ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 156 ตำหนักบูรพาลงมือ
บทที่ 156 ตำหนักบูรพาลงมือ
คนที่หลี่หรงอวี่สงสัยคนแรกคือ เฉินฟู่เซิน
เขาส่งคนไปติดตามการเคลื่อนไหวของเฉินฟู่เซินทันที แต่เขาได้รับรายงานว่าวันนี้เฉินฟู่เซินกำลังปฏิบัติหน้าที่ในพระราชวัง หลังจากฮ่องเต้ออกราชการก็ยังอยู่ในหอตำราพระราชวัง
แม้ว่าหลี่หรงอวี่จะส่งคนออกตามหาเหยียนอี้หลายแห่ง แต่เขาไม่สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ เฉินฟู่เซินอยู่ข้างกายฮ่องเต้ จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถามต่อหน้าเขาให้ชัดเจน
หลังจากที่องค์ชายแปดทราบข่าว เขาก็มาที่ตำหนักบูรพาทันที เขาได้นำองครักษ์รักษาการณ์หลายคนออกไปนอกพระราชวังเพื่อตามหาเหยียนอี้
หลี่หรงอวี่นอนอยู่บนเตียงเพราะหมอหลวงกำชับให้เขาพักผ่อนให้มาก ลั่วอิ๋งไม่กล้าที่จะก้าวออกไปแม้แต่ครึ่งก้าว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ยอมให้เขาลุกขึ้นมา ดังนั้นเพื่อให้เขาสงบสติอารมณ์ นางจึงแอบใส่สมุนไพรจิตสงบลงไปน้ำแกง เพียงหวังว่าเขาจะนอนหลับได้บ้าง
แต่หลี่หรงอวี่อ่านท่าทีที่แตกต่างจากปกติของนางได้ เขาจึงไม่ดื่มน้ำแกง และตรัสกับลั่วอิ๋งว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้ายังไม่ได้ถึงจุดที่ควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้ถึงขนาดจะต้องกินยา”
ลั่วอิ๋งรีบคุกเข่าลง สารภาพว่า “หม่อมฉันแค่ไม่อยากให้องค์รัชทายาทกังวล เหตุการณ์ของแม่นางเหยียนอี้อาจส่งผลกระทบต่อบาดแผลของท่านได้เพคะ”
หลี่หรงอวี่ตรัสว่า “ข้าสัญญากับเจ้า จนกว่าจะมีข่าวที่ชัดเจนเกี่ยวกับเหยียนอี้ ข้าจะไม่ออกนอกตำหนักตามหาคน ตอนนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ที่นี่หรอก ไปที่ประตูเมืองสอบถามให้ข้าเถิด”
ลั่วอิ๋งกล่าวว่า “องค์ชายแปดพาคนไปแล้ว ยังมีกลุ่มที่ออกตามหานอกประตูเมืองอีก เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปหาที่ใด พวกเขาจึงออกไปไม่ไกลจากที่นี่นัก”
หลี่หรงอวี่มองดูท้องนภาผ่านหน้าต่าง “หากเหยียนอี้หายตัวไปเมื่อคืนนี้ แสดงว่าพวกเขาเพิ่งออกจากประตูเมืองเมื่อเช้า ยังออกไปได้ไม่ไกล อย่างมากที่สุดก็คงจะเป็นเมืองจี้ หากอยู่เมืองจี้ เป็นไปได้ว่าจะไปซินหยาง”
ลั่วอิ๋งถามว่า “เหตุใดท่านจึงมั่นใจว่าแม่นางเหยียนอี้จะถูกนำตัวออกจากเมืองหลวง?”
