ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 120 กองกำลังเทียนจีสืบสวนคดี
บทที่ 120 กองกำลังเทียนจีสืบสวนคดี
ถึงแม้เหยียนจื่อจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย แต่นางก็รู้ว่าเหยียนอี้ถูกลักพาตัวไปจากวัง แต่วิธีที่เหยียนอี้หลบหนีและกลับมาที่วังในภายหลังนั้น นางไม่รู้เลย
เหยียนอี้เองก็ต้องการปิดบังจากนางเช่นกัน เพราะการอยู่นอกวังกับองค์รัชทายาททั้งคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังและไม่ควรพูดออกไป ยิ่งไปกว่านั้น องค์รัชทายาทเองก็กำชับไม่ให้เหยียนอี้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเช่นกัน
ครั้นหวังจือถามถึงเรื่องนี้ เหยียนจื่อจึงสับสนไม่น้อย ไม่อาจคิดอะไรได้อีก
หลี่หรงเฉิงได้ยินแล้วก็อดตกใจไม่ได้เช่นกัน หวังจือผู้นี้ไม่เคยอยู่ในวัง แต่กลับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวัง ไม่เพียงแต่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนจื่อเท่านั้น แต่ยังรู้ความลับองค์รัชทายาทกับเหยียนอี้ที่กลับมาด้วยกันอีกด้วย…
เขาเหลือบมองเหยียนจื่อด้วยความเครียด หวังจือภักดีต่อฮ่องเต้ หากชายคนนี้ไปหาฮ่องเต้ และบอกเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนจื่อออกไป เหยียนจื่อจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
ด้านหวังจือ เมื่อเห็นว่าเหยียนจื่อไม่รู้อะไรมากกว่าองค์ชายแปดก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้พูดความจริงอีก จึงหันไปถามหลี่หรงเฉิง “องค์ชายแปด องค์รัชทายาทเคยพูดถึงอ๋องหย่งหรือหลี่หงเสวี่ยหรือไม่?”
หวังจือเห็นว่าในดวงตาของหลี่หรงเฉิงมีความระแวดระวัง จึงยกมุมปากพลางกล่าวต่อ “องค์ชายแปด โปรดวางใจเถิด กระหม่อมไม่ได้สงสัยว่าท่านมีความเกี่ยวข้องกับกบฎอ๋องหย่ง เป็นเพียงหน้าที่ที่กระหม่อมต้องถามอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น”
หลี่หรงเฉิงตอบอย่างกระชับและหนักแน่น “ข้าพูดไปแล้ว”
แววตาของหวังจือเป็นประกายวาบออกมาเล็กน้อย “ท่านพูดถึงอะไรไปแล้ว?”
หลี่หรงเฉิงจึงตอบว่า “องค์รัชทายาทมักกล่าวว่า ปีนั้นที่อ๋องหย่งทำการกบฏ หัวหน้ากบฏถูกประหาร แต่บุตรชายอ๋องหย่งยังมีชีวิตอยู่ในต่างแดนอีกหลายปี ความทะเยอทะยานไม่ลดลงแต่อย่างใด”
หวังจือถามกลับไปว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมา องค์รัชทายาทไม่ได้ตรัสอะไรเป็นพิเศษอีกเลยหรือ?”
“พิเศษ?” หลี่หรงเฉิงตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีสิ องค์รัชทายาทบอกว่าเหล่าสมุนของหัวหน้าหวังแห่งกองกำลังเทียนจี ยี่สิบปีมานี้เดินทางพลิกแผ่นดิน ถอนรากถอนโคนกบฏอ๋องหย่ง ช่างลำบากเหลือเกิน”
‘ช่างลำบากเหลือเกิน’ ดูเหมือนเป็นคำกล่าวโดยทั่วไป แต่น้ำเสียงของหลี่หรงเฉิงดูประชดประชันอย่างยิ่ง ไม่ใช่คำชมแต่อย่างใด
หวังจือจึงตอบรับคำชมที่ไม่ใช่คำชมนั้น “คงต้องขอบคุณองค์รัชทายาทที่กล่าวคำชมแล้ว”
คำว่า ‘องค์รัชทายาท’ คำนี้ เขากล่าวด้วยเสียงลอดไรฟัน ราวกับว่ามันมีความนัยซ่อนอยู่กลาย ๆ
หลี่หรงเฉิงจึงตรัสต่อ “ข้าเพียงรู้สึกว่า หัวหน้าหวังกวาดล้างมาตั้งหลายปี แต่ก็ยังไม่หมดเสียที ยามนี้องค์ชายสี่ตรวจสอบวังหลวง กลับเจอสายสอดแนมมากมาย ท่านลำบากก็จริง แต่ผลงานกลับมีไม่มากสักเท่าไร”
