ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 155 ค่ายกลแปดทิศ
บทที่ 155 ค่ายกลแปดทิศ
*บนเก้าตำหนักแปดทิศ ที่หมายถึง ยุทธศาสตร์เก้าตำหนัก แปดทิศทาง ทางทีมงาน Enjoybook ขออนุญาตใช้คำว่า ค่ายกล
เหยียนอี้เห็นพวกเขาเตรียมการมาอย่างดีก็ผลักขวดยาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปปลดทุกข์ ใช้ยาแล้วอย่างไร?”
แต่ชายผู้นั้นกลับกล่าวว่า “นายน้อยบอกมาว่าห้ามให้ท่านลงจากรถม้าจนกว่าจะถึงเมืองจี้ จึงไม่สามารถปล่อยให้ลงจากรถม้าได้ หรือหยุดรถม้าก็ไม่ได้ แม่นางคงต้องปลดทุกข์บนรถม้านี้แล้วกระมัง”
พูดจบ เขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากใต้เบาะที่นั่ง แล้วกล่าวว่า “แม่นางก็รีบปลดทุกข์เถิด ข้าจะไปรอด้านนอก”
แววตาของเหยียนอี้มืดครึ้มลง นางตวาดออกมาทันที “พวกท่านหมายความว่าอย่างไร พวกท่านสองคนเป็นผู้ชายรออยู่นอกรถม้า จะให้ข้าซึ่งเป็นสตรีปัสสาวะในรถที่กำลังเคลื่อนที่อย่างงั้นหรือ? ข้าจะลงจากรถม้า ด้านนอกมีพุ่มไม้เล็ก ๆ หรือไม่?”
ชายผู้นั้นกล่าวว่า “ในเมื่อแม่นางไม่ต้องการเช่นนั้นก็อั้นรอเถิด อั้นไว้สักครึ่งวันประเดี๋ยวก็ถึงเมืองจี้แล้ว”
เหยียนอี้สะอื้น “พวกเจ้าต้องการให้ข้า สตรีบอบบางราวกับดอกไม้… อัดอั้นจนตายเลยหรือ โอยยย ปวดท้อง…”
เหยียนอี้แสร้งปวดท้อง นางกลิ้งไปมาในรถม้าพลางลอบจิกแขนใต้แขนเสื้อตัวเองโดยที่ไม่มีใครเห็น หยาดน้ำตาจึงหลั่งออกมา
ชายผู้นั้นเห็นว่าเหยียนอี้เอะอะโวยวาย เขาก็คาดเดาได้ว่านางเสแสร้ง แต่ทันทีที่เห็นนางหน้าแดงจนต้องหลั่งน้ำตา ก็กลัวว่าครั้งนี้จะไม่ใช่การแสร้งทำ หากมีเรื่องเกิดขึ้นมาจริง ๆ เขาไม่รู้จะอธิบายกับคนเบื้องบนอย่างไร
คนขับรถม้าที่อยู่ภายนอกได้ยินสิ่งผิดปกติภายในรถม้า เขาชะลอรถม้า เบี่ยงไปจอดข้างทาง
ชายที่อยู่ข้างในรีบเปิดม่าน เคาะหน้าผากเขาอย่างแรง “จะหยุดรถทำไม เจ้าลืมที่นายน้อยพูดไปแล้วหรือ? สตรีผู้นี้กลอุบายมากมาย ไม่ว่านางจะพูดอะไรต้องไม่ให้นางห่างจากสายตาพวกเราได้!”
