ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 703 เซี่ยไห่ปะทะโจวลี่หรง
ตอนที่ 703 เซี่ยไห่ปะทะโจวลี่หรง
…………….
ตอนที่ 703 เซี่ยไห่ปะทะโจวลี่หรง
หลินเซี่ยหันไปทางโจวลี่หรงแล้วถามว่า “คุณแม่ ชื่อนี้ไม่ดีเหรอคะ”
โจวลี่หรงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่ดีน่ะสิ หลานเกิดปีมะเมีย ตั้งชื่อว่าเสี่ยวหู่มันไม่เข้ากัน”
เซี่ยไห่จึงโต้กลับไปอย่างโมโห “แล้วจะให้ชื่อว่าหม่าหู่*อย่างนั้นเหรอ?”
(*马虎 แปลตรงตัวว่าม้าเสือ แต่เป็นคำแสลงที่แปลว่าเหลาะแหละ ประมาทเลินเล่อ)
ทุกคน “!!!”
หลินเซี่ยไม่ยอมรับในชื่อนี้เช่นกัน
ใบหน้าของเธอยังคงมีรอยยิ้ม พยายามไม่ถือสาโจวลี่หรง พลางหันไปทางเฉินเจียเหอซึ่งเป็นคนตั้งชื่อให้
ถ้าแม่ของเขาไม่พอใจ ก็ต้องดูว่าเฉินเจียเหอจะจัดการอย่างไร
เฉินเจียเหอแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเช่นกัน
“ผมว่ามันก็เพราะดี ชื่อจริงอาจจะตั้งให้จริงจังหน่อย แต่เรียกชื่อเล่นว่าเสี่ยวหู่ก็ได้ ให้ความรู้สึกน่ารักแก่นเซี้ยวดีออกครับ”
โจวลี่หรงไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก “ฉันว่าพวกเธอลองคิดดูใหม่อีกทีเถอะ เปลี่ยนชื่อใหม่น่าจะดีกว่า”
เซี่ยไห่มองโจวลี่หรงที่นั่งทำหน้าบึ้งใส่แล้วก็มองไปทางหลานทั้งสองคนเป็นการกดดัน เขาก็อดทนไม่ไหวแล้ว พูดกับโจวลี่หรงด้วยรอยยิ้มมุมปากว่า
“พูดตรงๆ ก็คือคุณไม่อยากให้ชื่อหลานชายแท้ ๆ ไปเกี่ยวข้องกับหู่จือใช่ไหมล่ะ คุณอยากให้คนรู้ว่าเด็กสองคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน และหู่จือไม่ใช่คนในครอบครัวของคุณใช่ไหม”
โจวลี่หรงเลือกที่จะเงียบต่อคำถามของเซี่ยไห่
แน่นอนว่าความเงียบได้บอกทุกอย่างแล้ว
ท่าทีของหล่อนทำให้เซี่ยไห่โมโหมากกว่าเดิม
เห็นได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา โจวลี่หรงไม่เคยยอมรับหู่จือจากใจจริง
ตอนนี้เมื่อมีหลานชายแท้ ๆ ของตัวเองแล้ว ก็ยิ่งมองหู่จือแปลกแยกไปอีก
“สหายโจวลี่หรง เมื่อก่อนตอนที่เจียเหอเลี้ยงหู่จือ คุณก็คอยขัดขวาง จะให้ผมพูดเตือนความจำดีไหมว่าคุณทำอะไรไว้บ้าง?” เซี่ยไห่ถามพลางจ้องหล่อนด้วยสายตาเฉียบคม
เรื่องไหนที่เกี่ยวกับหู่จือ เซี่ยไห่จะหัวร้อนเป็นพิเศษ
และไม่จำเป็นต้องเกรงใจโจวลี่หรง
เมื่อโจวลี่หรงใจร้ายมา เขาก็รู้วิธีจะจี้จุดหล่อนกลับได้เหมือนกัน
“เจียวั่งได้รับบาดเจ็บยังไงผมจะไม่พูดมาก คุณคิดดูเอาเองก็แล้วกัน”