หวังจือได้ยินคำถากถางเช่นนั้นก็ไม่ได้โกรธ เขากล่าวว่า “องค์ชายสี่เป็นสายเลือดของฝ่าบาท เป็นคนที่มีความสามารถ ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาจะเอาไปเปรียบเทียบได้อย่างไร เขาจับได้สิบคน ข้าจับได้เพียงหนึ่งคนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
เหยียนจื่อจึงถือโอกาสอุทาน “ว่าไปแล้วก็ช่างประหลาดนัก ต่อให้หัวหน้าหวังและองค์ชายสี่จับได้ จะกล่าวว่าเหล่าคนที่ถูกจับเป็นคนของกบฏได้จริง ๆ หรือ”
หวังจือกล่าวว่า “จริงหรือไม่ ต้องสอบสวนก่อนจึงจะรู้”
หลี่หรงเฉิงเยาะเย้ย “น่าเสียดายที่พวกสายสอดแนมถูกองค์ชายสี่ลงโทษเฆี่ยนตีไปเสียก่อน พยานคนสำคัญที่สุดก็ตายไปแล้ว ซักถามไปย่อมไม่ได้อะไรกลับมา”
หวังจือจึงตอบกลับว่า “กองกำลังเทียนจีของกระหม่อมมีเครื่องทรมานเก้าหมื่นเก้าพันแปดร้อยสิบเอ็ดอย่าง แต่ละอย่างมีเครื่องมือหนึ่งร้อยแปดชิ้น ต่อให้ผู้อื่นเค้นความจริงออกมาไม่ได้ แต่กองกำลังเทียนจีอาจทำได้ องค์ชายแปดไม่เห็นด้วยหรือ”
ยามหวังจือผู้นี้พูดถึงเครื่องมือทรมานต่าง ๆ ในกองกำลังเทียนจี สีหน้าเขาแสดงถึงความพึงใจ อีกทั้งยังผุดรอยยิ้มร้ายขึ้นมา เหยียนจื่อมองแล้วได้แต่สั่นกลัวหวาดผวา
หวังจือพูดกับหลี่หรงเฉิงอีกหลายประโยค ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่ใช้ในการสอบสวนคดี แต่ก่อนที่จะมาพบหลี่หรงเฉิง เขาได้สอบสวนรายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าหลี่หรงเฉิงกล่าวอะไร กว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว
ดูเหมือนหวังจือไม่ได้มาเพื่อสอบถามอย่างจริงจัง แต่นำของมาแสดงต่อหน้าหลี่หรงเฉิงเพื่อตรวจสอบความจริงต่างหาก
แม้ว่าหลี่หรงเฉิงจะระมัดระวังตัวยามอยู่ต่อหน้าหัวหน้ากองกำลังเทียนจี แต่เขากับองค์รัชทายาทก็เป็นคนปฏิบัติอย่างชอบธรรม ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโกหกอะไร ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ต่อให้หวังจือถามคำถามมากมายก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรใหม่
หวังจือสอบสวนอย่างละเอียด หลี่หรงเฉิงอดถอนหายใจกับวิธีการของกองกำลังเทียนจีไม่ได้ ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะชื่นชอบกองกำลังนี้เป็นพิเศษ อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่พระองค์ไม่มีเหตุผล
หากคนผู้นี้ไม่ได้เห็นแก่ความแค้น ย่อมสามารถล้างมลทินให้แก่องค์ชายรัชทายาท แต่หากเขาจงใจป้ายความผิด ความบริสุทธิ์ขององค์รัชทายาทจะหาได้อย่างไร?
หลังจากหวังจือถามคำถามเสร็จ เขาก็คิดจะจากไป ทว่าเมื่อขันทีอวิ๋นที่เฝ้าประตูอยู่พบว่ามีคนเข้าไปในตำหนักขององค์ชายแปดก็สะดุ้งโหยง
หวังจือไม่พอใจสักเท่าไหร่
หลี่หรงเฉิงนึกถึงคำพูดที่เขาเอ่ยกับเหยียนจื่อได้ ชายหนุ่มก็กังวลใจ การแต่งงานกับชาวหุยหูนั้นล่าช้าเพราะคดีขององค์รัชทายาทก็จริง แต่หากหวังจือทูลฮ่องเต้ขึ้นมา เขาควรทำอย่างไรดี?
หรือบางที หากหวังจือที่เพิ่งกลับมาสามารถรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหยียนจื่อ บางทีฮ่องเต้ก็คงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วก็เป็นได้?
