของเหยียนอี้ที่มีต่อจี้ชิงเฟิงนั้นได้เขียนลงบนใบหน้านางไว้อย่างชัดเจน แม้ว่าตัวเขาจะไม่พอใจเพียงใดก็ได้แต่อดทนเท่านั้น
ลั่วอิ๋งชี้ทางให้เขา “ฝ่าบาทเห็นเหยียนอี้เข้าใกล้บุรุษที่นางไม่ชอบก็ยังกลัดกลุ้มพระทัย แต่ว่าสองวันมานี้ฝ่าบาทกลับมาอยู่กับหม่อมฉัน เหยียนอี้เห็นแล้วในใจนางจะยังสบายใจอยู่อีกหรือ? ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันดีกว่าที่เหยียนอี้ปฏิบัติต่อรุ่ยชินหวังมากกว่าตั้งหลายเท่ามิใช่หรือ?”
นางกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น หม่อมฉันบาดเจ็บเช่นนี้เป็นเพราะฝ่าบาท ในมุมมองของฝ่าบาท หม่อมฉันภักดีต่อเจ้านาย แต่ว่าในมุมมองของเหยียนอี้ที่เห็นนั้น เกรงว่านางคงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนอนบนเตียงนี้จะเป็นตัวของนางเอง”
ทันใดนั้นหลี่หรงอวี่ก็ตระหนักได้และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้าหมายถึง…. เจ้าหมายถึง….”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว นางกำลังหึง ที่แท้นางกำลังหึงอยู่!
หลี่หรงอวี่ดีอกดีใจจนกระโดดสูงเกือบสามฉื่อ สาวน้อยผู้นี้ ในที่สุดก็มีวันที่นางหึงหวง!
หลี่หรงอวี่มีความสุขมากจนมือทั้งสองข้างอยู่ไม่นิ่ง เขาตรัสกับลั่วอิ๋งว่า “ความสามารถในการมองและเข้าใจจิตใจผู้คนนั้นข้าด้อยกว่าเจ้ามาก! ”
ลั่วอิ๋งยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เป็นเพราะหม่อมฉันกับเหยียนอี้ล้วนเป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้นหม่อมฉันจึงพอจะเข้าใจความคิดนางเพคะ”
หลี่หรงอวี่อดไม่ได้ที่จะตบไหล่ลั่วอิ๋งอย่างแรงและชื่นชมว่า “ลั่งอิ๋ง เจ้าเป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของข้าจริง ๆ!”
แรงใต้ฝ่ามือเขานั้นเยอะเกินไปจริง ๆ อีกทั้งบนตัวลั่วอิ๋งยังได้รับบาดเจ็บ เมื่อฝ่ามือนี้ของเขาตบลงไป ลั่วอิ๋งก็หน้าซีดทันที และเกือบจะตกจากเตียงนอนลงไปด้านล่าง หลี่หรงอวี่รีบไปประคองนางไว้และถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ใครเล่าจะรู้ว่าฉากนี้จะทำให้เหยียนอี้ที่กลับมาเพื่อขอโทษลั่วอิ๋งเห็นเข้าพอดี!
เหยียนอี้ยืนอยู่ตรงประตูด้วยหัวใจเดือดพล่าน จะเข้าก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ถูก
ลั่วอิ๋งนั่งพิงไปทางประตูพอดีจึงมองเห็นนาง “เหยียนอี้?”
หลี่หรงอวี่หันหน้ามา รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหายไป
ในใจของเหยียนอี้เหมือนมีมดนับหมื่นรุมกัดทึ้ง จะร้องไห้ออกมาก็ไม่ได้ นางกลับมาเห็นหลี่หรงอวี่กับลั่วอิ๋งอยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่รับรู้ถึงความโกรธของนาง แต่ว่าทั้งสองยังอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด หัวเราะกันสนิทสนมเช่นนี้อีก นี่จะให้นางอดทนได้อย่างไร?
นางเข้าประตูมา มองไปรอบ ๆ จากนั้นก็หยิบช้อนบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ข้าจะทำอาหาร แต่ช้อนมีน้อย ข้าเอาอันนี้ไปก่อน เจ้าใช้ช้อนเล็กนั่นตักน้ำแกงดื่มแล้วกัน”
นางแสร้งวางท่าทำเป็นสงบนิ่ง หยิบช้อนมาแล้วหันหน้าหนีไป ทันทีที่เดินออกจากประตูก็นึกอยากจะเตะราวบันไดให้แหลกออกเป็นชิ้น ๆ
หลี่หรงอวี่อยู่ในห้อง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศเย็น แต่กลับรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุที่แผดเผามาจากตัวเหยียนอี้ ลั่วอิ๋งส่งสายตาให้เขาอย่างรวดเร็วเพื่อให้เขารีบ ๆ ออกไปง้อคน
เหยียนอี้วิ่งจากชั้นสี่ไปชั้นหนึ่งด้วยความโกรธ นางชนเข้ากับคนสองคนระหว่างทาง
วันนี้ภัตตาคารกุ้ยซานไม่ได้เปิดกิจการ แม้ว่าประตูจะปิดอยู่ แต่เหยียนอี้ใช้แรงอย่างมากในการเปิดประตู ด้วยความโกรธที่กำลังกระพือลุกในตอนนี้ทำให้นางลืมดึงสลักประตูออกมา ประตูนั้นจึงไม่สามารถเปิดออกได้
นางโมโหมากจนเตะประตูอย่างแรง หลี่หรงอวี่จึงตรงเข้ามากอดนางจากทางด้านหลัง เขาหัวเราะเบา ๆ ปากก็เอ่ยว่า “ถ้าเจ้าโมโหข้า เหตุใดถึงมาระบายโทสะใส่ประตูเช่นนี้เล่า?”
