ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 192 วนบินสามรอบใต้พฤกษา ไร้คาคบให้พักพิง
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 192 วนบินสามรอบใต้พฤกษา ไร้คาคบให้พักพิง
บทที่ 192 วนบินสามรอบใต้พฤกษา ไร้คาคบให้พักพิง
เหยียนอี้ฟังเสียงจี้ชิงเฟิงร้องลั่นอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งทนฟังต่อไปไม่ได้ จึงยัดยาจินชวงเย่า*[1] ใส่มือของหลี่หรงอวี่ ให้ไปใส่ยาให้จี้เฟิงชิงที่อยู่ไกลออกไป
หลี่หรงอวี่คล้ายจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง เหยียนอี้จึงต้องปลอบเขา “ถ้าเขาร้องโอดโอยอยู่แบบนี้ จะดึงดูดนักฆ่าตามมาในไม่ช้า ท่านก็ให้ยาปิดปากเขาไปเสียเถอะ”
จี้ชิงเฟิงพอรู้ว่าแผนที่จะให้เหยียนอี้ช่วยใส่ยาไม่สำเร็จจึงร้องตะโกน ถึงแม้ว่าบาดแผลบนร่างกายเขาจะไม่ลึก แต่พอได้มาสี่หาแผลก็นับว่าปวดแปลบอยู่บ้าง ถ้าหากเลือดไม่หยุดไหล ในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า เกรงว่าชีวิตเขาจะเป็นราคาที่ต้องจ่ายออกไปในคืนนี้ ชายหนุ่มจึงได้แต่ก้มหน้ารับ ยอมให้หลี่หรงอวี่ใส่ยาและพันแผลให้แต่โดยดี
เหยียนอี้นึกขึ้นได้ว่าตนอยากรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอกจึงเอ่ยถามหลี่หรงอวี่ “เอ้อหล่าง ท่านออกไปนานขนาดนี้ เจอเรื่องอะไรมาหรือ”
หลี่หรงอวี่ตรัส “เมื่อครู่มีกลุ่มนักฆ่ามุ่งมาหาเรา ข้าเลยต้องวนอยู่รอบใหญ่ จะได้ล่อให้พวกมันออกไป”
ว่าแล้วเขาก็หยิบต่างหูข้างหนึ่งออกมาแล้วพูดกว่า “ข้าสังหารนักฆ่าไปสองคน บนร่างสองคนนั้นไม่มีร่องรอยอะไร ศิลปะการต่อสู้ก็ธรรมดา ไม่สามารถระบุตัวตนได้ สิ่งเดียวที่สวมอยู่บนร่างคือต่างหูอันนี้”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ต่างหู’ สีหน้าของจี้ชิงเฟิงก็เย็นเยียบ เขาอดทดต่อความเจ็บปวด คลานไปข้าง ๆ เหยียนอี้และหลี่หรงอวี่
หลี่หรงอวี่เปลี่ยนตำแหน่งกับเหยียนอี้อย่างเงียบ ๆ
เหยียนอี้ถือต่างหูชิ้นนั้นไว้ในมือ ใช้แสงจันทร์ส่องเพ่งพินิจ มองอย่างไรก็เป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไปตามท้องถนน ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเป็นพิเศษ ก็แค่…ต่างหู? หรือว่านักฆ่าจะเป็นผู้หญิงกันนะ?