เขาเหลือบมองเหยียนจื่ออย่างไม่รู้ตัว เหยียนจื่อเองก็คิดเช่นเดียวกัน นางเหลือบมองหลี่หรงเฉิงอย่างเงียบ ๆ
หวังจือเห็นท่าทีหลี่หรงเฉิงดูแปลกไปก็หันกลับมา “องค์ชายแปด โปรดวางใจ ตอนนี้ในวังอยู่ช่วงสำคัญ ฝ่าบาทอยู่ในช่วงตึงเครียด เรื่องส่วนตัวของลูก ๆ นั้น ฝ่าบาทกับฮองเฮาล้วนไม่มีเวลาสนใจ”
หลี่หรงเฉิงแอบชมเชยสายตาแม่นยำของคนคนนี้ แม้แต่การพิจารณายังรอบคอบระมัดระวัง ถูกอ่านออกในพริบตา ไม่รู้ว่าหากคนผู้นี้เป็นศัตรูจะจัดการยากขนาดไหน?
หวังจือยิ้มพลางกล่าวว่า “หม่อมฉันอยู่ข้างกายฝ่าบาทมานานกว่าหลายสิบปี ย่อมรู้ว่าสิ่งใดควรเห็น สิ่งใดไม่ควรเห็น สิ่งใดควรพูด และสิ่งใดไม่ควรพูด พูดมาแล้วนึกถึง… เซี่ยเหย้า อดีตหัวหน้ากองกำลังที่ตายไปแล้วเสียจริง หึหึหึ…”
คาดไม่ถึงว่าหวังจือจะพูดถึงอดีตหัวหน้า เขาเห็นหวังจือปิดปากหัวเราะ
หวังจือมีบุคลิกแปลกประหลาด บางครั้งมีรอยยิ้มบนใบหน้า บางครั้งกลับเย็นชาชวนให้สับสน
กระนั้นก็ทะนงตัวยิ่ง หากสัญญาว่าจะไม่พูด เขาจะไม่มีวันปริปากออกมาแม้แต่คำเดียว
…
เวลาเที่ยง ณ ตำหนักหลินเจียง
อากุ้ยเสวยอาหารเหมือนเดิมทุกวันตั้งแต่นางได้ลิ้มลองกุ้งเมาหนวดมังกรของเหวินต้าชิง เสวยเต็มอิ่มทุกมื้อเช่นนี้ ย่อมต้องขอบคุณฟ้าดิน
แต่กุ้งเมาหนวดมังกรของเหวินต้าชิงมีสูตรลับเฉพาะ คนในห้องเครื่องหลวงไม่อาจปรุงได้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชิญเหวินต้าชิงมาอีกครั้ง โดยทุก ๆ วันเขาจะทำกุ้งเมาหนวดมังกรส่งไปให้องค์หญิงแห่งหุยหู
แต่เหวินต้าชิงมีนิสัยใจคอหยิ่งยโส เขาเป็นคนครัวมีหน้ามีตาของไทเฮา จะให้เขาทำอาหารให้แม่นางน้อยหุยหูทุกวันนั้นย่อมเป็นเรื่องยาก ทำได้ไม่กี่วันก็โดดงานไม่ทำอีก
ห้องเครื่องหลวงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความกรุณาคนครัวของตำหนักฉืออัน เหวินต้าชิงขี้รำคาน จึงเลือกให้เหยียนอี้ไปตำหนักหลินเจียงแทน
เหยียนอี้หลือบมองตำราอาหารของเหวินต้าชิงเพียงเล็กน้อยก็รู้ว่าแก่นแท้ของอาหารจานนี้คือสุราที่แพงที่สุดในเมืองหลวงอย่างปี้เย่ฮวาโหย่ว
แต่ควรเติมสุรามากแค่ไหน วิธีใดทำให้ร้อน ปรุงหนวดมังกรอย่างไรนั้น นางต้องหาวิธีเอาเอง เนื่องจากไม่มีสูตรเขียนไว้ในตำราอาหาร
ทว่าตอนนี้เหยียนอี้ใจลอย ยังคงรินสุราต่อไปเรื่อย ๆ
พูดถึงสุราปี้เย่ฮวาโหย่วแล้ว เหยียนอี้อดนึกถึงราคาสุราไหใหญ่แสนแพงและเรื่องราวตอนที่หลี่หรงอวี่สั่งให้องค์ชายแปดหลี่หรงเฉิงไปซื้อสุรามาใหม่ไม่ได้
องค์รัชทายาท… ไม่รู้ว่าที่องค์รัชทายาทถูกคุมขังในตำหนักบูรพา สถานการณ์ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?
