ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 701 ลูกไม่เหมือนคุณเลย
ตอนที่ 701 ลูกไม่เหมือนคุณเลย
…………….
ตอนที่ 701 ลูกไม่เหมือนคุณเลย
ในโรงพยาบาลตอนนี้ หลิวกุ้ยอิงกำลังชงนมผงให้หลาน หล่อนตั้งใจไปตามพยาบาลมาสอนว่าจะต้องใส่น้ำและนมผงในอัตราส่วนเท่าไร
พยาบาลก็ย้ำเตือนหล่อนซ้ำๆ ว่าต้องรักษาความสะอาด
แม้หลิวกุ้ยอิงจะมีลูกสาวสองคน แต่ทั้งคู่ต่างก็เลี้ยงด้วยนมแม่ ซึ่งหล่อนมีน้ำนมไม่พอเลี้ยงเสิ่นอวี้อิ๋งตอนเล็ก ๆ จึงต้องให้เด็กน้อยกินน้ำข้าวต้มเสริม
หลินเยี่ยนก็เช่นกัน ไม่เคยกินนมผงเลย
ดังนั้นหล่อนจึงไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้เลย
หล่อนตั้งใจชงนมผงตามวิธีที่พยาบาลสอน จากนั้นก็ถือขวดนมป้อนให้เขา
เด็กน้อยได้กินนมอิ่มแล้ว ก็หลับไปอีก
หลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่ที่ข้างเตียง มองหลินเซี่ยแล้วถามว่า “เซี่ยเซี่ย ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“แม่ ฉันรู้สึกว่าหลังจากดื่มน้ำซุปแล้วมีแรงขึ้นเยอะเลยค่ะ”
ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของหลินเซี่ย เพียงผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง เธอก็รู้สึกเหมือนพลังทั้งตัวกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง นอนนิ่งอยู่ไม่ได้ จึงลุกขึ้นนั่ง
หลิวกุ้ยอิงเห็นว่าหลินเซี่ยมีอาการดีขึ้นแล้ว นอนอยู่เฉยๆ ไม่ได้และลุกขึ้นมานั่งตัวตรง จึงพูดว่า “งั้นตอนนี้ลองให้ลูกดูดนมดู ว่าจะดูดออกมาได้ไหม”
หากเป็นสมัยพวกหล่อน เด็กจะหานมผงกินได้จากที่ไหน?
พอคลอดเสร็จก็ต้องรีบให้ลูกดูดนม
ดูดไม่ได้ก็ต้องหาวิธี
เอาเป็นว่าต้องคิดหาวิธีให้ลูกกินนมให้ได้
ไม่งั้นก็ต้องอดตาย
“อะไรนะ ตอนนี้เหรอคะ”
หลินเซี่ยรู้สึกอายนิด ๆ
“ไม่เป็นไร ลองดูก่อน”
หลินเซี่ยเหลือบมองเฉินเจียเหอแล้วอดยิ้มไม่ได้ พูดว่า “คุณออกไปก่อนเถอะค่ะ”
เฉินเจียเหอก็หมุนตัวออกไปทันทีอย่างว่าง่าย ปิดประตูพร้อมกับยืนเฝ้าที่หน้าห้อง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยเห็นและลูบคลำเธอทุกซอกทุกมุม แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะได้เป็นแม่คน เลยรู้สึกเขินอายขึ้นมานิดหน่อย เขาจึงออกไปโดยไม่ลังเล
ขณะที่เฉินเจียเหอออกไป หลิวกุ้ยอิงก็สอนวิธีอุ้มลูก วิธีให้นมลูกกับเธอ
สรุปว่าท่าทางถูกต้องทุกอย่าง แต่น้ำนมกลับไม่ออก
เหมือนเด็กน้อยจะยังดูดไม่เป็น
ดูดกี่ทีน้ำนมก็ไม่ออก ประกอบกับหนูน้อยคงหมดความอดทนแล้ว เลยเริ่มขยับศีรษะ
หลินเซี่ยใช้มือออกแรงกดศีรษะลูกกับหน้าอกเบาๆ ปรากฏว่าลูกร้องออกมาเสียงดัง
แต่ไม่ยอมดูดนม
“แม่ นมยังไม่ออกเลยค่ะ” หลินเซี่ยรีบอุ้มลูกที่ร้องไห้จ้า
หลิวกุ้ยอิงรับหลานไปอุ้มปลอบในอ้อมแขน
หล่อนถามฉันว่า “รู้สึกยังไง คัดนมไหม”
“คัดนิดหน่อย” แต่กระนั้นน้ำนมก็ยังไม่ไหล
“นั่นหมายความว่าหัวนมยังไม่เปิด”
“แล้วต้องทำยังไงต่อคะ”
หลิวกุ้ยอิงก็ไม่รู้จะทำยังไง สมัยที่หล่อนยังสาวกว่านี้ หล่อนใช้วิธีแบบบ้านๆ ซึ่งหลินเซี่ยคงไม่ใช้แน่
จึงให้เฉินเจียเหอวิ่งไปถามหมอ
คนที่อยู่เวรเป็นหมอวัยกลางคนผู้ใจดี เป็นคนเดียวกันกับที่รับผิดชอบในการคลอดให้กับหลินเซี่ยในเวลานี้
เฉินเจียเหอกลับมา ใบหน้าของเขามีสีแดงระเรื่อ แววตาบอกไม่ถูก
หลิวกุ้ยอิงรีบตรงไปซักถาม “เจียเหอ คุณหมอบอกว่ายังไง?”