โจวลี่หรงหน้าซีดในทันทีเพราะคำพูดของเซี่ยไห่
“เซี่ยเซี่ยเปลี่ยนชื่อซะสิ ไปตั้งชื่อหลานที่แม่สามีเธอชอบ”
เขาทำหน้าบึ้ง แล้วมองไปที่เฉินเจียเหอพร้อมกับพูดเสียงแข็ง “ถ้าตระกูลเฉินยอมรับหู่จือไม่ได้ ก็ให้หู่จือมาอยู่กับฉัน ฉันจะเลี้ยงเขาแล้วให้เขาเรียกผมว่าพ่อ แล้วฉันจะได้มีลำดับญาติขั้นเดียวกับนาย”
เซี่ยไห่พูดกับเฉินเจียเหอเสร็จก็ดึงแขนหลานสาว “เซี่ยเซี่ย เธอเลี้ยงลูกเธอให้ดี ฉันจะกลับแล้ว ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีที่สำหรับพวกเราแล้วล่ะ”
เซี่ยไห่เป็นคนขี้โมโหโดยเฉพาะเรื่องหลานชาย
ที่ทำให้เขาโกรธคือ หลานชายเป็นลูกที่หลานสาวของตนเองตั้งท้องและอดทนลำบากมาสิบเดือนแท้ๆ ทำไมแค่เรื่องตั้งชื่อเล่นยังต้องให้แม่สามีมาจุ้นจ้านอีก
หลานสาวเขาเป็นแค่เครื่องมือผลิตลูกให้กับตระกูลเฉินเท่านั้นเหรอ
คิดว่าหลานมีนามสกุลของเฉินเจียเหอ แล้วจะเป็นแค่สมบัติของตระกูลเฉินงั้นเหรอ
เฉินเจียเหอรีบห้ามเซี่ยไห่ที่โกรธจัดจนจะเดินออกไป “อารอง ใจเย็น ๆ ก่อน”
เฉินเจียเหอในฐานะพ่อ ก็ต้องแสดงจุดยืนของตนเอง
เขาหันไปพูดกับโจวลี่หรง “แม่ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว สรุปว่าชื่อเล่นของหลานชายคือเสี่ยวหู่ ทีหลังไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ”
เฉินเจียเหอหน้าเครียด แผ่รังสีกดดันอันทรงพลังออกมาจากตัวเขา “อยากจะมีลำดับญาติเสมอผมเหรอ ผมไม่ยอมหรอก”
เฉินเจียเหอพูดเพียงสองประโยค ก็สยบความวุ่นวายของการตั้งชื่อได้โดยสิ้นเชิง
เซี่ยไห่เห็นว่าเฉินเจียเหอพูดเข้าหู ก็อารมณ์เย็นลง
แต่โจวลี่หรงกลับมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเอาเสียเลย
หล่อนคาดไม่ถึงว่าเฉินเจียเหอจะไม่ให้เกียรติตนขนาดนี้
โดยเฉพาะต่อหน้าพ่อตาแม่ยายของเขา
ตาชั่งของเขาช่างเอนเอียงเหลือเกิน
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงรู้สึกอึดอัดใจ พวกเขาพูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย งั้นพวกเราขอกลับก่อนนะ ลูกพักผ่อนให้เยอะ ๆ นะ”
“ได้เลยค่ะ พ่อ แม่ อารอง กลับกันดี ๆ นะคะ”
หลินเซี่ยหันไปสั่งแม่ของเธอด้วยความห่วงใย “แม่ กลับบ้านก็ไปพักผ่อนให้เยอะ ๆ นะ เมื่อคืนแม่แทบไม่ได้นอนเลย”
พอเด็กน้อยร้องไห้ขึ้นมาตอนกลางคืน เฉินเจียเหอกับแม่ของเธอก็ต้องตื่นขึ้นมาชงนม เปลี่ยนผ้าอ้อม ยุ่งเหยิงไปหมด
ต่างคนต่างก็ไม่มีประสบการณ์ ทำเอาวุ่นวายไปหมดทั้งคืน
