ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 13 บทที่ 379 เจ้ารู้จักคุณชายหลัวยวี่หรือไม่
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 13 บทที่ 379 เจ้ารู้จักคุณชายหลัวยวี่หรือไม่
เซี่ยยวี่หลัวยังมีสติแจ่มชัด “ในยามนั้น เจ้ารังเกียจข้าถึงเพียงนั้น ข้าจะกล้าพูดความจริงได้อย่างไร กลัวว่าเจ้าจะโยนของที่ข้ามอบให้ทิ้งไป และกลัวพี่เซียวยิงจะไม่ให้ข้าคัดตำราด้วย! ”
ตอนนั้นนางยังกังวลอีกเรื่องหนึ่ง กลัวว่าจะถูกคนอื่นคิดว่าเป็นปีศาจ
เซี่ยยวี่หลัวในนิยาย เป็นคนไม่รู้หนังสือ แทบไม่รู้จักตัวหนังสือสักตัว จะคัดตำราด้วยตัวหนังสือที่ดูดีถึงเพียงนั้นได้อย่างไร
หลอกเด็กสองคนนั้นยังพอได้ แต่หากเป็นผู้ใหญ่เกรงว่าคงคิดว่านางเป็นปีศาจจริงๆ
เซียวยวี่หัวเราะเสียงเบา แต้มปลายจมูกของนางเบาๆ กล่าวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เด็กโง่”
เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามเขาด้วยความงุนงง “ข้าโง่ที่ไหนกัน? ” ทั้งที่ฉลาดเพียงนี้ ทั้งหาเงินได้ ทั้งทำให้ท่านราชบัณฑิตน้อยชอบ คราวนี้ยิ่งไม่ต้องตายแล้ว นางเป็นคนที่ฉลาดที่สุดต่างหาก
เซียวยวี่ยิ้มด้วยความเอ็นดู “ใช่ เจ้าฉลาดที่สุด! ” ฉลาดจนข้ามอบใจทั้งดวงให้เจ้า
ความจริงก็เป็นเช่นนี้!
ทั้งสองคนโอบกอดกันอีกครู่หนึ่ง เซี่ยยวี่หลัวอยากนอนแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าในห้องยังมีจื่อเมิ่งอยู่อีกคน!
สวรรค์ นางกับเซียวยวี่ทำเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าถูกเด็กเห็นแล้วกระมัง?
“นางไม่อยู่ที่นี่”
“เอ๋? ไหนว่านางจะนอนกับข้าไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไปเล่า? ” เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกประหลาดใจ
เซียวยวี่ขานตอบทีหนึ่ง ก่อนกล่าว “บางทีอาจนอนกับพี่รองของนางจนเคยชิน จึงไปกับอาเซวียนแล้ว”
เซี่ยยวี่หลัวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ง่วงหรือยัง? พักผ่อนเถอะ? ” เซียวยวี่พยุงนาง มองดูนางนอนลงบนเตียง
“ข้าก็ง่วงแล้วเช่นกัน…” เซียวยวี่กล่าว เขาเองก็คิดจะนอนลงเพื่อนอนหลับ
เซี่ยยวี่หลัวกล่าว “วันนี้เจ้าก็เหนื่อยแล้ว รีบกลับไปนอนเถอะ! ”
“…”
รองเท้าที่เพิ่งถอดไปได้ครึ่งหนึ่ง เซียวยวี่ได้แต่สวมกลับเข้าไปเงียบๆ
“อืม ได้ ตอนเย็นข้าจะมาหาเจ้า” เซียวยวี่กล่าวอย่างไม่อาจตัดใจได้ ช่าง…
ฉลาดเกินไปจนพลาดท่าเสียเอง
เหตุใดต้องกล่าวประโยคนั้นด้วย นอนลงไปเลยก็พอไม่ใช่หรือ
หากนอนลงไป อาหลัวก็จะประหม่าเกินกว่าจะไล่เขาไป
เดินผ่านประตูห้องของเซียวจื่อเซวียน ยังได้ยินเสียงพูดคุยของเด็กสองคน เซียวยวี่เคาะประตู “อาเซวียน เจ้ามาครู่หนึ่ง”
ตอนเซียวจื่อเซวียนเปิดประตูยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม พอเห็นว่าพี่ใหญ่มองตัวเองด้วยแววตาขึงขัง เซียวจื่อเซวียนก็ยิ้มไม่ออกทันที
“พี่ใหญ่…”
“วันนี้พี่เซียวยิงมา ถามข้าเรื่องหนึ่ง” เซียวยวี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าบอกเขาว่า นิทานเรื่องซีโหยวจี้ ข้าเป็นคนเล่าให้เจ้าฟัง? ”
เซียวจื่อเซวียนรู้สึกขนหัวลุก “…”
“ก่อนที่ตำราซีโหยวจี้จะออกวางขาย เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวในนั้น? ”
ตอนนั้นเซียวยวี่อธิบายกับเซียวยิง ว่าเขาเคยได้ยินมาเพียงเล็กน้อย จึงไม่รู้เรื่องราวหลังจากนั้น เซียวยิงจึงกลับไปด้วยความผิดหวัง
เซียวยวี่เพิ่งรู้เรื่องราวของซีโหยวจี้ภายหลังจากสอบเสร็จ
แต่เซียวจื่อเซวียนรู้จักนิทานเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนที่ตำราจะออกวางขายเสียอีก
เซียวจื่อเซวียนบุ้ยปาก ไม่กล่าวอะไรอยู่นาน “ข้า…” บอกไม่ได้นี่นา หากบอกไปพี่สะใภ้ใหญ่ต้องตำหนิเขาแน่!