เฉินเจียเหอมองหลินเซี่ยแล้วยิ้มให้ “แม่ ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ก็หายแล้ว”
“อ้าว” หลิวกุ้ยอิงถึงกับคิดหนัก ถ้าไม่คิดหาวิธีแล้วพรุ่งนี้จะหายได้อย่างไร
กลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่มีน้ำนมด้วยซ้ำ
เฉินเจียเหอหันไปชงนมผงให้กับเด็ก “คืนนี้ให้กินนมผงไปก่อน”
หลิวกุ้ยอิงจำใจต้องป้อนนมผง และจากนั้นก็ไปที่ห้องครัวหลังโรงพยาบาลเพื่อต้มโจ๊กให้หลินเซี่ย
หลินเซี่ยหันไปมองเฉินเจียเหอด้วยความสงสัยและถามว่า “พรุ่งนี้จะหายจริงๆ เหรอ?”
“อืม” เฉินเจียเหอกระซิบข้างหูเธอและพูดอะไรบางอย่าง
หลินเซี่ยผลักเขาออกไปอย่างเขินอาย
ที่นี่เป็นโรงพยาบาล เขากำลังพูดบ้าอะไรอยู่?
ให้เขาทำหรือ?
หลินเซี่ยแค่คิดภาพนั้นก็อายแทบมุดดิน
เฉินเจียเหอเห็นเธอจ้องตาขวางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ใบหน้าขาว ๆ แดงก่ำ เขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังมาก “ที่รัก ผมพูดจริงนะ หมอบอกมาแบบนี้เลย เด็กยังเล็ก แรงดูดยังน้อย ถ้าเราไม่หาทาง เขาจะดูดนมจากเต้าไม่ได้ คุณเองก็จะรู้สึกไม่สบาย”
เฉินเจียเหอนั่งลงข้างเธอ ค่อย ๆ พูดเกลี้ยกล่อม “เชื่อหมอเถอะนะ”
หลินเซี่ยไม่รู้จะปฏิเสธยังไงแล้ว
เรื่องนี้มีเพียงเฉินเจียเหอเท่านั้นที่ทำได้
เธอเองก็ทำไม่ได้
เฉินเจียเหอเห็นสีหน้าเธอผ่อนคลายลง จึงเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆ “อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวผมจะลองดู”
แม้สีหน้าของหลินเซี่ยจะยังคงเต็มไปด้วยความขวยเขิน แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธและถือว่ายอมรับวิธีของเขาไปแล้ว
หลิวกุ้ยอิงยกโจ๊กมาให้ เธอจึงกินไปอีกครึ่งชาม
เฉินเจียเหอหันไปบอกหลิวกุ้ยอิงว่า “แม่ครับ ตอนนี้ลูกหลับแล้ว แม่ไปนอนพักเถอะ”
ในห้องยังมีเตียงสำหรับญาติอยู่ เฉินเจียเหอจึงให้หลิวกุ้ยอิงนอนพักบนเตียงนั้น
หลิวกุ้ยอิงบอกว่าตัวเองนอนไม่หลับ
ส่วนหนึ่งคือยังไม่ดึก อีกอย่างก็คือเป็นห่วงลูกสาว
กลัวว่าถ้าเธอหลับแล้ว หลานจะตื่นมาร้องไห้งอแง
ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนก็อยากจะคุยกับลูกสาวด้วย
ตอนนี้จิตใจของหล่อนยังไม่คลายกังวล ทั้ง ๆ ที่ลูกสาวกลายเป็นแม่คนแล้ว
หลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่ข้างเตียง มองคนตัวเล็กกับคนตัวใหญ่ที่นอนอยู่ข้างกัน ใจของหล่อนก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
“เซี่ยเซี่ย ต่อจากนี้ไปลูกก็เป็นแม่คนแล้วนะ” หลิวกุ้ยอิงกล่าวด้วยความรู้สึก “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวลูกก็อายุ 22 แล้ว”
หลินเซี่ยยิ้ม “ใช่ค่ะ”
หลิวกุ้ยอิงอยากจะนึกถึงตอนที่ลูกสาวตัวเองยังเด็ก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