เฉินเจียเหอไม่พูดอะไร สีหน้าเคร่งขรึม ก้มหน้าก้มตาจัดโน่นจัดนี่ โจวลี่หรงจึงพูดขึ้น
“แม่คะ กลับบ้านไปก่อนก็ได้นะคะ ตอนนี้แค่เจียเหอคนเดียวก็น่าจะจัดการได้ค่ะ”
แม้โจวลี่หรงจะยังขุ่นเคืองใจอยู่ แต่หล่อนก็เป็นห่วงเฉินเจียเหอที่ต้องดูแลหลินเซี่ยกับหลานชายคนเดียว
ผู้ชายคนเดียววุ่นวายกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ คงจัดการไม่ทันแน่
“ฉันกลับไปก็อยู่บ้านว่างๆ ฉันมาดูแลหลานดีกว่า” โจวลี่หรงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็ยังไม่คิดจะไปไหน
ตอนที่พวกเซี่ยไห่ออกไป โจวลี่หรงก็มีมารยาท ตามออกไปส่งและพูดคุยกับพวกเขาตามปกติ
หลินเซี่ยเห็นท่าทีของแม่สามีแล้วก็ต้องยอมรับในใจว่าหล่อนมีจิตใจแข็งแกร่งจริง ๆ
ถ้าเป็นคนอื่นคงรับไม่ได้ที่ตัวเองขายหน้าขนาดนี้
คงจะร้องไห้แล้ววิ่งหนี
หลินเซี่ยอดสงสารไม่ได้จึงเอ่ยขึ้น “คุณแม่ นั่งเถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เมื่อย มีผ้าอ้อมที่ใช้แล้วไหม ฉันจะซักให้” โจวลี่หรงถามหลินเซี่ย
“ไม่มีค่ะ เมื่อคืนเฉินเจียเหอซักหมดแล้ว”
โจวลี่หรงพูดกับเฉินเจียเหอที่เพิ่งเดินเข้ามา “ต่อจากนี้ฉันจะทำเอง”
แล้วหล่อนก็เดินไปนั่งข้างหลานชาย มองหลานชายด้วยสายตาอ่อนโยนและเริ่มเล่นกับหลาน
โจวลี่หรงที่เล่นกับหลานแทบไม่เหมือนกับเมื่อกี้
หลินเซี่ยเพิ่งเคยเห็นโจวลี่หรงยิ้มอย่างอบอุ่นและรักใคร่เช่นนี้
และยังพูดจาแกล้งเด็กเป็นอีกด้วย
เด็กเป็นสิ่งที่เยียวยาจิตใจคนได้ดีที่สุดจริงๆ
โจวลี่หรงเล่นกับหลานอยู่ตรงนั้น ไม่ได้พูดอะไรกับเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยเลย
หลินเซี่ยที่นั่งก็ไม่ได้ นอนก็ไม่ได้ รู้สึกเบื่อจนอยากจะแคะเท้าเล่น
เฉินเจียเหออยากจะพูดอะไรดี ๆ กับภรรยาตัวเอง ติดที่แม่ของเขานั่งอยู่ตรงนั้น เขาจึงไม่กล้าพูด
พูดตามตรง เขาที่อายุสามสิบแล้วก็ยังคงเกร็งผ่อนคลายไม่ได้ยามอยู่ต่อหน้าแม่
หลินเซี่ยนอนราบลง เตรียมจะนอน
เฉินเจียเหอเห็นภรรยาของเขาจะนอนแล้ว ก็รีบดึงผ้าห่มมาห่มให้เธอ
“คุณคุยกับแม่หน่อยสิคะ”
“อืม คุณนอนพักซะนะ”
เฉินเจียเหอก็อยากจะคุยกับโจวลี่หรงจริงๆ
เขาอยากให้หล่อนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเจ้าหน้าที่ทางการเสียที
มันน่าอึดอัดใจจริงๆ เขาเองก็ลำบากใจที่ตัวเองต้องคอยเป็นคนกลางแบบนี้
“แม่ครับ เอ่อ….” เฉินเจียเหอมีสีหน้าลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