เซียวยวี่เห็นท่าทางลำบากใจของเขา จึงใจอ่อนลงเช่นกัน “ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า เพียงแต่… เจ้ารู้จักคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้หรือไม่? ”
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ ยามเขารู้ว่าเซียวจื่อเซวียนรู้นิทานเรื่องนี้ก่อนผู้อื่น เขาแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
คุณชายหลัวยวี่ บุคคลที่มีความสามารถล้นเหลือผู้นั้น หรือว่าเซียวจื่อเซวียนจะรู้จักเขา?
เซียวจื่อเซวียนเห็นท่าทางตั้งตารอคอยของพี่ใหญ่ ก็ผงะไป พี่ใหญ่ไม่ได้โมโห? กลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก?
หัวใจของเขาที่ตกใจจนแทบกระโดดออกมาจึงสงบลง
“คือ พี่ใหญ่ นิทานเรื่องนี้ข้าเพียงแค่เคยได้ยินคนอื่นเล่ามา รู้สึกว่าสนุกจึงจดจำไว้ขอรับ” เซียวจื่อเซวียนจงใจไม่กล่าวถึงเรื่องที่รู้จักหรือไม่รู้จักคุณชายหลัวยวี่
เซียวยวี่ได้ฟังดังนั้น แววตาพลันมืดหม่น “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เจ้ากลับไปนอนเถอะ! ”
เซียวจื่อเซวียนขานตอบทีหนึ่ง ก่อนเดินไปด้วยความดีใจ เมื่อหันกลับไปเห็นพี่ใหญ่ที่มีท่าทางใจลอย ภายในใจเซียวจื่อเซวียนรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก
ฮ่าฮ่า ไม่บอกท่านเสียอย่าง
คุณชายหลัวยวี่ตัวจริง อยู่ไกลสุดขอบฟ้า แต่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!
เซียวจื่อเซวียนรู้สึกได้ใจยิ่งนัก ราวกับได้เอาคืนอย่างไรอย่างนั้น รู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่าอะไร ใครให้ท่านให้ข้าเขียนหนังสือเพิ่มเล่า!
จนถึงตอนนี้ก็ยังปวดแขนอยู่!
เบาะแสเรื่องคุณชายหลัวยวี่จึงหายไปแต่เพียงเท่านี้
เซียวยวี่รู้สึกเสียดายยิ่งนัก ทว่า ขอเพียงเป็นผู้เลื่องชื่อ ย่อมมีสักวันหนึ่ง ที่เขาจะได้พบคุณชายหลัวยวี่ที่ถูกกล่าวขานผู้นี้!