หล่อนแทบไม่ได้มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกสาวเลย
แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนที่ลูกสาวเพิ่งคลอดมีหน้าตาออกมาเป็นยังไง
ดังนั้นแม้จะรู้สึกซาบซึ้งแค่ไหน หล่อนก็ไม่รู้จะพูดอะไรในตอนที่นั่งอยู่ตรงนี้
พอดีกับเย่ไป๋ซึ่งอยู่เวรกะกลางคืนเดินเข้ามา
เขาบอกว่ากลางคืนไม่มีอะไรทำ เลยแวะมาดูว่าหลานซนไหม
ตอนเด็กเพิ่งคลอด คนทั้ง 2 ครอบครัวยืนออกันเต็มห้องไปหมด เย่ไป๋เลยไม่มีโอกาสได้ดูหลานเลย
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีโอกาสเข้ามาดูหลานอย่างใกล้ชิดแล้ว
“หมอเย่ คุณมาแล้วเหรอคะ”
เย่ไป๋เห็นว่าหลินเซี่ยยังนั่งตัวตรงได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงกล่าวว่า “เซี่ยเซี่ย เธอนั่งแล้วก็รีบนอนลงเถอะ อย่าเพิ่งทำอะไรเยอะ เดี๋ยวจะไม่หายเอา”
หลิวกุ้ยอิงพูดว่า “เห็นไหม หมอเย่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน รีบนอนลงเถอะ”
ในที่สุดหลินเซี่ยก็ได้แต่ทำตามความเห็นของพวกเขา ยอมนอนลงไป
เด็กยังตื่นอยู่ เย่ไป๋อุ้มขึ้นมาอย่างทะนุถนอม
เขาเงยไปมองเด็กชายตัวอ้วนจ้ำม่ำในอ้อมแขนพร้อมทั้งหัวเราะแล้วพูดว่า “เหล่าเฉิน เด็กคนนี้ดูไม่เหมือนนายเลย”
ประโยคเดียวของเย่ไป๋ ทำให้เฉินเจียเหอเสียการทรงตัวในทันใด
“ไม่เหมือนฉันแล้วจะเหมือนใครได้ นายพูดอะไรเนี่ย” เฉินเจียเหอหน้าตึง
เย่ไป๋เงยหน้ามองคนที่นอนอยู่บนเตียง “เหมือนเซี่ยเซี่ยไง เด็กผู้ชายโดยทั่วไปก็มักจะเหมือนแม่”
หน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหอกลับมาผ่องใสในวินาทีเดียว
เขาพยักหน้าเห็นด้วย “เหมือนเซี่ยเซี่ยก็ได้ โตขึ้นมาต้องเป็นหนุ่มหล่อแน่ ๆ”
เย่ไป๋อุ้มเด็กสักพักก็ค่อย ๆ วางลงบนเตียง ก่อนออกไปเขาเตือนว่า “ถ้าลูกไม่ร้องไห้ก็ปล่อยให้นอนเฉยๆ อย่าอุ้มไว้เด็ดขาด เดี๋ยวลูกจะติดให้อุ้ม”
หลินเซี่ยยิ้ม “แม่ฉันก็เพิ่งพูดแบบนี้เมื่อกี้”
“พี่สะใภ้พูดถูกแล้วล่ะ”
เย่ไป๋มองไปที่หลินเซี่ย “หลินเซี่ย พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ ฉันไปก่อน มีอะไรก็ไปตามฉันได้เลย”
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะอาเย่ไป๋” หลินเซี่ยพูดจาหวานๆ เปลี่ยนสรรพนามเรียกเย่ไป๋ ทำให้เย่ไป๋ยิ้มหน้าบาน ออกอาการถูกใจ
“ฉันชอบคำนี้ ต่อไปนี้เรียกแบบนี้เลยนะ เรียกหมอเย่แล้วมันดูเหินห่าง”
เฉินเจียเหอเดินไปส่งเย่ไป๋ที่หน้าห้อง พอถึงทางเดิน เย่ไป๋ก็หยุดเดิน แล้วหันกลับมายิ้มถามเฉินเจียเหอว่า “รู้สึกยังไง”
“มีความสุขมาก” เฉินเจียเหอไม่ปิดบังความรู้สึกในใจ
นอกจากมีความสุขแล้ว ความรู้สึกอื่นก็ไม่มีอีกแล้ว
เย่ไป๋มองแววตาแห่งความสุขจากก้นบึ้งหัวใจของเขาแล้ว พูดตามตรงว่าเขาเกิดความรู้สึกอิจฉาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“มีความสุขมากแค่ไหน” เขาออกอาการหมั่นไส้เล็กน้อย
