ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 682 อย่าพลั้งปากพูดออกไป
ตอนที่ 682 อย่าพลั้งปากพูดออกไป
……….
ตอนที่ 682 อย่าพลั้งปากพูดออกไป
หลังกินข้าวเสร็จ เฉินเจียซิ่งก็อาสารับหน้าที่ล้างจานอย่างขะมักเขม้น เพราะอาหารที่ทำวันนี้ไม่เป็นอย่างที่เขาหวังจนเขารู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย
ความล้มเหลวที่นำมาซึ่งความอับอาย
เขาพบว่าทุกครั้งที่คิดจะแสดงความสามารถให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้เห็น มันมักจะล้มเหลวทุกครั้ง
ทว่าเขาก็ยังได้รับคำชมจาก พี่สะใภ้และภรรยาของเขา
เขาคิดว่าคราวหน้าจะต้องฝึกฝนการทำอาหารให้ดี จากนั้นค่อยมาแสดงฝีมือให้พวกเขาเห็นอีกครั้ง ให้พี่ใหญ่มองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไป
หยางหงเสียกล่าวว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกคุณไปพักผ่อนเถอะ เรื่องในครัวไม่ต้องกังวล เดียวพวกเราจะจัดการเองค่ะ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ ถ้าเสร็จแล้วพวกเธอก็ไปพักที่ห้องนั้นนะ เดี๋ยวประมาณบ่ายสองเราค่อยออกไปกัน”
ถึงหลินเซี่ยที่วุ่นมาทั้งเช้าจะบอกว่าไม่เหนื่อย แต่เพราะเธอกำลังท้องอยู่ เฉินเจียเหอจึงพาเธอเข้าไปนอนพักด้วยกัน
หลินเซี่ยที่มีท่าทีไม่อยากนอนในทีแรกได้นอนซุกในอ้อมกอดของเฉินเจียเหอ เพียงไม่กี่นาทีเฉินเจียเหอก็ผลอยหลับไป
เฉินเจียเหอทำงานกะกลางคืนมาทั้งคืน ตอนเช้าก็ได้นอนแค่2-3 ชั่วโมง และคืนนี้เขาก็ยังต้องไปทำงาน หากนอนไม่พอจะส่งผลกระทบต่อการทำงาน ทั้งนี้ภาระหน้าที่ของเขาไม่เหมือนคนอื่น จำเป็นที่จะต้องใช้สมาธิในการทำงานเป็นอย่างมาก
หลินเซี่ยพบว่า เมื่อใดที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเฉินเจียเหอ เขาจะนอนหลับได้เกือบจะในทันที
เธอเองก็เช่นกัน ตราบใดที่เขายังอยู่ใกล้ๆ เธอก็จะรู้สึกปลอดภัย
พวกเขาคุ้นชินกับการที่ต่างคนต่างอยู่เคียงข้างกันไปแล้ว ขาดใครไปคงจะอยู่ลำบาก
หลังจากที่เฉินเจียเหอนอนหลับแล้ว หลินเซี่ยก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วทบทวนเนื้อหาที่เธอสอนนักเรียนในเช้าวันนี้ เพื่อดูว่ามีอะไรละเลยไปหรือไม่ แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก
จากนั้นเธอก็เตรียมการสอนในช่วงบ่ายล่วงหน้า
บ่ายนี้ต้องเข้าสู่เนื้อหาการเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว
หลังจากที่เฉินเจียซิ่งกับหยางหงเสียจัดการกับห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองคู่ก็นั่งพักผ่อนอยู่ในห้องรับแขก หยางหงเสียถือสมุดโน้ต พลางจดบันทึกงานที่ต้องทำในช่วงบ่าย
เฉินเจียซิ่งมองหยางหงเสียที่มีท่าทางจริงจังมาก เขาสังเกตได้ว่าช่วงนี้ภรรยาของเขาดูเปลี่ยนไป
ถึงแม้จะไม่ได้แต่งตัวอะไรมากมาย แต่ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม
