ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 687 การคลอดบุตรเป็นเรื่องเสี่ยงตาย
ตอนที่ 687 การคลอดบุตรเป็นเรื่องเสี่ยงตาย
……….
ตอนที่ 687 การคลอดบุตรเป็นเรื่องเสี่ยงตาย
หลินเซี่ยพับผ้าห่มให้เสิ่นอวี้หลง “อวี้หลง พักผ่อนก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะเข้ามาดูอีกที”
เฉินเจียเหอพาหลินเซี่ยไปที่ห้องโถงของหมอเย่
หมอเย่เพิ่งตรวจคนไข้เสร็จ เอ้อร์เลิ่งก็กำลังจ่ายยาให้คนไข้
หลินเซี่ยเดินเข้าไป พูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณปู่เย่เหนื่อยไหมคะ ฉันมาให้คุณตรวจให้หน่อย”
หมอเย่มองหลินเซี่ยที่กำลังตั้งครรภ์ด้วยสีหน้าอ่อนโยน ผายมือเชิญให้เธอนั่ง
หลินเซี่ยยื่นมือให้หมอเย่ จากนั้นเขาก็เริ่มตรวจชีพจร ดูสีหน้า และซักประวัติ
“ไม่เลว ร่างกายไม่มีปัญหาอะไร เหลือแค่ต้องบำรุงเลือดสักหน่อย” หมอเย่ตรวจดูหลินเซี่ยอีกครั้ง พลางลูบคลำท้องผ่านเสื้อผ้า “แต่รู้สึกว่าเด็กตัวใหญ่ไปหน่อยนะ”
หมอเย่สั่งให้หลินเซี่ยรับประทานอาหารอย่างสมดุลและเพียงพอ อย่ากินมากเกินไป หากเด็กตัวโตแล้วจะคลอดจะลำบาก
ผู้เฒ่าเซี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ตั้งใจฟังอยู่ พอได้ยินว่าเด็กตัวโตกว่าปกติ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “เราควรทำยังไงดีล่ะหมอ?”
ด้วยวัยที่ล่วงเลยมาครึ่งชีวิต แม้เขาจะไม่ใช่หมอ แต่ก็รู้ดีว่าการคลอดลูกนั้นคือการที่เด็กเดินทางมาโลกมนุษย์ ส่วนแม่เดินทางเข้าสู่โลกวิญญาณ
เท่ากับว่าเป็นการยื่นเท้าเข้าประตูนรก
คุณหมอเย่กล่าว “ไม่เป็นไร ปรับแค่เรื่องอาหารการกินพอ เดี๋ยวไปโรงพยาบาลแล้วก็ให้หมอสูติฯ เขาตรวจดูอีกที เขาจะได้ดูแลเรื่องการกินให้ และไม่ให้กินมั่วๆ จนส่งผลกระทบต่อสารอาหาร”
“ได้ครับ” เฉินเจียเหอได้ยินว่าเด็กตัวโตกว่าปกติ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงรีบจดจำคำพูดของหมอเย่ไว้ในใจ ตั้งใจจะพาหลินเซี่ยไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้งในเร็วๆ นี้
แม้หลินเซี่ยจะอยู่ในร่างนี้มาสองชาติแล้ว แต่ก็เพิ่งตั้งท้องเป็นครั้งแรก พูดตามจริงแล้ว เธอก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้
ทั้งเฝ้ารอคอยการมาถึงของสิ่งมีชีวิตน้อยๆ และก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ไม่รู้ว่าความเจ็บทรมานตอนคลอดลูกว่าจะเป็นอย่างไร
เฉินเจียเหอกุมมือเธอไว้ คอยอยู่ข้างๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่ากลัวเลย เดี๋ยวเราค่อยกลับไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบ แล้วก็ทำตามที่หมอบอกเรื่องอาหารการกิน”
“ค่ะ”
หลินเซี่ยเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้เวลากลางคืนจะเป็นตะคริวที่ขา หมอเย่จึงบอกว่าลูกในท้องโตไว ดูดซึมสารอาหารไปหมด ทำให้คนท้องขาดแคลเซียม เขาจึงสั่งให้กินแคลเซียมเม็ดเป็นเวลา แล้วก็ให้กินอาหารที่มีแคลเซียมเยอะๆ เพื่อบำรุงเลือด