นึกอยู่ดี ๆ นางก็ถูกหลางกวนเอ๋อร์ฟาดด้วยทัพพี เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดายยิ่ง “เหยียนซ่างซาน หยุดมือเดี๋ยวนี้ นี่กำลังทำอะไร! อมิตาพุทธ เสียเปล่าเหลือเกิน!”
นางดึงสติกลับมาหลังตกอยู่ในภวังค์ พบว่าตอนเทสุราลงบนกุ้งสด นางเผลอเทสุรามากเกินไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
สุราล้นชามใบเล็กเปื้อนเสื้อผ้าของนางจนเปียกชุ่ม บางส่วนหยดลงบนพื้น กลายเป็นแอ่งสุราขนาดใหญ่
สุรานี้เป็นสิ่งล้ำค่ามูลค่าหลายตำลึงเชียวนะ!
หลางกวนเอ๋อร์รู้สึกปวดใจมากถึงขนาดอยากนอนลงกับพื้นแล้วเลียสุราเสียให้หมด เหยียนอี้รู้สึกตัว รีบหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ด ทว่ากลับทำชามหล่นลงพื้นอีกยก สุดท้ายนางทำชามกระเบื้องสีน้ำเงินเคลือบสีขาวทั้งสองใบแตกเป็นชิ้น ๆ
“อมิตาพุทธ เหยียนซ่างซาน วันนี้ทำของหล่นไปกี่อย่างแล้ว!” หลางกวนเอ๋อร์บ่น
“ขอโทษ… ข้าขอโทษ” เหยียนอี้กล่าว แต่ท่าทางดูเหมือนไม่รู้สึกผิดนัก อาจเพราะนางไม่จำเป็นต้องขอโทษเรื่องเหล่านี้กับหลางกวนเอ๋อร์
“เหยียนซ่างซาน วันนี้สีหน้าดูไม่ดีเลย เพิ่งจะเริ่มทำก็เหม่อลอยแล้ว” หลางกวนเอ๋อร์ถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไร? ไหวหรือไม่? ไม่ใช่ว่าป่วยนะ?”
เหยียนอี้สัมผัสหน้าผากของนางโดยไม่รู้ตัว อุณหภูมิร่างกายยังปกติ นางจึงพูดกับหลางกวนเอ๋อร์ว่า “ข้าสบายดี”
“สบายดีตรงไหน เห็นอยู่ว่าดูไม่ค่อยดี ปกติไม่เคยดูสับสนขนาดนี้ไม่ใช่หรือ” หลางกวนเอ๋อร์พึมพำ “ไปทำเรื่องลาหยุดแล้วกลับไปพักเถอะ”
แต่เหยียนอี้กล่าวว่า “เหวินหยูฉู่เพิ่งให้ข้าดูแลงานในตำหนักหลินเจียง หากบอกไปว่าข้าไม่สบาย ต้องไปพักผ่อน จะไม่ทำให้คนในห้องเครื่องรู้สึกว่าพวกเราคนจากตำหนักฉืออันไม่ทำหน้าที่ ปฏิบัติไม่ดีต่อองค์หญิงอากุ้ยลี่หรือ?
“ข้าไม่เป็นไร เจ้ามาเมากุ้งแทนข้าเถิด ข้าจะไป… ข้าจะไปเอาหนวดมังกรเอง”
หลางกวนเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมปล่อยเหยียนอี้ทำอาหารต่อไป
หนึ่งก้านธูปต่อมา ‘กุ้งเมาหนวดมังกร’ ของเหยียนอี้ก็เสร็จเรียบร้อย
หนวดของมังกร เดิมทีทำโดยการเด็ดหนวดของปลาหลีฮื้อเป็น ๆ แต่ปลาหนึ่งตัวมีหนวดกี่เส้นกันเชียว จะทำจานนี้ออกมาได้นั้นย่อมต้องสังหารปลาเป็นจำนวนมาก
เหยียนอี้รู้สึกว่าวิธีนี้ใช้พลังงานค่อนข้างมาก องค์หญิงอากุ้ยลี่ทานอาหารจานนี้ทุกวัน เนื้อปลาหลีฮื้อที่เหลือก็ถูกใช้ทำอาหารในห้องเครื่องทุกวัน
บุรุษร่างใหญ่ก็ไม่อาจกินเนื้อปลาได้ทุกวัน เหยียนอี้จึงเปลี่ยนไปใช้ถั่วงอกทำ ‘หนวดมังกร’ แทน
ดังนั้นเมื่ออาหารจานนี้ถูกยกขึ้นโต๊ะ องค์หญิงอากุ้ยลี่ที่ยังไม่ได้เสวยก็เห็นว่าอาหารจานนี้ไม่ถูกต้อง นางจึงขอให้คนมาแจ้งว่านางต้องการพบคนครัวที่ทำอาหารจานนี้