“เดี๋ยวเป็นพ่อคนเมื่อไหร่ก็จะรู้เอง”
เฉินเจียเหออายจนไม่อยากจะบอกความรู้สึกที่แท้จริงในใจ
บอกตามตรงเลยว่าพอได้อุ้มลูกชายของตัวเอง ความรู้สึกนั้นมันคนละเรื่องกับตอนอุ้มหู่จือเลย
ปีนั้นจางเหมยนำหู่จือมาวางไว้ที่หน้าประตูบ้านเขา เขาอุ้มเด็กขึ้นมาด้วยหัวใจที่รู้สึกหนักอึ้งในวินาทีนั้น
นั่นคือความสงสารเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
ก่อนตัดสินใจรับเลี้ยงหู่จือ และทำไปด้วยความรับผิดชอบเป็นหลัก
ต่อมาเมื่อได้อยู่กับลูก เขาก็ยิ่งรักและขาดไม่ได้ หู่จือกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาไปแล้ว
แต่ในเวลานั้น เขายังเป็นหนุ่มโสด
เขาค่อย ๆ เรียนรู้วิธีการเลี้ยงลูกไปเรื่อย ๆ
ตั้งใจเลี้ยงให้ลูกเติบโต แข็งแรง
ตอนที่ 723 ตั้งใจจะบอกความจริงกับเสิ่นอวี้หลง
…………….
ตอนที่ 723 ตั้งใจจะบอกความจริงกับเสิ่นอวี้หลง
หลินเซี่ยสังเกตเห็นสีหน้าเช่นนั้นของโจวลี่หรง เธอจึงพูดยิ้ม ๆ ว่า “แม่ ถ้าคุณมีเวลาก็แวะมาเยี่ยมหลานได้นะคะ”
หลินเซี่ยรู้ดีว่าแม่สามีกำลังรอคอยอะไรอยู่
จริง ๆ แล้ว เมื่อครู่เธอก็คิดจะให้โจวลี่หรงอยู่ต่อเหมือนกัน
แต่พอนึกถึงช่วงอยู่เดือน 20 กว่าวันที่ผ่านมาที่ต้องมาอยู่ใต้อาณัติของโจวลี่หรง เธอก็รู้สึกกลัว
มันช่างอึดอัดเสียจริง
เธอรู้สึกเกร็งมาก
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจ แค่ขยับตัวนิดหน่อย โจวลี่หรงก็จะต่อว่าแล้ว
ชีวิตแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก
ขีดจำกัดสูงสุดที่เธอยอมรับได้คือการให้แม่สามีแวะมาเยี่ยมหลานเป็นครั้งคราว
ทุกคนควรเว้นระยะห่างกันบ้าง
เหมือนกับปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา เมื่อทุกคนอยู่ห่างกัน ความสัมพันธ์ก็ยังพอไปด้วยกันได้
แต่พอมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ความขัดแย้งต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นทันที
โจวลี่หรงตอบเสียงเบา
“ได้จ้ะ”
“งั้นเราไปก่อนนะ”
เฉินเจิ้นเจียงเห็นสีหน้าหม่นหมองของโจวลี่หรงแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินออกจากประตูลงบันไดไปพร้อมกับหล่อน
แม้หลินเซี่ยจะสุภาพกับพวกเขามาก เรียกขานพวกเขาว่าพ่อแม่และมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังพยายามรักษาระยะห่างจากพวกเขา
เมื่อลงบันไดมาแล้ว เฉินเจิ้นเจียงก็อดไม่ได้ที่จะตักเตือนโจวลี่หรงอีกครั้ง “เหล่าโจว ต่อไปนี้ลองปรับนิสัยของคุณด้วย หัดสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น อย่าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองคนเดียว”
คนรุ่นใหม่สมัยนี้จะยอมรับวิธีการของหล่อนได้อย่างไร?