หากจะพูดให้ถูกก็คือ หล่อนดูดีมีสไตล์และฉลาดขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมการทำงานปัจจุบันของเธอ
หลังจากที่หยางหงเสียทำงานเสร็จ เฉินเจียซิ่งก็รีบรินน้ำมาให้หล่อนจิบแก้กระหาย
“หงเสีย ผมรู้สึกว่าพี่สะใภ้เป็นคนทำงานเก่งจริงๆ ต่อจากนี้คุณก็คอยเรียนรู้จากหล่อนให้มากๆ นะ หล่อนคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลย”
เฉินเจียซิ่งผู้ไม่มีอะไรดีเลยกระทั่งตอนนี้มองพี่สะใภ้ที่เปิดสถาบันสอนแต่งหน้าทำผมและทำงานไม่หยุดต่อให้ท้องโต ในฐานะผู้ชายแล้วก็รู้สึกชื่นชมเธอเป็นอย่างมาก
และยังรู้สึกละอายใจต่อตัวเองอีกด้วย
เขาเลยอยากให้หยางหงเสียคอยตามตามเธอ เรียนรู้อะไรดีๆจากเธอ
หยางหงเสียตาเป็นประกาย พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเห็นด้วย พี่สะใภ้เป็นคนที่น่าชื่นชมมาก ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพี่สะใภ้ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนเลย”
งานแต่งหน้าทำผมเป็นเหมือนชีวิตใหม่ของหล่อน
เมื่อก่อนหล่อนทำงานเป็นผู้จัดการตลาดอยู่กับเฉินเจียซิ่ง ซึ่งงานนั้นก็แค่หาเลี้ยงปากท้องไปวันๆ
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หล่อนค้นพบว่าตัวเองชอบงานช่างแต่งหน้ามากๆ การได้ใช้สองมือของตัวเองเนรมิตให้ผู้หญิงสวยและงดงามขึ้น มองดูใบหน้าของพวกหล่อนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจและสดใส ทำให้หล่อนรู้สึกภูมิใจมาก
หล่อนรู้สึกว่างานของตนมีความหมาย
หลินเยี่ยนก็เคยบอกว่าสิ่งที่ได้รับมากที่สุดจากงานนี้ก็คือความรู้สึกภูมิใจ
ถึงแม้จะไม่สามารถทำงานนี้ได้ทั้งหมด แต่หล่อนก็มีความมั่นใจ และความมุ่งมั่นอย่างมาก
บ่ายโมงกว่าๆ หลินเซี่ยพยายามลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าจะไปปลุกเฉินเจียเหอ
หลินเซี่ยที่พยายามขยับให้เบาที่สุดแล้วยังคงทำเฉินเจียเหอตื่น เธอเลยถามว่า “ทำไมคุณถึงตื่นขึ้นมาล่ะ? ฉันทำคุณตื่นหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า ผมตื่นเอง”
เฉินเจียเหอลุกขึ้น หยิบเสื้อโค้ทมาให้เธอ แล้วก็ยืนกรานจะไปส่งเธอที่สถาบันฝึกอบรม
เฉินเจียซิ่งก็ตั้งท่าจะไปส่งหยางหงเสียด้วย
หลินเซี่ยไม่อยากให้สองพี่น้องไปด้วย “พวกคุณอย่าไปเลย ขนาดเฉินเจียวั่งฉันยังไล่ไปแล้ว ในสถาบันมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น หากพวกคุณไปด้วย มีหวังนักเรียนหญิงพวกนั้นคงไม่มีสมาธิจดจ่อกับการเรียน พาลแต่จะมัวแอบมองพวกคุณตาเป็นมันแน่ๆ”
เฉินเจียซิ่งรู้สึกสบสนว่าควรจะดีใจกับคำพูดของหลินเซี่ยหรือไม่ “พี่สะใภ้ พี่หมายความว่าไง พี่ชมเราสองคนว่าหล่อ หรือว่ากำลังเหน็บแนมว่าพวกเราสองพี่น้องเจ้าชู้กันแน่”
หลินเซี่ยจ้องหน้าเขาแล้วถามกลับ “คิดว่าตัวเองเป็นแบบไหนล่ะ”
