ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 683 คุณปู่ของนายเป็นอัมพาต
ตอนที่ 683 คุณปู่ของนายเป็นอัมพาต
……….
ตอนที่ 683 คุณปู่ของนายเป็นอัมพาต
หลังจากที่เสิ่นอวี้หลงย้ายไปอยู่ที่บ้านของหมอแผนจีนเย่แล้ว เขาก็ต้องเริ่มการกายภาพบำบัด เนื่องจากนอนเป็นเวลานานเกินไป กล้ามเนื้อของเขาจึงลีบเล็กอ่อนเปลี้ยไปทั้งตัวจนเดินเหินไม่ได้
ประกอบกับสมองได้รับการกระทบกระเทือน ร่างกายซีกซ้ายของเขาจึงตอบสนองได้ช้าลง
หมอแผนจีนเย่และเย่ไป๋ต่างก็บอกว่าผู้ป่วยที่มีอาการแบบเสิ่นอวี้หลงต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว จึงขอให้ญาติและตัวเสิ่นอวี้หลงทำใจยอมรับไว้
ต้องมีความตั้งใจและหมั่นรักษาอย่างต่อเนื่อง
หนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดเพิ่งจะเริ่มต้นชีวิต หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาแล้วจึงละเลยการรักษาในระยะต่อๆ ไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้เขาเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตในอนาคต
ผู้เฒ่าเซี่ยกลัวว่าหลานชายจะหมดความมั่นใจ และไม่ยอมให้ความร่วมมือในการรักษา เขาเลยเฝ้าติดตามอยู่เคียงข้างเสิ่นอวี้หลงและคอยพูดให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ
แต่ในช่วงสองวันที่ผ่านมา สภาพจิตใจของเสิ่นอวี้หลงดูเหมือนจะย่ำแย่ลง
เขากำลังจะย้ายไปอยู่กับหมอแผนจีนเย่ จึงเกิดความกลัวว่าจะไม่คุ้นชินกับสถานที่
นำมาสู่อาการวิตกกังวลและไม่พูดไม่จากับใคร
กระทั่งผู้เฒ่าเซี่ยที่เข้าไปพูดด้วยเขาก็ไม่ยอมตอบโต้ เอาแต่นั่งซึมอยู่บนเตียงเฉยๆ
ตอนคุณหมอแผนจีนเย่เข้ามาตรวจอาการและทำกายภาพบำบัด เขาก็ยังพอจะให้ความร่วมมือ แค่ไม่ยอมพูดจา เพียงทำตามวิธีที่คุณหมอแผนจีนเย่สอนเท่านั้น
แม้เขาจะนอนที่นี่มาหลายเดือนแล้ว แต่เพราะตอนนั้นหมดสติอยู่ จึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่เลย
เสิ่นอวี้หลงเปลี่ยนสถานที่นอนบ่อย จึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร เพียงแต่ไม่อยากพูดคุยกับคนอื่นเท่านั้น
ผู้เฒ่าเซี่ยกลัวว่าอาการแบบนี้ของเสิ่นอวี้หลงจะส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจ หลังจากการรักษาในตอนเช้าสิ้นสุด เขาก็มานั่งตรงหน้าเสิ่นอวี้หลง ค่อยๆ พูดปลอบใจและพูดคุยด้วย
เสิ่นอวี้หลงมองหน้าคุณตาที่กำลังมีเครายาวสีขาวและใบหน้าที่เหี่ยวย่นตรงหน้า ในใจรู้สึกไม่สบายใจนัก คุณตามีอายุมากขนาดนี้แล้วยังต้องมาดูแลเขาอีก
เมื่อเช้าพี่เอ้อร์เลิ่งบอกว่า คุณตาของเขาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเขาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
ความสงสัยในใจของเขาจึงยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุใดจึงเป็นคุณตาของเขาที่ดูแลเขา
เวลาผ่านไปพักใหญ่ เสิ่นอวี้หลงมองไปที่ผู้เฒ่าเซี่ยแล้วกล่าวว่า “คุณตา คุณตาบอกผมได้ไหมครับว่าทำไมปู่กับพ่อไม่เคยมาเยี่ยมผมเลย แม่โทรหาท่านทั้งสองหรือเปล่า แล้วพ่อผมยังไม่กลับมาอีกเหรอ ผมรู้สึกว่าผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ทำไมยังไม่มีใครมาหาผมเลย”
ในความประทับใจของเสิ่นอวี้หลงตั้งแต่เด็กจนโต เขาเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนในครอบครัวมาก หากพ่อและปู่ของเขารู้ว่าเขาฟื้นแล้ว ไม่ว่าจะมีเรื่องใหญ่โตแค่ไหนก็จะละทิ้งและมาหาเขา
หรือว่าเพราะเขาหมดสติเป็นเวลานานเช่นนี้ พวกท่านจึงละเลยเขาแล้ว?