ต่อให้หล่อนจะเป็นแม่สามี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
เฉินเจิ้นเจียงเห็นปฏิสัมพันธ์อันแสนอึดอัดไร้คำพูดระหว่างหลินเซี่ยกับโจวลี่หรงแล้ว เขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจ
โจวลี่หรงมีสีหน้าหม่นหมอง ไม่สนใจเฉินเจิ้นเจียงเลย
เฉินเจิ้นเจียงจึงรู้ว่าตักเตือนหล่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ เปลี่ยนมาปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เซี่ยเซี่ยเป็นเด็กที่รู้ความ ถึงแม้จะอายุน้อย แต่ผมว่าหล่อนก็พอจะเลี้ยงดูลูกได้ดีทีเดียว เสี่ยวหู่ไม่ร้องไห้ไม่งอแง ทุกด้านก็ดูดี คุณไม่ต้องกังวลแล้วนะ แวะมาเยี่ยมเป็นบางครั้งก็พอ”
ตอนที่หลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ มาเยี่ยมหลินเซี่ยแล้วพบว่าโจวลี่หรงไม่อยู่ ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ
หลินเซี่ยบอกว่าแม่สามีของเธอกลับไปแล้ว ทำให้หลิวกุ้ยอิงถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมถึงกลับไปล่ะ?”
โจวลี่หรงรักหลานชายคนโตมาก ตั้งแต่เพิ่งลืมตาดูโลกก็มาดูแลตลอด ทั้งยังดูแลหลินเซี่ยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่หล่อนก็ลงมือทำเอง
ไม่มีทางที่หล่อนจะกลับไปโดยไม่มีเหตุผลทั้ง ๆ ที่ยังไม่ครบกำหนดการออกจากอยู่เดือน
หลิวกุ้ยอิงมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ถามว่า “ลูกทะเลาะกับหล่อนเหรอ?”
หลินเซี่ยกลอกตา “แม่ พูดอะไรอย่างนั้นคะ ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
คุณแม่เซี่ยเอ่ยขึ้น “เซี่ยเซี่ยของเราเป็นเด็กรู้จักมารยาท ไม่มีทางที่จะทะเลาะกับแม่สามีหรอก”
ทันทีที่คุณยายพูดจบ หลินเซี่ยก็ยิ้มแหยๆ แล้วพูดต่อ “ก็มีเรื่องขัดแย้งกันนิดหน่อยค่ะ”
“หา? ขัดแย้งอะไรกัน?” คุณแม่เซี่ยตกใจ “พวกเธอไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ ใช่ไหม?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าครอบครัว หลินเซี่ยก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
ได้ยินเรื่องนี้ หลิวกุ้ยอิงก็กล่าวว่า “หล่อนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีจิตสำนึกสูง การไม่ชอบไปคุยเรื่องส่วนตัวกับพวกคนว่างงานที่ไร้สาระก็เข้าใจได้อยู่หรอก”
“เพื่อนบ้านมาเยี่ยมลูกทั้งที ฉันไล่พวกเขาออกไปไม่ได้หรอกค่ะ พวกคุณไม่เห็นท่าทีของแม่สามีฉันตอนนั้น มันทำให้ฉันอับอายมากจริงๆ ฉันยังต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เฉินเจียเหอก็ต้องทำงานและเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงาน พวกเราไม่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เธอไม่ชอบได้หรอก” หลินเซี่ยแย้ง
เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน ตอนนี้กลับมีปัญหาแล้ว เส้นทางยังเหลืออีกยาวไกล ต่อไปจะทำอย่างไรดี?
คุณแม่เซี่ยถอนหายใจ ในใจนึกเคืองโจวลี่หรงอยู่บ้าง
บางครั้งคนคนนั้นก็เคร่งเครียดเกินไป เกษียณแล้วยังทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ ใครจะทนได้ล่ะ?