เฉินเจียซิ่งย่อมตอบแบบเข้าข้างตัวเองว่า “ถึงผมจะหล่อ แต่ผมน่ะไม่เจ้าชู้นะครับ”
หยางหงเสียรู้ดีว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น หล่อนก็กลัวเหมือนกันว่าหากสองพี่น้องคู่นี้ไปด้วยก็คงจะดึงดูดความสนใจของบรรดาเด็กสาวไปได้จริงๆ
โดยเฉพาะกับเฉินเจียซิ่ง ซึ่งหล่อนกังวลใจในเรื่องนี้มาก
“เอาตามที่พี่สะใภ้พูดเถอะ อย่าไปเลย”
แต่สุดท้ายเฉินเจียเหอผู้กังวลใจก็ไปส่งหลินเซี่ยที่สถาบัน เมื่อเห็นว่าเธอเข้าห้องเรียนแล้วจึงกลับบ้าน หลังจากที่ไล่ให้เฉินเจียซิ่งกลับบ้านแล้ว เขาก็ล็อคห้องและเข้านอน
ช่วงบ่าย หลินเซี่ยเริ่มสอนความรู้เฉพาะทางด้านการทำผมให้กับนักเรียน
หลังจากสอนทฤษฎีและเทคนิคแล้ว เธอก็ให้เอาหัวหุ่นมาหัดทำผมเลย
“ชุนฟาง เธอมาสอนการใช้เครื่องม้วนผมให้น้องๆหน่อย”
เธอที่เพิ่งสั่งงานชุนฟางได้ไม่นานก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยหลาน
เซี่ยหลานพูดเสียงดังฟังชัดเจน “เซี่ยเซี่ย แม่มีข่าวดีมาบอกลูก วันนี้แม่พาอวี้หลงไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลการตรวจออกมาว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สามารถทำกายภาพบำบัดได้เลย”
“แม่ นั่นเป็นข่าวดีมากเลยนะคะ”
หลินเซี่ยได้ยินเซี่ยหลานพูดก็ดีใจจนตัวลอย นี่คือข่าวที่เฝ้ารอคอยกันมาตลอด
ร่างกายของเสิ่นอวี้หลงกำลังพัฒนาไปในทางที่ดี ตราบใดที่การตรวจสอบไม่พบปัญหาใหญ่ การฟื้นตัวก็ใกล้เข้ามาแล้ว
“แม่คะ แล้วอวี้หลงจะต้องย้ายไปอยู่บ้านของหมอเย่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ พรุ่งนี้เขาจะย้ายไป คุณตาจะไปกับเขา หมอเย่ยังต้องรักษาเขาต่อ”
เซี่ยหลานพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจเล็กน้อย “น้องชายของลูกอยากเจอลูกมาก แม่บอกเขาแล้วว่าร่างกายยังไม่แข็งแรง พี่สาวตอนนี้ก็งานยุ่ง แต่เขาก็ไม่ฟัง”
หลินเซี่ยหัวเราะ “จริงเหรอคะ ถ้าอวี้หลงอยากเจอฉัน แม่ก็บอกสิ ฉันจะไปเยี่ยมเขา ถ้าไม่ติดว่าช่วงนี้ฉันกำลังเตรียมงานเปิดสถาบันอยู่ คงไปเยี่ยมเขาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาหมอเย่พอดี ว่าจะให้หมอเย่ตรวจร่างกายให้สักหน่อย”
“แต่ว่า…”
เซี่ยหลานครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวเตือน “เซี่ยเซี่ย เขามักจะถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา เขาอยากพบเสิ่นเถี่ยจวินและคุณปู่ของเขา และไหนจะเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของลูกด้วย แม่พยายามปิดบังเขามาโดยตลอด เมื่อถึงเวลานั้นลูกต้องจำไว้ว่าอย่าเผลอหลุดปากอะไรออกไป หากเขาถามก็พยายามเบี่ยงประเด็นหลบเลี่ยงไปก่อนนะลูก”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถึงเวลานั้นเซี่ยเซี่ยจะปิดบังความจริงยังไงเนี่ย
ไหหม่า(海馬)
……….