ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 696 อาจมีสัญญาณมงคล
ตอนที่ 696 อาจมีสัญญาณมงคล
……….
ตอนที่ 696 อาจมีสัญญาณมงคล
เนื่องจากเสิ่นอวี้หลงเสนอให้โดยสารรถของเย่ไป๋ เซี่ยหลานจึงกล่าวกับเฉินเจียเหอว่า “เจียเหอ เธอไม่ต้องไปก็ได้ กลับไปดูแลเซี่ยเซี่ยเถอะ กำหนดคลอดก็อีกไม่กี่วันแล้ว หล่อนต้องมีคนอยู่ข้าง ๆ”
“มีแม่ผมกับคนอื่นๆ ช่วยดูอยู่แล้วครับ”
“ใครอยู่ก็ไม่ดีเท่ากับมีเธออยู่ข้างๆ หรอก” เซี่ยหลานเกรงว่าเฉินเจียเหอจะเข้าใจผิดจึงอธิบาย “ฉันหมายความว่า ถ้าเกิดหล่อนเจ็บท้องขึ้นมา แม่กับยายเธอคงไม่มีแรงพาหล่อนไปโรงพยาบาลแน่ เธอรีบกลับไปเถอะ”
ใจของเฉินเจียเหอได้ไปอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เมื่อเซี่ยหลานพูดเช่นนี้ เขาจึงไม่ดื้อดึงอีก ในเมื่อมีเย่ไป๋อยู่ทางนี้ เขาก็กลับไปดูแลหลินเซี่ยได้
“ครับแม่ ถ้ากลับไปแล้วมีอะไรก็โทรบอกพวกเราทีนะครับ”
เขาช่วยยกกระเป๋าใบใหญ่สองใบใส่ท้ายรถของเย่ไป๋ แล้วมองดูรถเคลื่อนตัวออกไป
รถซานตาน่าของเซี่ยไห่ที่เขาขับจอดอยู่หลังรถของเย่ไป๋ เขาต้องรอให้เย่ไป๋ออกรถก่อนเขาถึงจะออกรถได้
เขาจึงคิดแวะทักทายหมอแผนจีนเย่ก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน
พอหันกลับไปก็เห็นเอ้อร์เลิ่งร้องไห้ สองข้างแก้มเต็มไปด้วยน้ำตา ยืนโบกมือให้รถที่แล่นออกไป
“ร้องไห้ทำไม?” เฉินเจียเหอมองเขาด้วยสายตารังเกียจ หยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดน้ำตาให้เขา
เขาไม่พูดอะไรก็พอทำเนา แต่พอพูดขึ้นมาเอ้อร์เลิ่งก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้หนักกว่าเดิม แล้วก็เอนกายซบบ่าเขา
ปกติแล้วอ้อมกอดของเฉินเจียเหอสงวนไว้เพียงภรรยาเท่านั้น แต่พอเอ้อร์เลิ่งเข้ามากอดกะทันหัน เขาก็ทำท่าจะผลักออก ติดเพียงว่าเอ้อร์เลิ่งกำลังร้องไห้เสียใจ เขาจึงไม่กล้าทำ
เฉินเจียเหอลูบหลังเขาเบาๆ ปลอบว่า
“อย่าร้องไห้สิ ผู้ชายตัวโตร้องไห้แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน?”
“ต้าเหอ ฉันอยากกลับบ้านด้วย” เอ้อร์เลิ่งพูดทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ฉันคิดถึงพ่อแม่ ฉันอยากกลับไปหาพวกท่าน”
ปกติเขาไม่รู้สึกอะไร แต่พอเห็นเสิ่นอวี้หลงที่หายดีแล้วถูกครอบครัวรับตัวกลับ เขาก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงบ้านมากขึ้น
เขาจากบ้านมาเกือบปีแล้ว
เฉินเจียเหอบอกว่า “ได้ เรื่องนี้จัดการได้ เดี๋ยวฉันซื้อตั๋วให้”
เอ้อร์เลิ่งพลันเช็ดน้ำตายิ้มร่า “ขอบคุณนะต้าเหอ”
……….
เสิ่นอวี้หลงนั่งอยู่ในรถของเย่ไป๋ ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามที่คาใจออกมา “คุณน้าเซี่ย ทำไมพี่เขยถึงเรียกคุณว่าอาหญิงล่ะครับ?”