คุณแม่เซี่ยคิดไปมา ก่อนจะกลับก็พูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย พอหมดระยะอยู่เดือนแล้วก็เอาลูกไปฝากไว้ที่บ้านเรา ให้แม่ช่วยเลี้ยงให้ เราจ้างพ่อครัวกับพนักงานเสิร์ฟมาที่ร้านอาหารแล้ว ให้แม่เธอพักได้แล้วล่ะ”
“ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันค่ะ”
ในฐานะแม่ หลินเซี่ยไม่อยากให้ใครมาเลี้ยงลูกจริงๆ
ขนาดตอนตั้งครรภ์ยังมีความรู้สึกรักลูกไม่รุนแรงถึงขนาดนี้เลย
ตอนนี้ลูกมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าห่างลูกไม่ได้แม้แต่ชั่วขณะ
แค่ไปเข้าห้องน้ำ ใจก็ยังคิดถึงแต่ลูกอยู่
ตอนเย็น เฉินเจียเหอถือสมุดและปากกามาปรึกษากับหลินเซี่ยเกี่ยวกับญาติที่ต้องเชิญมางานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของลูก เขาบอกว่าจะจดจำนวนคนคร่าว ๆ เพื่อจะได้ไปจองร้านอาหาร
พอคำนวณจำนวนคนได้คร่าว ๆ แล้ว ก็แจ้งให้ทุกคนทราบ
หลินเซี่ยโทรศัพท์ไปบอกเซี่ยหลานในเรื่องนี้ด้วย
เซี่ยหลานเคยมาเยี่ยมพวกเขาตอนลูกอายุสิบวัน
หลังจากนั้นอาจจะยุ่ง เลยไม่ได้มา
“แม่คะ เสิ่นอวี้หลงมางานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของหลานได้ไหมคะ” เธอถาม เซี่ยหลาน
หลินเซี่ยไม่ได้เจอเสิ่นอวี้หลงเลย ตั้งแต่คลอดลูกจนถึงตอนนี้
เสิ่นอวี้หลงยังไม่เคยเห็นหน้าหลานชายคนโตของเขา
งานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนเป็นเรื่องน่ายินดี หลินเซี่ยจึงหวังว่าเสิ่นอวี้หลงจะมาร่วมงานได้
แต่แน่นอนว่าเสิ่นอวี้หลงต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพี่น้องก่อน
หลินเซี่ยคิดว่าร่างกายของเสิ่นอวี้หลงฟื้นตัวได้เกือบหมดแล้ว พวกเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ เรื่องนี้ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว
เซี่ยหลานควรจะบอกความจริงกับเขาแล้วใช่ไหม
เซี่ยหลานพูดในโทรศัพท์ว่า “เซี่ยเซี่ย พรุ่งนี้บ่ายแม่หยุด แม่จะพาเสิ่นอวี้หลงไปเยี่ยมเธอกับลูก ส่วนเรื่องงานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนค่อยว่ากันอีกที”
เซี่ยหลานพูดจบแล้วกำชับหลินเซี่ย ว่า “พรุ่งนี้ที่บ้านคงไม่มีญาติคนอื่นใช่ไหม”
หลินเซี่ยได้ยินแล้ว ก็รู้ว่าเซี่ยหลานยังปิดบังความจริงกับเสิ่นอวี้หลงอยู่จนถึงตอนนี้
หลินเซี่ยพลันรู้สึกอับจนหนทาง
เธอไม่รู้ว่าในใจเซี่ยหลานคิดอะไรอยู่กันแน่
หล่อนชอบหลบเลี่ยงปัญหาอยู่เสมอ
หลินเซี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “แม่คะ ไม่มีใครหรอก มีแค่ฉันกับเด็ก ๆ เฉินเจียเหอเลิกงานตอนบ่ายแล้วถึงจะกลับมา”
เธอคิดว่าหากเซี่ยหลานไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเสิ่นอวี้หลง อย่างนั้นเธอจะไปคุยกับเสิ่นอวี้หลงในวันพรุ่งนี้เอง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ค่อยๆ ปรับตัวไปนะคะ เว้นระยะห่างต่อกันให้หายใจหายคอคล่อง รักได้แต่อย่าบังคับบงการชีวิตกัน เดี๋ยวจะยิ่งห่างกันไปใหญ่
ไหหม่า(海馬)
…………….