“เป็นผู้ชาย” หลี่หรงอวี่เห็นถึงความสงสัยในใจของเหยียนอี้จึงตรัสออกมา
พูดแล้วเขาก็เบนสายตาไปจี้ชิงเฟิง
บุรุษอาณาจักรอวี๋ไม่นิยมการเจาะหู แต่อาณาจักรเหยียนได้รับอิทธิพลมาจากซีเซียงและโหรวหราน ชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยจึงเจาะหูและใส่ต่างหู
ดูท่าแล้ว กลุ่มนักฆ่าตัวปัญหาไม่ทราบที่มาจะเป็นคนของอาณาจักรเหยียนเสียแล้ว
จี้ชิงเฟิงรับต่างหูจากมือเหยียนอี้แล้วหมุนมันไปมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขบคิด
“ปรากฏว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้มารังควานพวกเจ้า แต่มาเพื่อสังหารข้า” จี้ชิงเฟิงหงุดหงิดเล็กน้อย เขาเขวี้ยงต่างหูข้างนั้นออกไปเสียไกล
“เหยียนอี้” จี้ชิงเฟิงจับมือเหยียนอี้อย่างขอโทษขอโพย “ที่แท้ข้าพลอยทำเจ้าติดร่างแหไปด้วยเสียแล้ว”
เหยียนอี้คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นสีหน้าเศร้าสลดของเขา ชายคนนี้มักจะมีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ บางครั้งก็ยังไร้ยางอาย ทั้งยังหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำเค็ญเพียงใด ก็สามารถที่จะรู้สึกสนุกสนานในความยากลำบากได้เสียทุกครั้ง
ลักษณะนิสัยเช่นนี้คงมีแต่ความคิดว่า คนทั้งโลกติดหนี้เขา แต่เขาไม่เคยติดหนี้ผู้ใด
ดังนั้น การที่เขาแสดงท่าทางขออภัยจากเหยียนอี้เช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกสับสน นางจึงพูดปลอบโยนเขา “เป็นคนของอาณาจักรเหยียนก็ไม่ได้รับประกันว่าจะพุ่งเป้ามาที่ท่านสักหน่อย อาณาจักรอวี๋และเหยียนมักจะขัดแย้งกันอยู่เป็นนิจ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจพุ่งเป้ามาที่องค์รัชทายาทก็เป็นได้”
พูดไปแล้ว นางก็อดคิดต่อไม่ได้
ในตอนนี้ทั้งสองอาณาจักรไม่ได้ทำสงครามกัน ทั้งช่วงนี้ยังเจริญสัมพันธ์ไมตรี เริ่มเปิดตลาดพรมแดนค้าชาและม้า การที่คนจากอาณาจักรเหยียนมาสังหารรัชทายาทแห่งอาณาจักรอวี๋ พวกเขาจะได้ผลประโยชน์อะไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น พวกคนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสนใจแก่องค์ชายผู้สำเร็จราชการแห่งอาณาจักรเหยียนอย่างจี้ชิงเฟิงแม้แต่น้อย บาดแผลทั้งหลายบนร่างกายของเขา เกรงว่าจะไม่เพียงพอที่จะจบชีวิตเขาอย่างรวดเร็ว
เหยียนอี้เหลือบมองหลี่หรงอวี่ เขาดูมีคำถามอยู่ในใจแล้ว
“เหตุใดคนของอาณาจักรเหยียนต้องมาลอบสังหารเจ้า”
จี้ชิงเฟิงตอบด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ถ้าข้ารู้เหตุผล ก็คงไม่ปล่อยให้พวกมันมาจองล้างจองผลาญง่าย ๆ หรอก จริงหรือไม่”
แต่ดูเหมือนหลี่หรงอวี่จะเข้าใจเรื่องราวได้มากกว่าจี้ชิงเฟิง “คนในอาณาจักรเจ้ารู้เรื่องที่เจ้ามาอาณาจักรอวี๋ของข้าเพื่อตามหาผังหยินหยางกี่คน”