ตอนที่หมอเย่สั่งกำชับหลินเซี่ยอยู่นั้น ผู้เฒ่าเฉิน เฉินเจิ้นเจียง และเฉินเจียซิ่งก็มาที่นี่โดยไม่ได้นัดหมาย
เฉินเจียเหอเห็นคุณปู่กับคุณพ่อโผล่มาที่บ้านหมอเย่แบบไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกแปลกใจ
สายตามองจับที่ร่างของทั้งสองราวกับกำลังตรวจดูว่าคุณปู่ไม่สบายหรือเปล่า
เฉินเจียซิ่งเดินตามมาด้านหลัง ในมือก็ถือกล่องของขวัญบำรุงร่างกาย
“เราได้ข่าวว่าน้องชายของเซี่ยเซี่ยย้ายมาอยู่แถวนี้แล้ว วันนี้พวกเราเลยแวะมาเยี่ยม”
เฉินเจียเหอได้ยินคำพูดของพ่อแล้วก็โล่งใจ ช่วยประคองคุณปู่ “เชิญเข้ามาด้านในก่อนครับ”
เมื่อผู้เฒ่าเฉินเข้ามา ก็ได้ยินหมอเย่กำลังพูดคุยกับหลินเซี่ยเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน คล้ายกับกำลังกำชับอะไรบางอย่าง
ผู้เฒ่าเฉินรีบหาที่นั่ง จากนั้นก็ถามหมอเย่ถึงอาการของหลินเซี่ย
พอได้ยินว่าเด็กค่อนข้างตัวโต เขาก็หัวเราะพลางถาม “อย่างนั้นแสดงว่าเด็กแข็งแรงดีใช่ไหมครับ”
ผู้เฒ่าเซี่ยเห็นเขาหัวเราะก็ตาขวางใส่ พร้อมกับพูดจิกกัด “ได้ยินว่าหลานชายตัวโต ก็ดีใจจนออกนอกหน้าเชียวนะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยซึ่งกำลังวิตกกังวลอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นท่าทางของผู้เฒ่าเฉินก็โกรธจนหน้าแดงแล้วเริ่มด่า “คุณนึกถึงแต่ว่าลูกหลานตัวเองแข็งแรงหรือไม่ ทำไมไม่คิดว่าเด็กตัวโตเกินไปจะทำให้คลอดยากล่ะ พวกคุณมันเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ลูกหลานตัวเอง ไม่นึกถึงความเป็นความตายของเซี่ยเซี่ย”
ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปทางเฉินเจียเหอ พูดอย่างโกรธๆ ว่า “ฉันบอกไว้เลยนะ ถ้าร่างกายของเซี่ยเซี่ยไม่แข็งแรง เกิดเป็นอะไรขึ้นมา พวกตระกูลเซี่ยกับตระกูลเซี่ยจะร่วมมือกันหักขาแก”
เฉินเจียเหอตอบรับอย่างจริงใจและจริงจัง “คุณตา ผมจะดูแลหล่อนเป็นอย่างดี พรุ่งนี้เราจะไปหาหมอกัน แล้วก็จัดตารางอาหารการกินใหม่”
เฉินเจียเหอรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพราะคำพูดของหมอเย่เช่นกัน เมื่อผู้เฒ่าเซี่ยตะโกนด่า เขาก็ยิ่งให้ความสำคัญ เดิมทีจะพูดว่าไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย แต่พอเงยหน้าดูนาฬิกา ก็พบว่าใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงถามเฉินเจียเหอด้วยความสงสัยและเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น”
เฉินเจียเหออธิบายว่า “เด็กตัวค่อนข้างใหญ่ ต้องควบคุมอาหารให้ดี เดี๋ยวจะลำบากตอนคลอดครับ”
ผู้เฒ่าเซี่ยก็แก้ไขอีกครั้งด้วยความโกรธ “ไม่ใช่แค่ลำบาก แต่อันตรายถึงชีวิตเลยด้วย”
“พอแล้วๆ อย่าทะเลาะกัน ฉันพูดไปประโยคเดียว ทำไมตีความคำพูดหมออย่างฉันไปซะไกลขนาดนี้”
พอหมอเย่พูด ทุกคนในห้องก็เงียบกริบ
แต่สีหน้าของผู้เฒ่าเซี่ยยังคงไม่ดีนัก
ตอนนี้เขารู้สึกอ่อนไหวกับคำว่า ป่วย เจ็บปวด อันตราย เป็นพิเศษ
