ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 679 เปิดคอร์สอบรมวันแรก
ตอนที่ 679 เปิดคอร์สอบรมวันแรก
……….
ตอนที่ 679 เปิดคอร์สอบรมวันแรก
หลินเซี่ยเตรียมงานเสร็จแล้วตั้งแต่ตอนเย็น พลางบอกหยางหงเสียและชุนฟางว่าพรุ่งนี้จะไปที่ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อต้อนรับนักเรียนด้วยกัน
ร้านตัดผมไม่ค่อยมีลูกค้ามากนักในช่วงเดือนแรกของปี ดังนั้นแค่อาจารย์หวังคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
ก่อนหน้านี้หลินเซี่ยได้อบรมหลินเยี่ยนและชุนฟางเกี่ยวกับวิธีการสอนนักเรียนให้แล้ว
หลินเยี่ยนถือว่ามีฝีมือแต่งหน้าชั้นครูแล้ว ส่วนชุนฟางในฐานะช่างตัดผมก็เยี่ยมมากเช่นกัน สามารถปล่อยให้พวกหล่อนสอนนักเรียนได้อย่างไม่มีปัญหา
แค่พวกหล่อนไม่รู้สึกประหม่าและถ่ายทอดความรู้ได้อย่างจริงใจก็นับว่าพอแล้ว
หลักสูตรการฝึกอบรมมีอยู่แล้ว พวกหล่อนแค่ทำตามหลักสูตรก็พอแล้ว หยางหงเสียในฐานะลูกมือมีหน้าที่คือเตรียมของสำหรับนักเรียนฝึกอบรม เช่น พวกหุ่นจำลองสำหรับฝึกตัดผม ส่วนหน้าที่รับผิดชอบซื้อหาก็เป็นของหยางหงเสีย
พวกเขาเริ่มเตรียมการตั้งแต่เดือน 12 แล้ว และด้วยความช่วยเหลือจากเฉินเจียเหอและหลินจินซาน ทุกอย่างก็พร้อมสรรพ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยออกไปรวมตัวกับทุกคนที่ศูนย์ฝึกอบรมตั้งแต่เช้า ชุนฟางและหลินเยี่ยนต่างขยันมาก ทั้งสองคนมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า
ทั้งสองคนฝึกฝนตามหลักสูตรซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าและคิดว่าิาจจะทำงานนี้ได้ไม่ดีพอ
หากเป็นเรื่องปฏิบัติ พวกหล่อนสามารถทำได้อย่างมั่นใจ แต่พอเป็นเรื่องของการสอนกลับประหม่าเป็นอย่างมาก ไม่มั่นใจว่าตนจะมีคุณสมบัติเพียงพอ
เมื่อหลินเซี่ยมาถึง ชุนฟางและหลินเยี่ยนก็รีบวิ่งเข้าไปหาเธอ
“พี่สาว พี่มาแล้ว”
ท่ามกลางสภาพอากาศในเดือนแรกของปี หลินเยี่ยนมีเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าราวกับพึ่งไปยกของหนักมาก็ไม่ปาน
“เสี่ยวเยี่ยน ทำไมเหงื่อไหลขนาดนี้”
หลินเยี่ยนขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างไม่สบายใจ “พี่ ฉันกับพี่ชุนฟางรู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ พี่บอกว่าให้เราสองคนสอนนักเรียน ความรู้ระดับพวกเราจะสอนเด็กได้หรอคะ?”