เสิ่นอวี้หลงพูดจบ ผู้เฒ่าเซี่ยและเซี่ยหลานที่นั่งข้างๆ ต่างก็ตกใจ
เด็กคนนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ในตอนที่กินข้าวกันเลย พวกเขาจึงคิดว่าเขาไม่ได้สนใจ
ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้จะเก็บงำเอาไว้
เซี่ยหลานยิ่งรู้สึกว่าหลังจากที่ลูกชายคนนี้ผ่านมรสุมชีวิตมา จิตใจก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเดิม
เซี่ยอวี่นั่งที่เบาะข้างคนขับได้ยินคำพูดของเสิ่นอวี้หลง ก็หันกลับมาด้วยความแปลกใจ “เธอว่าไงนะ?”
“ตอนอยู่ที่บ้านของคุณปู่เย่ พี่เขยผมเพิ่งจะเข้าประตูมาก็เรียกคุณว่าอาหญิง แถมคุณยังตอบรับด้วย ผมเลยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเขาถึงเรียกคุณแบบนี้น่ะครับ?”
เสิ่นอวี้หลงกระพริบตามองเซี่ยอวี่ที่หันหน้ามามองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เห็นท่าทางแฝงความนัยบางอย่างของเสิ่นอวี้หลง เซี่ยอวี่จึงเพิ่งเข้าใจว่าเสิ่นอวี้หลงก็ได้ยินสรรพนามที่เฉินเจียเหอเรียกหล่อนในวันนี้
หล่อนหันไปมองเซี่ยหลานกับผู้เฒ่าเซี่ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขายังไม่บอกเรื่องของหลินเซี่ยกับเสิ่นอวี้หลงงั้นเหรอ
เขาเหมือนไม่รู้เลยสักนิดว่าหลินเซี่ยไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเขา
แบบนี้ก็ค่อนข้างลำบากแล้ว
สมองเซี่ยอวี่ประมวลผลอย่างรวดเร็ว และด้วยไหวพริบปฏิภาณของหล่อน หล่อนจึงคิดอะไรบางอย่างออก “เอ่อ ฉันเคยแสดงเป็นเซียวเหล่งนึ่ง พี่เขยเธอรู้ก็เลยเรียกฉันว่าอย่างนั้น ไม่ใช่แค่พี่เขยนะ พี่สาวเธอก็เรียกฉันแบบนี้ด้วย”
“เอ๋?” เสิ่นอวี้หลงไม่เชื่อคำตอบของหล่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาก้มหน้าคิด “คุณน้าเซี่ย คุณเคยเล่นเป็นเซียวเหล่งนึ่งเหรอ ผมเคยดูละครเรื่องนั้นนะ เหมือนจะไม่ใช่คุณแสดงนะ”
เซี่ยอวี่ตอบเลี่ยงๆ แล้วหันไปถามเซี่ยหลานว่า “ใกล้ถึงแล้วหรือยัง?”
เซี่ยอวี่ไม่เคยมาที่บ้านปัจจุบันของเซี่ยหลาน หล่อนเริ่มร้อนใจ ถ้าเด็กคนนี้ถามมากเกินไป หล่อนอาจจะเผลอหลุดปาก
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา สมกับเป็นลูกชายของเสิ่นเถี่ยจวิน
“เลี้ยวตรงหัวมุมก็ถึงแล้ว”
เมื่อถึงบ้านของเซี่ยหลาน พวกเขาก็ลงจากรถพร้อมกับสมบัติของเสิ่นอวี้หลง
เสิ่นอวี้หลงมองบ้านหลังเดิมที่ไม่ได้เยี่ยมเยือนมานานด้วยความรู้สึกหลากหลายในใจ
แต่ก่อนเขาเคยตามแม่มาทำความสะอาดบ้านหลังนี้
เมื่อเทียบกับบ้านพักสวัสดิการกองทัพ บ้านหลังนี้คับแคบกว่ามาก
มันเป็นอพาร์ตเมนต์แคบๆ นอกจากห้องน้ำและห้องครัวที่เล็กมากแล้วก็มีห้องเพียงสองห้อง ไม่มีห้องนั่งเล่น
ข้างในมืดสนิท แทบไม่มีแสงสว่าง
เซี่ยอวี่เห็นเซี่ยหลานต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ก็อดที่จะสงสารไม่ได้
หล่อนเคยเอ่ยปากหลายครั้งว่าจะให้การช่วยเหลือ แต่เซี่ยหลานก็บอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ เพื่อปฏิเสธความหวังดีของหล่อนอยู่เสมอ
ซึ่งหล่อนรู้ดีว่าเซี่ยหลานเป็นคนรักศักดิ์ศรี คงไม่มีวันยอมรับความช่วยเหลือใดๆ จากหล่อน
วางของลง เซี่ยหลานก็พาเสิ่นอวี้หลงกลับห้องของเขา
เซี่ยหลานตั้งใจจะยกห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าให้กับลูกชาย
ห้องใหญ่ห้องนี้มีหน้าต่าง แสงสว่างเพียงพอ ไม่ค่อยอึดอัดนัก
“แม่นอนห้องไหนเหรอครับ?”