บนเตียงก็ยังมีคนที่นอนอยู่ พวกเขาทนรับความยากลำบากอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“สบายใจเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” หมอเย่พูดกับหลินเซี่ย “เวลาปกติก็ออกกำลังกายเยอะๆ อย่าขี้เกียจ”
“คุณปู่เย่ ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะคะ ช่วงนี้ฉันยุ่งจะตาย”
หมอเย่พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะสั่งอีกว่า “แต่ก็ต้องผ่อนคลายด้วย”
ผู้เฒ่าเฉินเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงรู้สึกเก้อเขินนิดๆ
เมื่อครู่ฉันไม่ได้ยินประโยคแรกของหมอเย่จริงๆ
“เซี่ยเซี่ย อย่าเข้าใจคำพูดของฉันผิด ไม่ใช่ว่าฉันไม่สนใจเธอ ฉันเป็นคนหยาบแบบนี้แหละ เมื่อครู่ก็ไม่ได้ฟังที่หมอเย่พูดจนจบ”
หลินเซี่ยยิ้มให้ผู้เฒ่าเฉินที่แสดงสีหน้าขอโทษ “คุณปู่ ฉันไม่ได้เข้าใจผิด ฉันรู้ดีค่ะว่าทุกคนในครอบครัวเป็นห่วง”
ผู้เฒ่าเฉินรู้ดีว่าผู้เฒ่าเซี่ยโกรธเพราะคำพูดของตัวเอง เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่คุยกับผู้เฒ่าเซี่ย แล้วหันไปถามหลินเซี่ยแทน “น้องชายเธออยู่ห้องไหนล่ะ เดี๋ยวพวกเราจะได้เข้าไปเยี่ยม”
หลินเซี่ยหันไปขอความเห็นจากผู้เฒ่าเซี่ย “คุณตา เดี๋ยวฉันพาพวกเขาไปเยี่ยมอวี้หลงก่อนนะคะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยมีสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พลางโบกมือ “ไปเถอะ”
ครอบครัวเฉินอยากมาเยี่ยมเสิ่นอวี้หลงนานแล้ว แต่ด้วยสถานะของตัวเองที่มีกับหลินเซี่ย พวกเขาจึงกลัวว่าหากมาแล้วเสิ่นอวี้หลงถามถึงสถานะของพวกเขา พวกเขาจะตอบเสิ่นอวี้หลงไม่ได้ จึงให้ผู้เฒ่าเซี่ยคอยห้ามคุณแม่เซี่ย เซี่ยเหลย และคนอื่นๆ ไว้
เพราะไม่คิดว่าจะมีคนในตระกูลเฉินมาเยี่ยม และก็ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกับตระกูลเฉิน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้กล่าวทักทายล่วงหน้า
“คุณปู่ คุณพ่อ ทางนี้เลยค่ะ”
เฉินเจียซิ่งก็ตามมาด้วย ทุกคนก็เข้าไปในห้องที่เสิ่นอวี้หลงอยู่
เสิ่นอวี้หลงตอนนี้ไม่ได้นอนหลับ แต่กำลังนอนหงายฝึกมือที่ไม่ค่อยจะยืดหยุ่นอยู่ช้าๆ
“อวี้หลง ครอบครัวสามีพี่สาวมาเยี่ยมน่ะ”
และเห็นชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหน้าตาตื่น
“ท่านนี้คือคุณปู่ของสามีพี่ เรียกว่าคุณปู่เฉิน ท่านนี้คือพ่อสามีของพี่ เรียกว่าคุณอาเฉิน ส่วน…” หลินเซี่ยยังไม่ทันแนะนำเฉินเจียซิ่ง ผู้เฒ่าเฉินก็ก้าวเข้ามาที่ข้างเตียงอย่างรวดเร็ว และมองไปที่เสิ่นอวี้หลงด้วยความเป็นห่วง และถามว่า
“หนุ่มน้อย ตอนนี้รู้สึกอย่างไรดีขึ้นหรือยัง”
ผู้เฒ่าเฉินเห็นใบหน้าซีดเซียวผอมโซบนเตียงคนไข้ แววตาก็เต็มไปด้วยความสงสารและเจ็บปวดใจ
ราวกับได้เห็นเฉินเจียวั่งในวัยเยาว์
เสิ่นอวี้หลงมองพวกเขาด้วยความสับสน ในใจก็เริ่มคิดตามไม่ทัน
โดยเฉพาะเมื่อเห็นเฉินเจียซิ่งที่เดินตามหลังผู้เฒ่าเฉิน
นั่นไม่ใช่สามีของลูกพี่ลูกน้องของเขาเหรอ
แล้วทำไมเมื่อครู่หลินเซี่ยถึงแนะนำว่าเป็นญาติทางสามี
เฉินเจียซิ่ง ……..