เหยียนอี้เห็นรถม้าหยุด ก็รีบเอามือกุมท้องโอดครวญมากกว่าเดิม คนขับรถม้าจึงกล่าวว่า “เจ้าดูเถิด นางปวดมากขนาดไหน? ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนโกหกมิใช่หรือ”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้” ชายในรถยังคงปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด
“พี่ชายทั้งสอง พวกท่านก็ขับรถม้าไปพุ่มไม้ข้างทางแถวนี้ก็ได้… ข้าขอร้องพวกท่านล่ะ โอ๊ย… ข้าปวดจะตายอยู่แล้ว” เหยียนอี้หลั่งน้ำตาออกมา แสร้งทำเป็นขอร้องอย่างน่าสงสาร
คนขับรถม้ากล่าวว่า “นางเป็นเพียงแม่นางคนหนึ่ง ไม่รู้วรยุทธ์ เจ้าคิดว่านางจะวิ่งไปไกลได้แค่ไหนกันเชียว? อีกเดี๋ยวพวกข้าสองคนจะตามลงไปปลดทุกข์ เมื่อครู่ทำให้แม่นางลำบากแล้ว”
ชายบนรถม้าถูกเขาชักจูงจึงบอกนางด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “ถ้ากล้าหนี… พวกข้าจะ…”
เดิมทีพวกเขาเป็นโจรแห่งยุทธภพ พวกเขาทั้งเคยรบราฆ่าฟันแย่งชิงสิ่งของมานับไม่ถ้วน คำสั่งเฉินฟู่เซินนั้นเข้มงวดมาก แม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่ให้แตะ พวกเขาไม่สามารถพูดจารุนแรงกับเหยียนอี้ได้เลยแม้แต่น้อย
เหยียนอี้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งเสแสร้งแสดงเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น นางเอามือจับท้องกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านเป็นคนดีจริง ๆ …”
รถม้าเคลื่อนไปตามทางอีกครั้ง คราวนี้ออกจากถนนสายหลักไปยังเส้นทางเล็ก ๆ ก่อนจะไปจอดตรงพุ่มไม้ข้างทาง
ชายในรถม้าพาเหยียนอี้ออกมาแต่ก็ยังไม่วางใจ เชือกยาวถูกดึงออกจากรถม้า ผูกปลายข้างหนึ่งไว้กับข้อมือของเหยียนอี้ เขาผูกเป็นเชือกตายระหว่างมือตนเองและมือของเหยียนอี้ “ไป!”
เหยียนอี้ยอมเดินไปตามคำสั่ง กระนั้นก็แอบแก้ปมเชือก แต่ผู้ใดจะรู้ว่าโจรยุทธภพผู้นี้มีวิธีผูกเชือกไม่เหมือนใคร ทั้งแน่นหนาแข็งแรง ใช้มือแก้ไม่ได้สักนิดเดียว ถ้าทำได้คงต้องใช้มีดตัดเท่านั้น
นางไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันเดินต่อไปด้านหน้า แล้วเข้าไปในป่าข้างทาง จนสุดท้ายเชือกตึง นางจึงเดินต่อไปอีกไม่ได้
คนข้างนอกตะโกนขึ้น “แม่นางเหยียน อย่าเดินอีกเลย พวกเรามองไม่เห็นเจ้าแล้ว”
หลังจากเหยียนอี้มั่นใจว่าทั้งสองคนมองไม่เห็น นางจึงนั่งลงครุ่นคิด
ทั้งสองคนรู้วรยุทธ์ขั้นสูง หากนางวิ่งหนีคงจะถูกแซงภายในไม่กี่ก้าว ยิ่งนางถูกมัดด้วยเชือกเช่นนี้ก็ยิ่งวิ่งไม่ได้
แต่หากเดินผ่านป่าทึบนี้ไป ก็จะเข้าสู่ค่ายกลแปดทิศของที่นาราชสำนัก ซึ่งนางต้องวนอยู่ในนั้นหลายครั้ง หากไม่เข้าใจค่ายกลก็จะต้อนวนอยู่ในนั้นหลายวัน
เฉินฟู่เซินต้องการให้เหยียนอี้ออกนอกเมือง แต่ไม่ได้มีความตั้งใจจะทำร้ายนาง องค์รัชทายาทหานางไม่พบย่อมต้องส่งคนมาตามหานางอย่างแน่นอน เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะถึงเมืองหลวง ในที่นาราชสำนักแห่งนี้มีทหารมากมายจากตำหนักบูรพา ย่อมสามารถฉวยโอกาสหนีออกไปได้
แต่ก็อย่างเห็น เฉินฟู่เซินต้องการจะพานางไปเมืองจี้ตามแผนของเขาที่วางไว้
เหยียนอี้ไม่รู้เหตุผลที่เฉินฟู่เซินต้องการให้นางออกจากเมืองหลวง ไม่รู้เหตุผลที่พานางออกจากพระราชวัง ไม่รู้ว่าเฉินฟู่เซินจะลงมือทำอะไรต่อหลังจากที่นางออกจากราชวังแล้ว
แต่แท้จริงแล้วแผนของเขาคือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ประการแรก คือ พระราชวังกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เหยียนอี้อยู่ในตำหนักบูรพาจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องย้ายนางไปอยู่ในที่ปลอดภัย และประการที่สอง คือหากเหยียนอี้หายตัวไป หลี่หรงอวี่จะต้องเป็นกังวลใจ บางทีเขาอาจจะออกมาจากพระราชวังด้วยตนเอง จากนั้นค่อยหาโอกาสทำลายเขาในทีเดียว
เหยียนอี้นั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นหญ้าเป็นเวลานานแต่ก็ยังแก้เชือกไม่ได้ ทั้งสองคนข้างนอกต่างตะโกนว่า “แม่นางเหยียน เจ้ารีบหน่อย!”