จี้ชิงเฟิงชะงัก จากนั้นก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนตอบ “ข้ากลัวว่าข่าวจะถึงหูไทเฮาจึงไม่ได้บอกให้ใครสักคนรู้ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะพาคนใช้มาด้วยแล้ว”
หลี่หรงอวี่กล่าวต่อ “แต่สุดท้ายเจ้าก็อยู่ในอาณาจักรอวี๋นานเกินไป จนกระตุ้นให้ไทเฮาแห่งอาณาจักรเหยียนสงสัยใช่หรือไม่”
ไทเฮาองค์ปัจจุบันแห่งอาณาจักรเหยียนไม่ใช่มารดาที่แท้จริงขององค์ฮ่องเต้ แต่เป็นมารดาบุญธรรมขององค์ชายคนแรกอย่างจี้ชิงไป่ ตอนนั้นจี้ชิงเฟิงและจี้ชิงไป่ต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ จนในท้ายที่สุดต่างฝ่ายต่างก็ยอมถอย จี้ชิงซ่งที่อายุเพียงสิบสี่หนาวจึงได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา
ไทเฮาที่นั่งว่าราชการอยู่หลังม่าน ย่อมไม่เห็นด้วยกับผู้สำเร็จราชการอย่างจี้ชิงเฟิง สภาพนางดั่งโดนไฟลนมานานแล้ว
เพียงแต่ไทเฮาไร้ซึ่งบุตร ร่างกายของฮ่องเต้น้อยก็ไม่แข็งแรง จี้ชิงเฟิงที่เป็นพี่ชายคนเดียวที่เหลือรอดของฮ่องเต้น้อย แม้จะไม่มียศเป็นพระเชษฐา แต่ทั่วราชสำนักรวมไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ล้วนลงความเห็นว่าเขาคือฮ่องเต้องค์ต่อไป
ภายสถานการณ์เช่นนี้ ไทเฮาจะทนเห็นหน้าเขาได้อย่างไร
ในทำนองเดียวกัน จี้เฟิงชิงเองก็ไม่สามารถกล้ำกลืนฝืนทนกับไทเฮาได้
เพียงแต่ไทเฮาอยู่หลังม่านมานานหลายปี มีรากฐานมั่นคง ยากที่จะกำจัด เป็นเหตุผลที่จี้ชิงเฟิงรีบร้อนในการตามหาผังหยินหยาง เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่มีอยู่ในตำนานของโลกใบนี้ และกำจัดฝ่ายไทเฮาให้หมดสิ้น
เพียงแต่เขายังไม่ได้รับมันมา ทั้งยังไม่ได้เริ่มลงมือกับไทเฮา ก็ถูกกลุ่มนักฆ่าไล่ฆ่าก่อนเสียแล้ว
“กลุ่มนักฆ่าที่อาณาจักรเหยียนส่งมาในครั้งนี้อย่างต่ำก็มีสามร้อยคน” หลี่หรงอวี่มองไปที่จี้ชิงเฟิงพลางตรัสต่อ “นักรบเดนตายยอดฝีมือสามร้อยคนถือดาบเข้ามาในอาณาจักรอวี๋ของข้า ทั้งยังไม่มีข่าวสารอะไรจากชายแดน ดูท่าแล้ว ด่านชายแดนของอาณาจักรอวี๋จะมีปัญหา”
ก่อนที่หลี่หรงซือจะก่อนกบฏ แดนเหนือของอาณาจักรเหยียนอยู่ภายใต้อิทธิพลของหลี่หรงซือมาโดยตลอด แม้กระทั่งอำนาจจากตำหนักบูรพาของหลี่หรงอวี่ก็ยังยากจะตอแย นั่นเป็นเหตุผลให้หลี่หงเสวี่ยสามารถจับมือกับหลี่หรงซือแล้วยืมกองกำลังทหารจากทัพแคว้นอวี๋ได้โดยตรง
แต่ตอนนี้ นักฆ่าสามร้อยคนจากอาณาจักรเหยียนสามารถทะลวงกำแพงเข้ามายังเมืองอวิ๋นเจี้ยนได้ง่าย ๆ ดูท่าหลังกลับไปพระราชวัง หลี่หรงอวี่จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเรื่องความหละหลวมของชายแดนทางทิศเหนือให้เหมาะสมเสียแล้ว
จี้ชิงเฟิงถอนหายใจออกมายาวเหยียด “เดือนดาวเลือนลับ สกุณามุ่งสู่ทักษิณ วนบินสามรอบใต้พฤกษา ไร้คาคบให้พักพิง?”