เสิ่นอวี้หลงยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนและยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
ผู้เฒ่าเซี่ยฟังคำพูดของหลานชายแล้วจับมือเขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“พ่อเธอคราวนี้ไปทำงานต่างจังหวัดต้องไปหนึ่งถึงสองเดือน งานของพ่อเธอสำคัญมาก ขาดเขาไม่ได้จริงๆ แม่เธอเลยไม่กล้ารบกวนเขา กะรอให้เขากลับมาแล้วจะทำให้เขาประหลาดใจน่ะ”
เสิ่นอวี้หลงไม่ค่อยเชื่อคำพูดของผู้เฒ่าเซี่ย เขาถามต่ออีกว่า “แล้วปู่ล่ะครับ ทำไมปู่ไม่มาหาผม หรือว่าแม่ผมไม่ได้แจ้งท่าน อาเสี่ยวเหมยด้วย หล่อนก็เป็นญาติกับผมเหมือนกัน แต่ทำไมไม่มีใครมาเลยครับ คุณตา คุณปกปิดอะไรผมอยู่รึเปล่า”
เสิ่นอวี้หลงจ้องมองผู้เฒ่าเซี่ยด้วยสายตาคาดคั้น เขาฟื้นขึ้นมาได้ครึ่งเดือนแล้ว คำพูดของแม่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเชื่อแล้ว
เขาสังเกตเห็นว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แม่ของเขาดูวิตกกังวล ทั้งผอมและแก่โทรม แม้สาเหตุหลักจะมาจากการดูแลเขาที่นอนป่วยอยู่ แต่เสิ่นอวี้หลงก็รู้สึกว่าแม่ของเขามีอะไรบางอย่างปกปิดเขาอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาถามถึงพ่อและปู่ แม่ของเขาจะเอาแต่พูดอ้ำอึ้ง และพูดไม่เหมือนเดิมสักครั้ง
เสิ่นอวี้หลงรู้สึกได้ว่าในครอบครัวน่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง
ทุกครั้งที่อยากจะซักถาม แม่ก็จะหาข้ออ้างบอกว่าเขาต้องนอนพักผ่อน อย่าเพิ่งถามอะไรเลย
เมื่อเช้าเขาถามเอ้อร์เลิ่งแล้ว แล้วก็ได้ความอะไรบางอย่างจากคำพูดของเอ้อร์เลิ่ง
ผู้เฒ่าเซี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง มองเสิ่นอวี้หลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หลานรัก คุณปู่ร่างกายไม่แข็งแรง กำลังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เราบอกให้ท่านทราบแล้วว่าเธอฟื้นแล้ว ท่านอยากจะมาเยี่ยมเธอ แต่ติดที่เดินเหินไม่สะดวก จึงไม่ได้มาเยี่ยม
รออีกสักหน่อยได้ไหม คนแก่แล้วน่าสงสารออก ท่านเป็นโรคอัมพฤกษ์ครึ่งซีกจนลุกจากเตียงไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็กลัวเธอเป็นห่วงจึงไม่ได้บอกอะไร เธออย่าคิดมากเลย เธอยังหนุ่มและฟื้นตัวเร็ว ถ้าเธอแข็งแรงกว่านี้อีกนิด เราจะพาเธอไปเยี่ยมคุณปู่แน่”
เสิ่นอวี้หลงฟังคำพูดของคุณตาแล้วรู้สึกประหลาดใจและเป็นห่วง “คุณตา คุณบอกว่าคุณปู่เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก นั่นก็หมายความว่าท่านเป็นอัมพาตงั้นสิ?”