เหยียนอี้รู้สึกว่าเชือกที่ข้อมือของนางกำลังถูกดึง คนด้านหลังกำลังดึงเชือกเพื่อให้แน่ใจว่านางยังอยู่
ขณะที่นางกำลังจะตอบก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แทนที่จะตอบ เหยียนอี้เลือกที่จะนอนลงบนพื้นหญ้า
ทั้งสองเรียกนางอีกสองสามครั้ง แต่เหยียนอี้ไม่ตอบ จึงตะโกนว่า “ไม่ดีแล้ว” ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาในป่า
พวกเขาคิดแค่เรื่องเหยียนอี้ จึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจจนลืมหยิบเชือกขณะปรี่เข้ามา
ครั้นพวกเขากำลังเดินเข้ามาใกล้เหยียนอี้ ก็เห็นว่าปลายเชือกที่ควรจับไว้ไม่มีใครจับ เหยียนอี้ที่หมอบอยู่จึงรีบยืนขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปในป่าทึบ
แม้นางจะเป็นสตรีตัวเล็กแต่ก็ว่องไวไม่น้อย ทว่าเทียบกับชายร่างใหญ่ในป่าทึบแล้ว เพียงไม่นานก็ถูกพวกเขาพบทันที
นางไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งวนอยู่ในป่า
หนึ่งในชายเหล่านั้นเห็นก็ตะโกนบอกอีกคนทันที “หงจินอู่ จับเชือก!”
พออีกคนได้รับคำสั่งก็รีบเข้าไปจับเชือกพันในมือทันที ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถวิ่งเร็วได้เท่าอีกคนหนึ่ง เขาตะโกนตอบไปว่า “ชุนเซิง เจ้าไล่ตามไปก่อน!”
เหยียนอี้ใช้เวลากับพวกเขาเกือบครึ่งวัน ในที่สุดก็รู้ชื่อของพวกเขาทั้งสองคน คนหนึ่งชื่อหงจินอู่ อีกคนชื่อชุนเซิง
ในที่สุดนางก็วิ่งออกมาจากป่าได้ เมื่อเหยียบหินทรายบนพื้นก็เดาได้ว่าตอนนี้นางเข้าสู่ค่ายกลแปดทิศแล้ว นางอดถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ไม่รู้ว่าตนเอาพลังมาจากไหน วิ่งไปอีกสักพักก็สะดุดกับพื้นหิน และถูกจับได้ในที่สุด
เชือกที่ถูกมัดไว้ตึงแล้ว ชายที่ไล่ตามจึงมาถึงด้านหลัง
“นังตัวดี วิ่งได้เร็วจริง ๆ” ชายชื่อชุนเซิงกล่าวพลางคว้าไหล่ของเหยียนอี้
เหยียนอี้หอบจนหายใจไม่ออก แต่ชุนเซิงกลับไม่มีอาการหอบหรือหน้าแดงแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเขามีวรยุทธ์เก่งกาจ
หลังจากนั้นไม่นาน หงจินอู่ก็ไล่ตามมาในสภาพเชือกยาวพันรอบเอว เขากล่าวกับเหยียนอี้ว่า “ลำบากมากพอแล้ว ถึงเวลากลับสักที!”
เหยียนอี้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “กลับสิ กลับไปไหน”
“กลับไปที่รถม้า! เร็วเข้า!” หงจินอู่ตะโกนพร้อมกับชุนเซิง พวกเขาพาเหยียนอี้กลับไปยังถนนสายเดิม
ตอนนี้พวกเขาระมัดระวังเหยียนอี้มากขึ้น จึงไม่ได้สุภาพเหมือนในตอนเช้า ทว่าเหยียนอี้กลับเชื่อฟังมากกว่าในตอนเช้า ไม่ดิ้นรนหรือพูดไร้สาระ นางติดตามทั้งสองคนอย่างเชื่อฟัง
หลังจากเดินไปได้หลายก้าว พวกเขาก็พบกับทางแยก
“ชุนเซิง พวกเรามาจากไหน” หงจินอู่ถาม
ชุนเซิงเกาหัว ทางแยกทั้งสองนี้ดูเหมือนกันทุกประการ ไม่ว่าจะมองอย่างไร พวกมันดูเหมือนถนนที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านไปไม่มีผิด
เหยียนอี้ร้องบอก “ซ้าย!”