เซี่ยหลานพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่นอนอีกห้องหนึ่ง แม่ต้องไปทำงานทุกวัน กลับบ้านมาก็แทบจะไม่ได้อยู่บ้าน นอกจากจะมานอนตอนกลางคืน”
เสิ่นอวี้หลงกำลังจะพูด ผู้เฒ่าเซี่ยก็พูดขึ้นมาก่อน “อย่างนี้ก็ได้ อยู่แบบนี้แหละ”
หลังจากจัดการเรื่องที่พักเรียบร้อยแล้ว ผู้เฒ่าเซี่ยก็ให้เสิ่นอวี้หลงพักผ่อน เขาจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป
เขาตั้งใจว่าจะติดรถของเย่ไป๋กลับบ้าน
ในเมื่อหลานชายหายดีจนได้กลับบ้านแล้ว เขาก็ควรกลับไปหาภรรยา
เซี่ยหลานให้เสิ่นอวี้หลงกลับห้องไปพัก ส่วนหล่อนลุกเดินลงไปส่งเซี่ยอวี่กับคนอื่นๆ
เสิ่นอวี้หลงไปส่งพวกเขาที่หน้าประตู โบกมืออย่างอ่อนโยนและสุภาพ “คุณน้าเซี่ย ถ้ามีเวลามาบ้านผมก็มากินข้าวด้วยกันนะครับ”
“ได้สิ”
เห็นท่าทางของเสิ่นอวี้หลงที่อยู่ต่อหน้าสาวสวย ทุกคนต่างก็วางใจ
เขาแสดงความสนใจต่อผู้หญิงสวยแบบนั้น แสดงว่าสภาพร่างกายของเขาดีขึ้นจริงๆ
“คุณตา ไว้เจอกันครับ”
“ไปพักผ่อนเถอะไป พรุ่งนี้ฉันจะมาเยี่ยมเธอและจะนำหนังสือเรียนมาให้ด้วย”
เมื่อทุกคนลงมาด้านล่างแล้ว เซี่ยอวี่ก็ถามเซี่ยหลาน “หลานหลาน ทำไมเธอถึงยังไม่เล่าเรื่องชาติกำเนิดของเซี่ยเซี่ยให้อวี้หลงฟังล่ะ?”
“ฉันไม่รู้ว่าจะเล่าให้เขาฟังยังไง” เซี่ยหลานมีสีหน้ากังวลสุดขีดเมื่อถูกถามคำถามนี้ “เมื่อวานเพิ่งจะบอกเรื่องที่เสิ่นเถี่ยจวินติดคุกไป ถ้าให้เขารู้เรื่องทั้งหมด ฉันกลัวว่าเขาจะรับไม่ไหว”
เพราะว่าเรื่องชาติกำเนิดของหลินเซี่ยเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
เซี่ยอวี่เตือนว่า “เธอรีบหาโอกาสบอกเขาก่อนเถอะ เรื่องนี้คงปิดบังไว้ไม่ได้ตลอด เว้นแต่เราจะไม่ไปมาหาสู่กัน”
“ค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน เขาจะได้ไม่เครียดมากเกินไป”
ผู้เฒ่าเซี่ยขึ้นรถของเย่ไป๋ เย่ไป๋เลยไปส่งเขาที่บ้าน
เซี่ยอวี่บอกว่าจะกลับไปที่ร้านอาหารของพี่ชาย แล้วค่อยกลับบ้านกับครอบครัวของพวกเขา
หลังจากไปส่งคนอื่นแล้ว เย่ไป๋ก็อยากจะอยู่กับเซี่ยอวี่อีกสักพัก แต่เมื่อจำได้ว่าคุณปู่รองบอกให้เขากลับไปที่บ้านหลังจากส่งคนอื่นเสร็จ เขาจึงจำใจต้องลาหล่อน
จริงๆ แล้วเย่ไป๋รู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจมาตลอดทาง
การที่คุณปู่รองบอกให้แยกตัวไปหาเขาหลังจากจับชีพจรให้เซี่ยอวี่ สัญชาตญาณได้บอกกับเขาว่าบางทีเรื่องที่คุณปู่รองเรียกไปคุยด้วยอาจจะเกี่ยวข้องกับหล่อน
เย่ไป๋คิดไปต่างๆ นานา
แน่นอนว่าความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือเซี่ยอวี่เป็นอะไรบางอย่าง
ปู่รองคงกลัวว่าเซี่ยอวี่จะเสียใจ จึงไม่กล้าบอกหล่อน แต่คุยกับเขาเป็นการส่วนตัวแทน
เย่ไป๋ทำงานในโรงพยาบาลมานานหลายปี เห็นผู้คนมามากมายสารพัดแบบ จนคิดว่าจิตใจของตนแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งเสียจนคนอื่นคิดว่าหมออย่างเขาเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ
แต่ตอนนี้เขากลับหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การรักใครสักคน ก็คือความรู้สึกที่ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายพบกับความทุกข์ยากลำบากใดๆ