ที่สำคัญคือพวกหล่อนกลัวว่าทันทีที่ตัวเองพูดแล้ว เหล่านักเรียนจะทวงค่าเล่าเรียนคืนและไม่เรียนต่อ
“เรื่องนี้เองเหรอ?” หลินเซี่ยพูดพร้อมกับหัวเราะ “อย่าตื่นเต้นสิ มีฉันอยู่ไม่ต้องกังวล เริ่มแรกฉันไม่ให้พวกเธอลงมือสอนนักเรียนเองหรอก ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ปิดคลาสแน่ พวกเธอเป็นครูพี่เลี้ยง ส่วนฉันจะสอนทฤษฎีเอง เมื่อถึงเวลาที่นักเรียนลงมือทำ พวกเธอก็คอยให้คำแนะนำกับพวกเขา ที่ฉันให้พวกเธอเรียนหลักสูตรก็เพื่อให้พวกเธอเรียนรู้ตามไปด้วย ถ้าเกิดนักเรียนถามขึ้นมาพวกเธอจะได้ตอบได้”
ชุนฟางและหลินเยี่ยนปฏิบัติจริงได้ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ข้อเสียใหญ่ที่สุดของทั้งคู่คือความประหม่า
ทั้งสองคนนี้มีการศึกษาไม่สูงนัก ทั้งยังพูดไม่เก่ง ดังนั้นเธอจึงสั่งพวกหล่อนไว้ล่วงหน้า ส่งเนื้อหาหลักสูตรให้พวกหล่อน และบอกให้พวกหล่อนตั้งใจเรียน บอกว่าเมื่อเปิดคลาสเรียนแล้ว เธอจะให้พวกเธอเป็นครูผู้สอน
ทั้งหมดก็เพื่อกระตุ้นให้พวกหล่อนเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
เธอจะปล่อยให้พวกหล่อนสอนนักเรียนได้อย่างไร
เพียงแค่ต้องการให้พวกหล่อนมีความรู้ทางทฤษฎี พัฒนาการพูดและการแสดงออกเท่านั้น
เมื่อนักเรียนถามคำถามก็จะสามารถตอบได้
หลังจากที่ได้ยินหลินเซี่ยบอกว่าไม่ให้สอน พวกหล่อนก็พากันลูบหน้าอกด้วยความโล่งใจ
หลินเยี่ยนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ บ่นว่า “พี่สาว พี่น่าจะบอกแต่แรก ทำเอาพวกเราตกใจหมด ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน ขนาดในฝันยังฝันว่าตัวเองกำลังสอนนักเรียนอยู่เลย”
“อย่ากังวลไป ฉันก็อยู่ที่นี่ ฉันจะจัดการให้ แต่พวกเธอก็อย่าได้ละเลยการเรียนล่ะ”
“ว่าแต่หงเสียยังไม่มาอีกเหรอ” หลินเซี่ยถามหลินเยี่ยน
หลินเยี่ยนตอบว่า “พี่สาวหงเสียอาจจะมาช้าหน่อย”
ชุนฟางกับหลินเยี่ยนเช็ดโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ทั้งหมด
ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่รอให้นักเรียนมารายงานตัวเพื่อเข้าเรียน
เฉินเจียเหอออกจากงานกะดึกแล้ว เขามาที่นี่พร้อมกับหลินจินซานและเฉินเจียวั่ง
ในวันเปิดเรียนวันแรก พวกเขาต้องทำให้เด็กสาวทั้งหลายเกรงใจ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครก่อเรื่อง
เมื่อวานหลินเซี่ยได้กำชับเฉินเจียเหอเป็นการใหญ่ว่า เมื่อออกจากกะกลางคืนแล้วก็ให้รีบนอนไม่ต้องมา เพราะเธอไม่มีอะไรต้องทำ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมา
เพราะพี่ชายของเธอพูดว่าหลังเลิกงานไม่มีอะไรทำเลยอยากมาช่วยพวกเธอ แถมชุนฟางก็อยู่ที่นี่ด้วย หลินเซี่ยจึงตอบรับคำขอของเขาด้วยการให้เขามาช่วยชุนฟางลงทะเบียนเรียน
แต่สุดท้ายเฉินเจียเหอและเฉินเจียวั่งต่างก็มากันครบ หลินเซี่ยเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงมากันหมดเลยล่ะคะ?”
เธอหันไปทางเฉินเจียวั่งพลางหัวเราะ “นายก็มาเรียนด้วยกันสิ”
เฉินเจียวั่งกอดอก ตอบกลับอย่างวางท่า “พี่ใหญ่ลากฉันมา พวกเรามาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยน่ะ”
หลินเซี่ยหัวเราะ “มีพี่ชายฉันเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยคนเดียวก็พอแล้ว จะเอาคนมาอีกทำไมเยอะแยะ”
“งั้นฉันไปละ” เฉินเจียวั่งที่เพิ่งจะตื่นนอนพลันลืมตาปรือ ใบหน้าหล่อเหลาดูขรึมลง ทำท่าจะหันหลังกลับ
เมื่อเดินไปถึงประตู เฉินเจียซิ่งกับหยางหงเสียก็เดินเข้ามาพอดี
เฉินเจียซิ่งเป็นคนพาหยางหงเสียมาส่ง
อีกอย่างเขาเองก็อยากรู้ว่าตัวเขามีอะไรให้ทำในคลาสฝึกอบรมนี้บ้าง
ช่วงปีใหม่ งานของเขาไม่ยุ่งมาก วันนี้เลยกะว่าจะมาช่วยพวกเขา แต่พอขึ้นมาชั้นบนก็เห็นว่าพี่ใหญ่และน้องสามอยู่ที่นี่ด้วย
เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ดูสดชื่นแจ่มใสมากกว่าเขา ดังนั้นเขาคงไม่ต้องอยู่ช่วยงานที่นี่แล้ว
เฉินเจียซิ่งเดินเข้ามาพลางหัวเราะ “อ้าว อยู่กันครบเลยเหรอ?”