“หากตอนนี้นางอยู่ในเมืองหลวง เฉินฟู่เซินยังจะกลับมาที่พระราชวังด้วยท่าทีมั่นใจเช่นนี้หรือ?”หลี่หรงอวี่ตอบ
ลั่วอิ๋งยังคงมึนงงเล็กน้อย “ฝ่าบาท ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าเป็นเฉินฟู่เซิน อาจจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่องค์หญิงผิงหยาง…”
“ไม่ใช่ผิงหยาง ตั้งเเต่เกิดเรื่องในคราวนั้น ตำหนักบูรพาจับตาดูการเคลื่อนไหวของผิงหยางมาตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะพาคนออกไป” หลี่หรงอวี่ตรัสอย่างหนักแน่น
ในเวลานี้หลี่หรงเฉิงรีบเข้าไปในห้องโถง ตรัสกับหลี่หรงอวี่ว่า “ว่าไปแล้วช่างแปลกประหลาดนัก หากบอกว่านี่เป็นการกระทำของเฉินฟู่เซิน เขาวางแผนอะไร กล้าดีอย่าางไรมาลักพาตัวคนจากตำหนักบูรพา!”
หลี่หรงอวี่สั่ง “เขาคงนึกว่าข้าไม่กล้าลงโทษอะไรเขา ลั่วอิ๋ง เจ้าไปรอเขาที่หอตำราพระราชวัง ทันทีที่เฉินฟู่เซินออกมา ให้เขามาพบข้า”
ลั่วอิ๋งอดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย “ตอนนี้เฉินฟู่เซินเป็นคนโปรดฮ่องเต้ หากเขาปฏิเสธหรือหาข้ออ้าง…”
สีหน้าหลี่หรงอวี่เคร่งขรึมขึ้นทันใด เขาตรัสอย่างเย็นชาว่า “เขาคิดว่าข้าไม่มีหลักฐาน ไม่ทันไรเขาก็จะปฏิเสธแล้วหรือ? เขาต้องไม่ลืมว่าข้าเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ ลั่วอิ๋ง ไปหยิบตราประทับมา”
แม้ว่าตราประทับขององค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาจะไม่ทรงอำนาจเท่ากับตราลัญจกรหยก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลี่หรงอวี่รับผิดชอบงานราชการมากมาย บางครั้งพระราชโองการขององค์รัชทายาทก็เทียบเท่าคำสั่งเป็นตาย
เพียงแค่หลี่หรงอวี่ไม่อยากแสดงอำนาจมากเกินไป เขาจึงไม่ค่อยใช้ตราประทับขององค์รัชทายาท แต่เพื่อสตรีเพียงคนเดียว เขาถึงกับเขียนราชโองการออกมา ลั่วอิ๋งลังเล รู้สึกว่าคำสั่งนี้ไม่สมเหตุสมผลนัก
“เพราะตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บจึงสั่งเจ้าไม่ได้หรือ” เสียงทรงอำนาจของหลี่หรงอวี่ดังขึ้น ทำเอาผู้คนเกรงกลัว
ลั่วอิ๋งไร้คำพูด ทำได้เพียงไปนำกล่องตราประทับมาพร้อมนำกระดาษเหลือและปากกาเงิน หลี่หรงอวี่พยายามนั่งตัวตรง เขียนตัวอักษรลงไปอย่างว่องไวก่อนจะประทับตราองค์รัชทายาท
“องค์ชายแปด เจ้าไปเอาตัวเฉินฟู่เซินมา!” หลังจากที่หลี่หรงอวี่พูดจบ เขาก็ไออยู่หลายครั้ง
หลี่หรงเฉิงมึนงง “ข้า?”
เดิมทีเขาคิดว่าสิ่งที่ต้องประกาศราชโองการจะเป็นลั่วอิ๋งเป็นคนจัดการ
แต่หลี่หรงอวี่ตรัสว่า “หากเฉินฟู่เซินไม่ยินยอม ต่อต้านราชโองการในหอตำรา ลั่วอิ๋งคงไม่สามารถจัดการกับเขาได้ เจ้าเป็นองค์ชาย เขาคงไม่กล้าปฏิเสธเจ้า”
หลี่หรงเฉิงรับราชโองการที่องค์รัชทายาทเพิ่งเขียนเสร็จไป ถึงแม้ว่าจะมีท่าทีสุขุม แต่ในใจของเขารู้สึกไม่ปลอดภัย หลังจากออกมาจากตำหนักบูรพา เขาก็พบกับเหยียนจื่อ
เขารีบดึงเหยียนจื่อมาหลบทันที “ข้าบอกให้เจ้ากลับไปรอฟังข่าวไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่?”