เซี่ยยวี่หลัวนอนหลับอย่างสบาย พลิกตัวด้วยความอิ่มเอม
เซียวหมิงจูดีขึ้นมากแล้ว ช่วงกลางวันจะนั่งอยู่ในศาลบรรพชน มองดูท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาวที่อยู่ภายนอกศาลบรรพชน ไม่กล่าวอะไร เพียงนั่งอย่างนิ่งสงบ
เซียวหยวนป้อนน้ำป้อนข้าวให้นาง เซียวหมิงจูล้วนไม่ปฏิเสธ ให้อะไรก็กินทุกอย่าง
เมื่อเห็นว่าแสงสุดท้ายที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างศาลบรรพชนหายไป เซียวหยวนจึงจุดไฟตะเกียงน้ำมัน
แสงไฟสั่นไหว เซียวหมิงจูเอ่ยถามเรื่องที่รู้สึกสงสัยมาตลอดหลายวัน “พี่อาหยวน ระยะนี้ข้าเป็นอะไรไป? เหตุใดกลางคืนถึงนอนไม่ตื่นเลย? ”
พอฟ้ามืด ก็นอนหลับ นอนจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เดิมทีนอนหลับนานถึงเพียงนั้น ควรจะรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก แต่พอตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้น ตัวนางยังคงรู้สึกสะลึมสะลือ มีแต่ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนนอนไม่พอ
เซียวหยวนป้อนน้ำอีกหนึ่งคำ ยิ้มพร้อมกล่าว “บางทีอาจเพราะเจ้าคิดมากเกินไป กังวลมากเกินไป แม้แต่ตอนนอนในช่วงกลางคืนก็ยังคิด คนเราหากคิดมากเกินไป ก็จะปวดหัวไม่ใช่หรือ? ”
จริงด้วย นางคิดมากเกินไป
เซียวหมิงจูถอนหายใจทีหนึ่ง ดื่มน้ำคำสุดท้ายลงไป
ท้องฟ้าภายนอกมืดแล้ว เดิมทีเซียวหมิงจูคิดจะไม่นอนเร็วเกินไปในคืนนี้ พยายามฝืนตัวเองอยู่ตลอด ทว่า ผ่านไปเพียงไม่นาน เปลือกตาก็เหมือนจะตีกัน ฟ้ามืดแล้ว นางจะนอนหลับอีกแล้ว
ร่างกายที่เมื่อครู่ยังพิงอยู่บนเสา ค่อยๆ ไถลลงไป เหมือนกับปลาหนีชิวที่ใกล้ตายตัวหนึ่ง
เซียวหยวนหันมองเซียวหมิงจูที่ไถลลงไปนอนบนพื้นและไม่รับรู้อะไรอีก ตวัดมุมปากเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ
ตอนหลัวไห่ฮวามา ก็ผลักเปิดประตูเข้าไป
เซียวหยวนนอนหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว บัดนี้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลัวไห่ฮวาหนหนึ่งเสร็จ หลัวไห่ฮวาจึงชี้ไปทางเซียวหมิงจูที่หลับสนิทราวกับสุกร หัวเราะอย่างดูแคลนพร้อมกล่าว “ยานี่ใช้ได้ใช่หรือไม่? ”
เซียวหยวนยิ้มพร้อมกล่าว “เจ้าคิดว่าอย่างไร? จะลองดูอีกหรือไม่? ”
“ลองก็ลอง คราวนี้ข้าจะร้องเสียงดังขึ้นอีก! ”
“นางหญิงร่าน! ” เซียวหยวนดึงขานางลง พร้อมสบถทีหนึ่ง
ในหมู่บ้านสกุลเซียวมีคนล่าสัตว์อยู่ไม่น้อย เหมือนกับเซียวไฉซุ่น ที่จะขึ้นเขาหลังเที่ยงคืน จับสัตว์ที่ติดกับดักที่ตัวเองวางไว้ก่อนหน้านั้นกลับมา ด้วยกลัวว่าหากไปตอนเช้าจะสายเกินไป ถูกคนอื่นเก็บไป แล้วค่อยเตรียมกับดักอันใหม่ หากเป็นช่วงที่มีสัตว์ให้ล่าจำนวนมาก ก็จะล่าสัตว์ได้ทุกวัน
เซียวจินมักจะถูกเถียนเอ๋อรังเกียจ ด้วยว่าทั้งปีคนในบ้านได้กินเนื้อไม่ถึงสองเหลี่ยง พอบ่นมากเข้า เซียวจินก็คิดลู่ทางอื่นได้
ให้เขาไปล่าสัตว์หรือวางกับดักนั้นเขาทำไม่เป็น ทว่า ทำไม่เป็นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้กิน
ขอเพียงเขาไปถึงเร็วกว่าคนล่าสัตว์เหล่านั้น หาตำแหน่งที่มีกับดักวางไว้ ก็หาเหยื่อได้แล้วไม่ใช่หรือ?