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าอันแสนเย็นชาราวกับมีคนติดหนี้ของน้องชายคนเล็ก “เจ้าสาม นายออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เพิ่งมา”
“ใครทำให้นายอารมณ์เสียเนี่ย” เฉินเจียซิ่งเหลือบมองเข้าไปข้างใน พลางหัวเราะเยาะ “น้องสะใภ้สามไม่ได้มาเหรอ?”
ทำไมถึงทำหน้าบึ้งตึงแบบนี้? หรือว่ามาแล้วไม่เจอแฟน เลยจะกลับแล้ว?
หยางหงเสียวางกระเป๋าลง หยิบทะเบียนรายชื่อนักเรียนที่เตรียมไว้สำหรับลงทะเบียนออกมา ในขณะที่เฉินเจียซิ่งคุยเสียงดังอยู่กับเฉินเจียวั่ง ด้วยกลัวว่าหลินเซี่ยจะโกรธ เธอจึงพูดกับหลินเซี่ย “พี่สะใภ้ เจียซิ่งเองก็อยากมาช่วยงานที่นี่เหมือนกันค่ะ ถ้ามีงานหนักอะไรก็ให้เขาทำได้นะคะ”
“ไม่มีอะไรให้ทำหรอก กลับไปทำงานเถอะ”
หลินเซี่ยหันไปหาเฉินเจียเหอ “พวกคุณกลับไปเถอะ หากยังยืนอยู่ตรงนี้ นักเรียนคงไม่กล้าเข้ามาเรียนกันพอดี ที่นี่มีแค่พี่ชายฉันคนเดียวก็พอแล้ว หรือไม่ก็ให้เจียวั่งอยู่ที่นี่แล้วคุณกลับไปนอนชดเชยที่ทำงานกะดึก น้องสามีจะได้ทำงานแทน”
ลำพังพวกเขาเองก็มีแปดคนแล้ว พื้นที่แค่นี้ หากเข้ามากันเยอะคงไม่ได้ขยับกันพอดี
โดยเฉพาะเฉินเจียซิ่งที่ส่งเสียงดังลั่นจนเธอปวดหัว เดี๋ยวนักเรียนมาถึงคงจะหวาดกลัวจนไม่ได้เรียนกันพอดี
ส่วนเฉินเจียเหอในตอนนี้มีดวงตาแดงก่ำ ดูแล้วช่างน่าสงสารมาก
ดูเหมือนเขาทำงานมาทั้งคืนจนไม่ได้นอนพักเลย
เธอรู้ว่าช่วงนี้เฉินเจียเหอทำงานหนักมาก เพราะการปรับจูนอุปกรณ์ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มความเร็วของขบวนรถไฟความเร็วสูงนั้นต้องใช้พลังสมองอย่างมาก ได้ข่าวว่าหวังกงเพื่อนร่วมงานของเขาถึงขั้นอยู่อาศัยและทำงานอยู่ในโรงงานเลย
เป็นเพราะเธอตั้งครรภ์อยู่ เฉินเจียเหอที่แม้จะยุ่งแค่ไหนก็จะกลับมาดูแลเธอทุกวัน
หลินเซี่ยเห็นเขาเป็นเช่นนี้แล้วก็อดสงสารไม่ได้
งานที่เขากำลังทำนั้นยากลำบากแต่ก็ยิ่งใหญ่มาก รถไฟความเร็วสูงมีความสำคัญอย่างมากต่อความเจริญก้าวหน้าของสังคม เขามีหน้าที่เป็นช่างเทคนิคหลัก เวลานี้จึงจำเป็นต้องตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ในฐานะสมาชิกครอบครัว สิ่งที่เธอทำได้ก็คือไม่ก่อความรำคาญให้เขา เพื่อให้เขาจดจ่ออยู่กับงานได้อย่างไม่เต็มที่
แต่สำหรับเฉินเจียเหอแล้ว ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์มีการเรียนการสอนในวันแรกของการอบรมทำให้เขาไม่วางใจ จึงตามมาที่นี่เพื่อดูแลด้วยตัวเอง
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอ รอให้นักเรียนมาจนพร้อม และทุกอย่างไม่มีปัญหา เขาจึงจะวางใจได้