หงจินอู่เหลือบมองที่นาง ในใจไม่เชื่อจึงเลือกเดินไปทางขวา แต่หลังจากเดินไปสักพักเขาก็พบทางแยกสามแพร่งอีกครั้ง
ตอนนั้นพวกเขาไล่ตามเหยียนอี้มาตลอดทาง เพียงไม่นานพวกเขาก็ตามมาทัน แต่ทว่าหลังจากพวกเขาออกจากป่าทึบ กลับจำไม่ได้ว่ามีทางแยกสามแพร่งอะไรเช่นนี้
“ชุนเซิง ทำอย่างไรดี” หงจินอู่ถามอีกครั้ง
“ยังต้องทำอะไร? หลงทางก็ต้องกลับไปทางเดิมสิ!” ชุนเซิงกล่าว
ทั้งสามคนจึงเดินกลับไปอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเดินกลับมาอย่างไร เส้นทางที่เขาเพิ่งเดินมาเมื่อครู่ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม
“พี่ชายทั้งสองคน พวกท่านฟังข้าสักประโยคได้หรือไม่?” เหยียนอี้กล่าว “ถ้าไปทางตรงกลางก็กลับไปเส้นทางเดิมได้แล้ว”
ชุนเซิงกล่าวว่า “แม่นางพูดเรื่องไร้สาระอะไร พวกเราไม่ได้ผ่านสามแยกพวกนี้ จะกลับไปเส้นทางเดิมได้อย่างไร?”
เหยียนอี้พึมพำ “ไม่เชื่อก็ช่างเถอะ”
“ไปเถอะ ลองดู บางทีอาจจะเป็นทางออกก็ได้” หงจินอู่กล่าว
ทั้งสามคนจึงเดินไปทางตรงกลาง
แม้เหยียนอี้เคยมาที่นี่มาก่อน แต่นางไม่ได้รู้จักเส้นทางแห่งนี้เลย นอกจากนี้ที่ดินราชสำนักใหญ่โตกว้างขวาง ในวันนั้นนางไม่ได้เดินอย่างทั่วถึง นางจะรู้จักทั้งเส้นทางนี้ได้อย่างไร นางแค่บอกมั่วไปเสียอย่างนั้น
นางหวังว่าพวกเขาจะหลงทางในค่ายกลแห่งนี้ จะดีที่สุดถ้าพวกเขาเดินไปรอบ ๆ จนกระทั่งมีคนมาช่วยนาง นางจึงไม่ใส่ใจว่าทางจะถูกหรือจะผิด
เพียงแต่นางยังกังวลใจเล็กน้อย ในเมื่อติดอยู่ที่นี่ นางจะแจ้งองค์รัชทายาทได้อย่างไรว่านางอยู่ที่นี่?
ทั้งสามคนเดินมาไกลพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงไหนเสียที
ตอนนี้หงจินอู่ก็รู้แล้วว่าพวกเขาถูกแม่นางผู้นี้หลอกพามายังค่ายกล
“เจ้าตั้งใจหรือ?” เขาถามพลางกล่าวต่อว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องตุกติกหรอก หากพวกเราออกไปไม่ได้ เจ้าก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน ถ้าพวกเราติดอยู่ที่นี่จนตายเจ้าก็เหนื่อยอยู่ที่นี่จนตายเช่นกัน!”
เหยียนอี้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “หืม? ให้ข้าเหนื่อยจนตายได้หรือ? เกรงว่าคำสั่งที่เขาสั่งไว้คือ ยอมให้พวกท่านตายดีกว่าให้ข้าเหนื่อยตาย”
ถึงเหยียนอี้จะเดามั่ว ทว่ากลับตรงกับที่เฉินฟู่เซินสั่งพวกเขาทั้งสองคน ทั้งสองคนได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน
และเวลานี้ในตำหนักบูรพา หลี่หรงอวี่กำลังตามหาเหยียนอี้จนโกลาหลกันไปหมด