นี่คือบทกวี ‘ต้วนเกอสิง’ โดยโจโฉแห่งสามก๊ก ทั้งสี่วรรคจะสื่อถึงความเศร้าวังเวงถึงนกน้อยไม่มีบ้าน ไม่มีต้นไม้ให้พึ่งพิง ใต้หล้ากว้างใหญ่กลับไร้ที่ซุกหัวนอน เหยียนอี้ยังคงจำได้ว่าสองวรรคสุดท้ายได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘โจวกง*[2] คายข้าว ใต้หล้าโน้มน้อม’
ความทะเยอทะยานอหังการของจี้ชิงเฟิง เกรงว่าจะไม่มากน้อยไปกว่าโจโฉ
หลี่หรงอวี่ถือว่าจี้ชิงเฟิงเป็นคู่ปรับของเขามาโดยตลอด ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเชื่อมสัมพันธ์หรือทำความเข้าใจอะไรกันนัก แต่ว่าในคืนนี้ เขาพลันเข้าใจอีกฝ่าย เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมาบ้าง
แม้ว่าเขากับจี้ชิงเฟิงต่างสืบสายเลือดขัตติยา แต่แวดล้อมตั้งแต่เด็กช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน
หลี่หรงอวี่เกิดมาเป็นองค์ชายสายเลือดโดยตรง ทั้งยังไม่ทันทำอะไรก็ได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาท ถูกประคบประหงมตามอกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ตำแหน่งของรัชทายาทนั้นทั้งสูงศักดิ์และได้รับเกียรติยศก็จริง แต่ก็เป็นดังโซ่ตรวนเสียมากกว่า บ่อยครั้งที่ตำแหน่งนี้เป็นดั่งภาระอันหนักอึ้งที่กดทับให้เขาหายใจไม่ออก
เมื่อกลายเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ยิ่งไร้อิสระในการเป็นตัวเอง ไม่สามารถบอกกล่าวผู้อื่นว่าตนเองชอบสิ่งใด ไม่กล้าจะแต่งกับหญิงที่ชอบ ไม่อาจออกไปสู้รบได้โดยตรง ดังนั้นแล้วคนที่เขาอิจฉาที่สุดในชีวิตก็คือน้องชายของเขาเอง
แต่หากพูดถึงจี้ชิงเฟิงแล้ว ถึงจะเกิดในราชวงศ์ แต่ก็เป็นบุตรของสนมยศต่ำที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามมีตามเกิด
สำหรับจี้ชิงเฟิงแล้ว บัลลังก์มังกรไม่ได้เป็นเพียงชื่อเสียงลาภยศอันน่าเย้ายวน แต่ยังทำให้เขาไม่ต้องถูกเหยียบย่ำรังแกตามอำเภอใจอีกต่อไป สามารถพลิกกลับทุกอย่างให้ต่างไปจากอดีตที่เคยประสบพบเจอมาได้
หลังจากจี้ชิงเฟิงเอ่ยบทกวี ‘ต้วนเกอสิง’ แล้ว เขาจึงพบว่าทั้งหลี่หรงอวี่และเหยียนอี้ล้วนมองมาที่เขา ชายหนุ่มมุ่ยปาก รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย เหยียนอี้เห็นแล้วก็หลุดยิ้ม “บุรุษหล่อเหลาผู้ชอบเอ่ยกลอนหายไปไหนแล้วล่ะ”
คนที่มากความสามารถเช่นนี้ เมื่อครู่เหยียนอี้เพิ่งจะรู้สึกสงสารเขา ยังไม่ทันไรอีกฝ่ายก็ยิ้มกะล่อนทำหน้าทะเล้นเสียแล้ว
นางมองเหยียดไปที่จี้ชิงเฟิง แล้วเอนพิงร่างของหลี่หรงอวี่
หลี่หรงอวี่มีความสุขมากที่เหยียนอี้เป็นฝ่ายเริ่มพิงเขาต่อหน้าจี้ชิงเฟิง เขากระแอมออกมาเบา ๆ แสดงท่าทางพอใจ แล้วเอาแขนโอบไหล่ของเหยียนอี้
แต่ทันใดนั้น เขาก็พบว่าเหยียนอี้กำลังสวมเสื้อคลุมของจี้ชิงเฟิง!
เพราะความมืดยามราตรี เขาจึงไม่สังเกตเห็นมาก่อน!
นางใส่มันมานานแค่ไหนแล้ว? เหตุใดนางถึงสวมเสื้อคลุมของมันกัน?