ประเด็นสำคัญคือสุขภาพของหลินเซี่ย เขายังกลัวว่าเธอจะทำงานหนักเกินไปหากไม่มีเขาคอยปราม
หลินเซี่ยเหลือบมองนาฬิกา ขณะนี้แปดโมงครึ่งแล้ว ซึ่งนักเรียนจะมารายงานตัวกันตอนเก้าโมง
คนมากมายเช่นนี้ ไม่น่าจะเหมาะนัก
เธอจับมือเฉินเจียเหอแล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“คุณไปนอนเถอะ ฉันจะให้พี่ชายฉันกับเจียวั่งอยู่เป็นเพื่อน ไม่เกินเที่ยงฉันก็จะกลับแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรเดี๋ยวฉันจะโทรหา คุณมัวแต่ยืนทำหน้าขึงขังอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวนักเรียนก็กลัวจนไม่กล้าเข้ามาลงทะเบียนเรียนกันพอดี”
หลินเซี่ยวางแผนให้เฉินเจียวั่งและหลินจินซานอยู่เป็นเพื่อน เพราะตอนที่รับสมัครทั้งสองคนก็อยู่ตรงนั้น เด็กนักเรียนน่าจะคุ้นเคยกับพวกเขา หากมีคนแปลกหน้าโผล่มา อาจทำให้คนอื่นมองว่าพวกเขาไม่เป็นมืออาชีพและคิดว่าเป็นกลุ่มมิจฉาชีพ
“ไป เจียซิ่งกลับบ้านกันเถอะ ยังมีงานอีกเยอะ รอบหน้าค่อยมาช่วยอีกที”
เฉินเจียเหอกับเฉินเจียซิ่งถูกหลินเซี่ยเชิญกลับ
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง
เฉินเจียซิ่งมองพี่ใหญ่ที่โดนพี่สะใภ้ไล่ออกมา ก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้ “พี่ใหญ่ เห็นไหมว่ายังไงคนหนุ่มคนสาวเขาก็ทำงานเข้าขากันได้ดีกว่า พี่กับพี่สะใภ้มีช่องว่างระหว่างวัยละนะ เขาก็เลยไม่ให้พี่มายุ่งกับงานของเขา”
เฉินเจียเหอที่ถูกไล่ออกมาค่อนข้างผิดหวังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อถูกเฉินเจียซิ่งล้อเลียน เขาจึงยิ่งรู้สึกคับข้องใจ
“ขืนพูดจาไร้สาระอีกที ฉันจะเตะนายให้ตาย”
เฉินเจียเหอวาดขาเตะก้นของเฉินเจียซิ่ง
แต่เฉินเจียซิ่งหลบได้อย่างว่องไว
เขาเคยถูกเตะบ่อยครั้ง ฝีมือการหลบหลีกในตอนนี้จึงพัฒนาขึ้นมาก
“ฉันพูดเล่น พี่สะใภ้เขาก็คงเป็นห่วงพี่ หล่อนกลัวว่าพี่จะทำงานกะดึกไม่ไหว” เฉินเจียซิ่งมองดวงตาพี่ใหญ่ เห็นเส้นเลือดแดงๆ รอยคล้ำใต้ตา และไรหนวดเคราเขียวครึ้มของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้
พี่ใหญ่ช่วงนี้ทำงานหนักมาก ได้ยินมาว่ากำลังวิจัยรถไฟความเร็วสูง เวลาที่ปู่กับพ่อพูดถึงพี่ใหญ่ สีหน้าจะเต็มไปด้วยความภูมิใจ
ไม่เหมือนเขา ที่เหมือนคนไม่เอาการเอางานคนหนึ่ง
พูดตามจริง ช่วงนี้เขาไม่กล้าลางานเลย
กลัวหัวหน้าจะบอกว่ามีเขาก็เหมือนไม่มี
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สภาพพี่เหอใกล้จะไม่ไหวแล้ว พี่ไปนอนเถอะ เมียพี่มีคนช่วยเยอะแล้วไม่ต้องห่วง
ไหหม่า(海馬)