“หม่อมฉันรอไม่ไหวแล้วจริง ๆ เพคะ องค์ชายแปด ท่านเจอพี่สาวหม่อมฉันหรือไม่?” เหยียนจื่อถามอย่างกังวล
หลี่หรงเฉิงส่ายหัว พอเห็นความผิดหวังในดวงตาของเหยียนจื่อก็อธิบายอย่างรวดเร็ว “เจ้าวางใจเถิด องค์รัชทายาทกังวลมากกว่าเจ้า เขาย่อมมีวิธีหาทางออก เจ้าต้องเชื่อใจเขา และเชื่อใจข้าเช่นกัน ตกลงหรือไม่?”
เพราะเขามีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ เขาจึงไม่มีเวลาคุยกับเหยียนจื่อ เขาตบไหล่ของนางเบา ๆ ก่อนจะรีบไปหอตำราพระราชวัง
เหยียนจื่อยังอยากคุยกับเขาหลายประโยค แต่ทว่าเขาเดินไปไกลแล้ว
เมื่อหลี่หรงเฉิงเดินมาถึงหอตำราพระราชวัง ก็เห็นขันทีน้อยที่ส่งมาจากตำหนักบูรพาเพื่อคอยจับตาดูเฉินฟู่เซินอยู่ไม่ไกล
เขารีบเดินเข้าไปถามขันทีน้อยอย่างรวดเร็วว่า “เฉินฟู่เซินออกมาหรือไม่”
ขันทีน้อยส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้ออกมาตั้งแต่กระหม่อมมา นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว”
หลี่หรงเฉิงถามว่า “เสด็จพ่อคุยเรื่องใหญ่อะไร เหตุใดจึงต้องใช้เวลาในห้องหอตำราหลายชั่วยาม?”
แน่นอนว่าขันทีน้อยย่อมไม่รู้เรื่องนี้
ทันใดนั้นประตูหอตำราพระราชวังก็เปิดออก เฉินฟู่เซินเดินออกมาพร้อมกับอัครเสนาบดีกวนจวินกับเหอเฉียนอี้จากกรมกลาโหม ทั้งสามคนต่างเข้าโค้งคำนับกล่าวอำลากันและกัน
กวนจวินกับเหอเฉียนอี้กำลังพูดคุยกับเฉินฟู่เซินที่หน้าประตูพระราชวัง ทันทีที่เฉินฟู่เซินเห็นหลี่หรงอวี่ มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม
หลี่หรงเฉิงรู้สึกว่ารอยยิ้มของเฉินฟู่เซินเย็นชา อดหวาดกลัวอย่างเสียไม่ได้
เฉินฟู่เซินเป็นฝ่ายเดินมาหาแล้วกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าเหตุใดองค์ชายแปดถึงเสด็จมาหากระหม่อม?”
แม้เขาจะพูดอย่างสุภาพ แต่เขาไม่แม้แต่จะปฏิบัติตามมารยาทของข้าราชบริพารเมื่อเห็นองค์ชาย ท่าทางของเขาเย่อหยิ่งอย่างมาก
“องค์รัชทายาทมาเชิญเจ้าไปพบ” หลี่หรงเฉิงตรัส
“โอ้?” เฉินฟู่เซินกล่าว “กระหม่อมมีหน้าที่รับผิดชอบป้องกันพระราชวัง ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับองค์รัชทายาท ไม่ทราบว่าเรียกกระหม่อมไปด้วยเรื่องอะไรหรือ?”