โจวลี่หรงหันมาเห็นร่างสูงใหญ่ของลูกชายยืนอยู่ หล่อนถามขึ้น “มีอะไรก็พูดมา”
“เวลาญาติ ๆ มาเยี่ยมหลาน แม่ไม่ต้องเน้นย้ำให้ล้างมือก่อนตลอดเวลาก็ได้”
เฉินเจียเหอมองสบู่ที่แม่เขาตั้งทิ้งไว้ในมุมห้อง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
เย่ไป๋ที่เป็นหมอยังไม่เรื่องมากขนาดนี้เลย
เด็กใส่เสื้อผ้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องทะนุถนอมมากขนาดนี้
เขาคิดเสมอว่าควรเลี้ยงเด็กแบบหยาบๆ หน่อย
ให้เขาปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม ภูมิคุ้มกันถึงจะแข็งแรง
การเลี้ยงแบบทะนุถนอมจนเกินไปกลับจะยิ่งทำให้เด็กป่วยง่าย
“ไม่ให้ล้างมือก่อนอุ้มหลาน ไม่คิดว่าจะมีเชื้อโรคเหรอ” โจวลี่หรงสีหน้าจริงจังมองเขา พูดว่า “เด็กเล็กแบบนี้ไม่มีภูมิคุ้มกันเลยนะ ถ้าไม่ระวังแล้ว ตอนเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะทำยังไง”
“ตอนแม่เลี้ยงพวกผมตอนเด็ก ๆ ก็เลี้ยงแบบนี้เหรอครับ”
ได้ยินเฉินเจียเหอพูดแบบนี้ สีหน้าของโจวลี่หรงยิ่งแย่ลง “ตอนพวกแกเด็กๆ สภาพความเป็นอยู่มันลำบาก ตอนนี้มีโอกาสสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าให้หลาน ทำไมต้องไปเปรียบเทียบกับตอนที่เลี้ยงพวกแกด้วย”
โจวลี่หรงยกความรู้ที่น่าเชื่อถือมาพูด “ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กมาเยอะแล้ว เรื่องสุขอนามัยต้องเคร่งครัด ต่อไปนี้ไม่ว่าใครจะมากอดลูกก็ต้องล้างมือ”
โจวลี่หรงพอลาเกษียณก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมาหลายเล่ม ได้เรียนรู้วิธีเลี้ยงลูกจากหนังสือ
อย่างแรก ในหนังสือบอกว่าต้องรักษาสุขอนามัยให้ดี เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของโรคมาจากการกิน
เฉินเจียเหอขยี้หัวคิ้วอย่างปวดหัว
เจ้าหน้าที่ทางการเก่าหัวดื้อคนนี้…เขาเปลี่ยนความคิดที่หล่อนคิดว่าถูกต้องไม่ได้เลย
เฉินเจียเหอเดินไปมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ได้ยินโจวลี่หรงเตือนเบาๆ ข้างหลังว่า “แกก็ไปล้างมือด้วย ซักผ้าอ้อมเสร็จแล้วมาป้อนข้าวให้เซี่ยเซี่ย แล้วก็อย่าเอามือแกไปจับหน้าลูก”
เฉินเจียเหอ “!!!”
“ได้ ผมจะออกไปล้างมือ” เฉินเจียเหอเห็นว่าหลินเซี่ยหลับไป เขาก็อยู่ต่อไม่ได้แล้ว คิดว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนที่มีทิฐิสูงก็งี้ ยอมแตกหักแต่ไม่ยอมปรับตัว เสร็จแล้วก็มาบ่นว่าทำไมไม่มีใครเข้าหาตัวเองเลย
ไหหม่า(海馬)
…………….