ผู้เฒ่าเซี่ยถอนหายใจ “ก็ประมาณนั้นแหละ คนเราอายุมากแล้ว เผลอแป๊บเดียวร่างกายก็ทรุดโทรมไปแล้ว”
ชายชรามีสีหน้าโศกเศร้า ดูไม่เหมือนกำลังโกหก เสิ่นอวี้หลงที่ได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก
เขาคิดว่าคุณปู่ของเขาคงจะทำงานหนักเพื่อเขาจนเป็นอัมพาต
เขาเงยหน้าขึ้นมองกล้ามเนื้อที่เหี่ยวลงของตัวเองด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้แม่ของเขาแก่ลงอีกหลายปี คุณปู่ก็เป็นอัมพาตติดเตียง นึกไม่ออกเลยว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ครอบครัวของเขาจะต้องทุกข์ทนขนาดไหน
“เอาล่ะ หลานอย่าคิดมากเลยนะ รักษาตัวให้หายก่อน รอจนร่างกายแข็งแรงดีขึ้น เราค่อยไปเยี่ยมท่าน อีกไม่นานเธอก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว หลังจากนั้นก็ดูแลแม่ให้ดีล่ะ”
เมื่อพูดถึงเซี่ยหลาน น้ำตาของผู้เฒ่าเซี่ยก็เอ่อคลอ
เขาไม่สามารถบอกเสิ่นอวี้หลงได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาไม่สามารถปล่อยให้เสิ่นอวี้หลงรู้ได้ว่าลูกสาวของเขาต้องทนทุกข์ทรมานและเจ็บปวดเพียงใด
สิ่งเดียวที่สามารถบอกกับเขาได้ก็คือ ขอให้เขาให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเซี่ยหลาน
“คุณตาครับ ผมเข้าใจแล้ว”
เสิ่นอวี้หลงในฐานะผู้ชายคนหนึ่งถือว่าเป็นคนที่มีความอดทนมากในด้านการรักษา และยังให้ความร่วมมือในการรักษาของหมอแผนจีนเย่อย่างเต็มที่
หลังจากการฝังเข็มแล้ว เขาก็จะนอนบนเตียงเพื่อบริหารร่างกาย ในด้านอาหารการกิน เขาก็เคร่งครัดมาก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตามหลักโภชนาการ
ฝีมือการทำอาหารของเอ้อร์เลิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เขาเอาใจใส่อย่างเต็มที่ในการดูแลเสิ่นอวี้หลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสิ่นอวี้หลงในครั้งนี้ที่ย้ายเข้ามาขณะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นเหมือนกำลังใจให้กับเอ้อร์เลิ่งผู้ที่คอยดูแลเขามาเป็นเวลานาน
ตอนบ่าย ผู้เฒ่าเซี่ยบอกว่าจะออกไปซื้อของให้เสิ่นอวี้หลงข้างนอกสักพัก ให้เอ้อร์เลิ่งเป็นเพื่อนออกกำลังกายกับเสิ่นอวี้หลง แล้วเดี๋ยวเขาจะกลับมา
เอ้อร์เลิ่งดูกระตือรือร้นและมีเต็มใจเป็นอย่างมาก “คุณตาเซี่ยออกไปทำธุระของคุณเถอะครับ อย่าเป็นห่วงเรื่องอวี้หลงเลย ผมจะดูแลเขาเอง”
“ขอบใจมาก ช่วยจัดการแทนฉันด้วย”
หลังจากผู้เฒ่าเซี่ยออกไป เอ้อร์เลิ่งก็นำน้ำซุปกระดูกที่ตนเองเคี่ยวมาให้เสิ่นอวี้หลง “อวี้หลงรีบดื่มเถอะ ดื่มเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่พยุงไปที่ลานบ้าน แล้วเดินกันสักสองรอบ”
“ขอบคุณมากนะครับพี่เอ้อร์เลิ่ง”
เสิ่นอวี้หลงดื่มน้ำซุปกระดูกจนหมด เอ้อร์เลิ่งก็รับชามไปอย่างเอาใจใส่ แล้วก็หยิบกระดาษมาซับปากให้เสิ่นอวี้หลง
“พี่เอ้อร์เลิ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เย่หรือเปล่าครับ หรือว่ามาทำงานที่นี่เฉยๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะปิดความลับต่อไปได้นานอีกเท่าไหร่กันนะ แล้วจะบอกความจริงยังไงให้อวี้หลงไม่ช็อค เฮ้อ
ไหหม่า(海馬)
……….