หลี่หรงเฉิงตรัสว่า “องค์รัชทายาทเคยทรงงานแทนฮ่องเต้ จัดการกิจทั้งหมดในพระราชวัง ตอนนี้เขาเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ไม่ได้ลาออกจากตำแหน่ง เหตุใดท่านเฉินจึงพูดเช่นนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร?”
เฉินฟู่เซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีองค์ชายแปดน่าจะรู้ว่าองค์รัชทายาทเป็นเพียงผู้สืบทอดโอรสสวรรค์ แต่ยังไม่ใช่โอรสสวรรค์”
“เจ้าช่างกล้านัก!” หลี่หรงเฉิงตะโกนอย่างโมโห
เฉินฟู่เซินไม่สนใจ เดินผ่านเขาไป
หลี่หรงเฉิงคว้าตัวเขาไว้ “เจ้าเป็นแค่คนรับใช้ของราชวงศ์ของข้า หากองค์รัชทายาทเรียก เจ้ากล้าไม่ไปหรือ?”
“ข้ารับใช้?” เฉินฟู่เซินทวนประโยคนี้ เผยท่าทียียวนออกมา “โอ้… ข้ารับใช้ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้แล้ว ตอนนี้ยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ หากองค์รัชทายาทไม่มีธุระสำคัญอะไร ก็เรียกข้ารับใช้ผู้นี้ในอีกสองวันข้างหน้าเถิด”
หลี่หรงเฉิงเห็นว่าเขาปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่ง จึงหยิบราชโองการขององค์รัชทายาทออกมาอ่าน “คำสั่งของผู้ปกครองตำหนักบูรพา ขอสั่งให้หัวหน้าองครักษ์จินอู๋ เฉินฟู่เซิน องค์รักษ์ผู้พิทักษ์ฮวนเหมินขั้นหนึ่ง เข้าเฝ้าตำหนักบูรพาทันที ปลดดาบถอดหมวกองครักษ์ตามกฎเข้าเฝ้า”
หลังจากที่เขาอ่านจบ เขาก็ส่งหนังสือคำสั่งต่อหน้าเฉินฟู่เซิน แต่เกรงว่าเขาจะฉีกมันออก จึงรีบเก็บมันไว้ทันที
เฉินฟู่เซินคาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะออกราชโองการเพื่อเหยียนอี้เป็นการส่วนตัว ถึงแม้ว่าจะเต็มใจออกราชโองการเป็นการส่วนตัว แต่ย่อมต้องส่งรายงานไปฝ่ายดูแลตำหนักภายใน
ทั่วทั้งอาณาจักรยกเว้นฮ่องเต้กับฮองเฮาต้องปฏิบัติตาม หากเนื้อหาข้างต้นไม่ถูกหักล้างกับราชโองการของฮ่องเต้ย่อมมีผลทันที
หากฮ่องเต้ถามในอนาคตคงยาก หากไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน
“คาดไม่ถึงว่าเฉินฟู่เซินผู้น้อยคนนี้จะทำให้องค์รัชทายาทเขียนพระราชโองการของตำหนักบูรพาขึ้นมาได้ ปลาบปลื้มใจนัก”
เฉินฟู่เซินไม่มีความรู้สึกกลัวบนใบหน้าแม้แต่น้อย แม้แต่ร่องรอยอารมณ์บนใบหน้าก็ไม่มีสักนิด “พอดีเลยกระมัง กระหม่อมมีเรื่องสำคัญต้องการทูลต่อองค์รัชทายาท รบกวนองค์ชายแปดนำทางด้วยเถิด”
เฉินฟู่เซินแสร้งคำนับองค์ชายแปด แต่แท้จริงแล้วเดินนำไปด้านหน้าก่อนแล้ว จากนั้นพวกเขาก็มุ่งตรงสู่ตำหนักบูรพา