เหยียนอี้หันหน้าไป เมื่อเห็นว่าเป็นหลี่หรงอวี่ก็ยิ่งโมโหมากขึ้น
อีกทั้งยังเป็นเพราะว่านางเองก็รู้ว่าตัวเองนั้นทำตัวไร้เหตุผล ความโกรธที่ไร้เหตุผลคือความน้อยใจอย่างที่สุด ลั่วอิ๋งบาดเจ็บเพราะช่วยเหลือผู้อื่น แต่ตัวเองกลับจิตใจคับแคบมาคิดเล็กคิดน้อยอยู่ที่นี่ เหยียนอี้จึงรู้สึกโกรธมากขึ้นกว่าเดิม
หลี่หรงอวี่กอดนางไว้ในอ้อมแขน หมุนกายของนางมาเผชิญหน้าแล้วจูบริมฝีปากของนางเบา ๆ
การกระทำที่หลี่หรงอวี่ทำนั้นบุ่มบ่ามอย่างยิ่ง เหยียนอี้ที่กำลังโกรธอยู่จึงกัดริมฝีปากลงไปอย่างแรง
หลี่หรงอวี่ส่งสียงอู้อี้ รับรู้ได้ถึงความหวานคาวคลุ้งในปาก แต่กลับไม่ยอมถอนริมฝีปากออก อีกทั้งยังพยายามที่จะสอดลิ้นเข้าไป
เหยียนอี้สะบัดหัวออก แต่ด้วยแรงที่มากเกินไปหัวจึงกระแทกเข้าที่ประตูอย่างแรง เดิมทีนางคิดว่าตัวเองจะต้องตาลายเพราะหัวกระแทกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าด้านหลังศีรษะของเธอจะกระแทกเข้ากับบางสิ่งที่นุ่มนิ่ม นางจึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด
หลี่หรงอวี่กลับสูดปากด้วยความเจ็บ เหยียนอี้ถึงเพิ่งเข้าใจว่าเขาใช้ฝ่ามือปกป้องศีรษะของนางไว้
เพียงแต่เมื่อกระแทกลงไปเช่นนี้ หากเป็นศีรษะก็ยังต้องเจ็บไปตั้งหลายวัน แต่มือนั้นจะไม่เจ็บยิ่งกว่าหรือ?
เหยียนอี้รู้สึกใจอ่อน ความโกรธในใจก็ลดหายไปเกือบครึ่ง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเขากำลังยิ้มแย้มก็พาลให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอยู่ในห้องลั่วอิ๋งขึ้นมา พวกเขาทั้งสองก็ยิ้มแย้มให้กันเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งโมโหอยู่ดี
นางผลักหลี่หรงอวี่ออกแล้วพูดขึ้นว่า “ปล่อยข้า ข้าจะกลับบ้าน”
หลี่หรงอวี่ที่กอดนางไว้เอื้อมมือไปเปิดประตู มันเปิดออกอย่างง่ายดายแค่เพียงสลัดปลายนิ้วเบา ๆ เท่านั้น
เขาตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ ข้าจะส่งเจ้ากลับ”
เหยียนอี้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองโมโห ก่อนหน้านี้ใช้แรงเปิดประตูอยู่เป็นเวลานานแต่ประตูกลับไม่เปิดออก เช่นนั้นหลี่หรงอวี่จะต้องเห็นท่าทางโกรธแล้วพาลไว้หมดแล้วเป็นแน่ ตอนนี้เขายังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า เมื่อครู่จะต้องหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของนางอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ ไฟที่ลุกโหมในใจนางก็ลุกโหมมากขึ้นเรื่อย ๆ ลั่วอิ๋งเป็นลูกหลานของกงชู สามารถถอดสลักกุญแจที่มีความปราณีตงดงามออกมาได้ แต่นางกลับเป็นเพียงแค่คนโง่เขลาที่แม้ประทั่งประตูยังเปิดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าตัวนางนั้นด้อยกว่าทุกอย่าง
ลั่วอิ๋งดีมากเช่นนี้และตัวนางเองก็แย่เช่นนี้ เพราะเหตุใดรัชทายาทถึงไม่ชอบลั่วอิ๋งแต่กลับมาชอบนาง?
ยิ่งไปกว่านั้น…. ยิ่งไปกว่านั้น….