เฉินเจียเหอ ……..
อ้อ สองคนนี้เป็นพี่น้องกันสินะ
พี่สาวของเขาแต่งงานกับพี่ใหญ่ของเฉินเจียซิ่ง?
แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเฉินเจียเหอเลยนะ?
ทำไมไม่มีใครบอกเขาว่าพี่สาวแต่งงานกับพี่ใหญ่ของอาเขยล่ะ?
เสิ่นอวี้หลงมองจ้องเฉินเจียซิ่งตาไม่กระพริบ จนเฉินเจียซิ่งรู้สึกเขินๆ จึงเกาจมูกอย่างจนใจ แล้วเดินเข้าไปทักทาย “อวี้หลง ดูแลร่างกายให้ดีนะ”
นอกเหนือจากความสัมพันธ์พี่สะใภ้กับเสิ่นอวี้หลงของเขา ตอนที่คบกับเสิ่นเสี่ยวเหมย เขาก็เคยเจอเสิ่นอวี้หลง
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่และลืมเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นไปหมดแล้ว
วันนี้หยางหงเสียก็ดึงดันให้เขามา โดยอ้างถึงความสัมพันธ์กับพี่สะใภ้ของเขา เขาต้องไปเยี่ยมน้องชายของพี่สะใภ้เขา ไม่อย่างนั้นพี่สะใภ้ของเขาจะรู้สึกว่าพวกเขาไร้น้ำใจ
เสิ่นอวี้หลงหันหน้ามาทางหลินเซี่ย แล้วถามว่า “พี่ พี่เขยกับคุณอาเป็นอะไรกัน?”
“หา?”
หลินเซี่ยมองตามสายตา เสิ่นอวี้หลงจึงได้รู้ว่าอาที่เสิ่นอวี้หลงพูดถึงคือเฉินเจียซิ่ง
เธอเลยบอกไปตามตรงว่า “ก็เป็นพี่น้องกัน”
ในใจนึกหงุดหงิดที่ปู่และพ่อสามีของเธอมาเร็วเกินไป จนเธอลืมความสัมพันธ์นี้ไปชั่วขณะ
และไม่คิดว่าเซี่ยหลานจะไม่ได้บอกเสิ่นอวี้หลงในเรื่องที่เฉินเจียซิ่งกับเสิ่นเสี่ยวเหมยหย่ากัน
เสิ่นอวี้หลงตกใจมากที่เห็นว่าเฉินเจียเหอกับเฉินเจียซิ่งเป็นพี่น้องกัน
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร เธอก็เลยเล่าเรื่องที่เฉินเจียซิ่งกับเสิ่นเสี่ยวเหมยหย่ากันให้เสิ่นอวี้หลงฟัง
เรื่องนี้คงไม่ทำให้เสิ่นอวี้หลงตื่นตระหนกหรอก
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เด็กตัวใหญ่ไปก็ไม่ดี อันตรายกับแม่มาก ยิ่งการแพทย์สมัยนั้นยังไม่พัฒนาเหมือนยุคนี้ด้วย
ทีนี้จะลำดับญาติกันยังไงล่ะเนี่ย อีนุงตุงนังไปหมด
ไหหม่า(海馬)
……….