เขาสูดหายใจลึก ตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่ เซี่ยอวี่ก็จะไม่มีอันตราย
ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร พวกเขาก็จะไม่ทอดทิ้งกัน
เย่ไป๋กลับไปที่บ้านของคุณปู่ ก็เห็นเอ้อร์เลิ่งกำลังเก็บของในห้องที่เสิ่นอวี้หลงเคยพัก และบอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนไข้คนใหม่เข้ามาพัก
เย่ไป๋เดินเข้าโถง ก็เห็นคุณปู่เย่นั่งจิบชาอย่างสบายใจ
“ปู่รองมีเรื่องสำคัญอะไรบอกผมหรือเปล่าครับ”
สีหน้าเย่ไป๋จริงจังและเคร่งเครียด เขายืนอยู่ตรงนั้นมองคุณปู่จิบชาอย่างสบายใจ
ผู้เฒ่าเย่เผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา แล้วบอกให้เขานั่งที่ตรงข้าม “นั่งสิ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไม?”
เย่ไป๋นั่งลงอย่างกระวนกระวาย มือกำหมัดแน่นและนั่งตัวตรงด้วยท่าทางตึงเครียด
“ปู่รองพูดมาเถอะครับ” เขาเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว
ผู้เฒ่าเย่มองใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดจนอดยิ้มไม่ได้ พูดคุยกับเขาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน “เธอกับเซี่ยอวี่เคยพูดไว้ว่าจะหมั้นกันตอนปีใหม่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังไม่มีข่าวอะไรอีกล่ะ?”
“พวกเราตั้งใจจะรอให้หล่อนถ่ายละครเรื่องนี้จบก่อน แล้วก็เตรียมแต่งงานกันเลยโดยไม่ต้องหมั้นน่ะครับ”
นี่คือสิ่งที่เขาพยายามโน้มน้าวอยู่สองเดือน กว่าหล่อนจะยอมจดทะเบียนสมรสกับเขาได้
“อ้อ”
น้ำเสียงของชายชราแผ่วเบา มือยังคงรินน้ำชาให้ตัวเองต่อไป
“ตั้งแต่เหล่าเซี่ยกลับไปก็รู้สึกเบื่อๆ พิกล ไม่มีใครเล่นหมากรุก ดื่มชากับฉันเลย”
ชายชราดื่มชาช้าๆ และยังเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทำให้ในใจของเย่ไป๋รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก
แต่ต่อให้เขาจะใจร้อนแค่ไหนก็ไม่กล้าเร่งชายชรา
“คุณปู่รอง ร่างกายของเสี่ยวอวี่ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”
เย่ไป๋ทนรอชายชราดื่มชาจนหมดไม่ไหวแล้ว เขาจึงเอ่ยถามหยั่งเชิง
เมื่อได้ยินคำถามของเย่ไป๋ รวมถึงแววตาประหม่าและกระวนกระวายของเขา ชายชราก็เหลือบมอง แต่ยังไม่ตอบคำถามของเขา
ราวกับจงใจ
เย่ไป๋ยิ่งใจร้อน
เขาคิดว่าที่หมอเย่ทำแบบนี้เพราะท่านคงไม่รู้จะบอกอย่างไร
เย่ไป๋อดใจรอไม่ไหว ถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ปู่รองครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณปู่บอกผมตรงๆ ได้ไหมครับ?”
หมอเย่เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แค่นเสียงเย็นชา “ใจร้อนเสียจริง”
“แกนี่สมกับเรียนเมืองนอกมาจริงๆ ความคิดเปิดกว้างกว่าหนุ่ม ๆ คนอื่นเยอะเลย”
เย่ไป๋ “???”
ขณะที่เขากำลังงุนงง เสียงของหมอเย่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เซี่ยอวี่อาจมีสัญญาณมงคลเกิดขึ้นแล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อุ๊ย คุณหมอเย่ไป๋ไฟแรงใช่ย่อยเลยนะคะ จะมีลูกแล้วเหรอ
ไหหม่า(海馬)