ชายหนุ่มหงุดหงิดมากจนแทบจะกระโจนไปฉีกเสื้อคลุมบนตัวของเหยียนอี้ออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนทิ้งไป
แต่ว่าเขาไม่มีเสื้อผ้าชิ้นอื่นที่จะให้เหยียนอี้ใส่ เพราะเสื้อนอกของเขายังคงอยู่บนร่างของลั่วอิ๋ง
เหยียนอี้ก็คิดเอาไว้แล้วว่าเสื้อตัวนี้จะต้องทำให้คนบางคนไม่พอใจเป็นแน่ กระนั้นตอนนี้หลี่หรงอวี่ก็ยังคงกอดเหยียนอี้เอาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรออกมา
บนร่างเขาสวมชุดบางมาก ไม่มีเสื้อนอก ข้างในเป็นเพียงเสื้อทอจากผ้าไหม แต่ว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เลือดลมย่อมแข็งแรง ร่างกายยังคงอบอุ่น แตกต่างจากเหยียนอี้ที่มือเท้าเย็นเยียบ
เหยียนอี้ถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของเขา ภายในใจนึกสงสัยว่าเหตุใดร่างกายของเขาจึงอุ่นนัก ไหนจะกระแสความร้อนที่ไหลสู่ร่างกายของตนอีก มันไม่เหมือนการผิงไฟ แต่เหมือนความร้อนไหลผ่านอากาศเข้ามาเอง
อ้อมกอดที่อบทั้งอบอุ่นและสบายเช่นนี้ทำให้นางเผลอไผลผล็อยหลับไป
จี้ชิงเฟิงเบ้ริมฝีปาก
เหยียนอี้ที่หลับอยู่ย่อมไม่สามารถเห็น แต่จี้เฟิงชิงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของหลี่หรงอวี่มีเหงื่อผุดพราย
แท้จริงแล้วเขาใช้กำลังภายในสร้างความร้อนซึ่งกินกำลังอย่างมาก กลัวว่ากว่าจะถึงพรุ่งเช้าจะเหนื่อยตายไปเสียก่อน
เช้าวันถัดมา เหยียนอี้ตื่นขึ้นยามฟ้าสาง นางไม่เห็นจี้ชิงเฟิงแล้ว ลั่วอิ๋งยังคงไม่ได้สติ เหยียนอี้ได้นอนเต็มอิ่ม แต่หลี่หรงอวี่ที่นอนกอดนางยังหลับสนิท เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น
เหยียนอี้ลนลานเล็กน้อย นางสำรวจใบหน้าของหลี่หรงอวี่อย่างละเอียด บนใบหน้าของเขายังมีเหงื่ออยู่ ตอนเช้าที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้เหตุใดถึงยังมีเหงื่อกันนะ?
เหยียนอี้ทั้งตีแก้มและบีบจมูกเขา ทำทุกอย่างที่ทำให้เขาตื่น
หลี่หรงอวี่ที่ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะกล่าวกับเหยียนอี้ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนไม่รู้สึกหนาวใช่หรือไม่”
เหยียนอี้สั่นหัว “แปลกมาก นอนในอ้อมกอดของท่านยังสบายกว่านอนบนเตียงเสียอีก”
หลี่หรงอวี่แย้มยิ้มน้อย ๆ “ดูท่าหลังจากนี้ ข้าจะต้องกอดเจ้านอนทุกคืนเสียแล้ว”
หลี่หรงอวี่ลุกขึ้นไปอุ้มลั่วอิ๋งแล้วเอ่ยถามเหยียนอี้ “อดีตหมอหลวงที่เจ้าพูดถึงเมื่อวานอยู่ที่ใด”
[1] จินชวงเย่า เป็นผงยาที่ใช้สำหรับห้ามเลือดบาดแผล สามารถแก้อักเสบและสมานแผล
[2] โจวกง เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้โจวอู่หวางแห่งราชวงศ์โจว หลังจากฮ่องเต้โจวอู่หวางสิ้นพระชนม์ก็กลายมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์ชายที่ยังทรงพระเยาว์ ทั้งยังมีความทุ่มเทให้กับบ้านเมืองเป็นอย่างมากแม้กระทั่งในเวลากินข้าวและอาบน้ำ เมื่อมีแขกมาขอพบในเวลาทานข้าวก็จะคายข้าวออกจากปากไปต้อนรับ