หลี่หรงอวี่นั่งอยู่บนตั่ง เฉินฟู่เซินถูกอู๋เกาพามาหยุดอยู่ที่ประตู ขอให้เขาปลดดาบกับถอดหมวกองครักษ์ก่อนจะเข้าไป
เฉินฟู่เซินหัวเราะเยาะ เขาเป็นองครักษ์ฮวนเหมินขั้นหนึ่ง ต่อหน้าราชวงศ์จะต้องทำตามกฎปกป้องฮ่องเต้และความปลอดภัยของราชวังจึงไม่จำเป็นต้องปลดดาบ แต่ในคำสั่งขององค์รัชทายาทได้เขียนไว้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องทำ
ทันทีที่เฉินฟู่เซินเข้ามาที่ประตู ลั่วอิ๋งก็ผูกมีดบินสองเล่มไว้ในฝ่ามือ หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน นางจะได้สามารถเอาชนะศัตรูภายในการเคลื่อนไหวครั้งเดียว
ทันทีที่เฉินฟู่เซินเข้ามาในห้องก็สัมผัสถึงอากาศที่เย็นยะเยือก ชายหนุ่มไม่เพียงแต่จะไม่ตื่นตระหนก ในทางกลับกันเขารู้สึกพอใจที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ หลี่หรงอวี่ที่ตามหาเหยียนอี้ไม่เจอยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
“ไม่ทราบว่าเหตุใดองค์รัชทายาทจึงเรียกกระหม่อมมา?” เฉินฟู่เซินโค้งคำนับ
หลี่หรงอวี่มองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะตรัสขึ้นว่า “ได้ยินจากเหยียนอี้ว่าเฉินฟู่เซินมีอุปนิสัยอ่อนโยนเงียบขรึมไม่ค่อยพูด ถึงแม้จะรักสันโดษแต่ก็ยังเป็นคนมีมารยาท วันนี้มาพบข้า คาดไม่ถึงว่าจะมีมารยาทเช่นนี้”
เฉินฟู่เซินจึงคำนับตามธรรมเนียมของข้าราชบริพารที่ได้เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท
ทว่าหลี่หรงอวี่กลับส่ายหน้า “ธรรมเนียมนี้ย่อมมีข้อยกเว้น ท่านเฉินได้รับเลื่อนตำแหน่งจากเสด็จพ่อ ไฉนเลยเลยต้องปฏิบัติตามผู้อื่น เรื่องไม่คุ้นชินกับมารยาทในพระราชวังเป็นอันเข้าใจได้ เสด็จพ่อกับฮองเฮาล้วนไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่?”
เฉินฟู่เซินคิดว่าเมื่อเขาเข้าไปในห้องจะเห็นหลี่หรงอวี่เสียสติเพราะตามหาคนไม่เจอ แต่คาดไม่ถึงว่าชายผู้นี้ยังสงบนิ่ง มีเวลาให้ความสนใจกับเรื่องมารยาทขนบธรรมเนียมของราชวงศ์ เขาจึงยืนหลังตรง กล่าวขึ้นว่า “องค์รัชทายาทเชิญตรัสมาตามตรงเถิด”
“ว่ามาตามตรงเลยดีกว่า เหยียนอี้อยู่ไหน?” หลี่หรงอวี่ถามอย่างตรงไปตรงมา
เฉินฟู่เซินหัวเราะเบา ๆ “นางเป็นคนตำหนักบูรพา เหตุใดองค์รัชทายาทจึงมาถามหาคนจากกระหม่อม? หรือท่านคิดว่า บางทีนางอาจจะไม่ชอบอยู่ในตำหนักบูรพา นางจึงมาหากระหม่อม?”
*ทางทีมงาน Enjoybook ขออนุญาตแจ้งว่าหลังจากตอนนี้ นิยายเรื่องนี้จะลงวันละหนึ่งตอน ขออภัยในความไม่สะดวกเป็นอย่างสูง หวังว่าทุกคนจะติดตามเนื้อเรื่องที่ค่อย ๆ ผกผันชีวิตของเหยียนอี้ไปด้วยกันจนจบนะคะ