ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 662 เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน
ตอนที่ 662 เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน
ตอนที่ 662 เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน
ขณะกำลังจัดถ้วยและตะเกียบให้ทุกคน เจียงกั๋วเซิ่งได้ยินหลินเซี่ยคุยโทรศัพท์กับเซี่ยหลาน เขาเงยหน้าขึ้นมอง
พอหลินเซี่ยวางสาย เจียงกั๋วเซิ่งก็ถามอย่างเป็นห่วง “เซี่ยเซี่ย คุณหมอเซี่ยเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอหล่อนมานานแล้ว หล่อนสบายดีไหม?”
ในฐานะเพื่อนบ้าน เจียงกั๋วเซิ่งเห็นใจเซี่ยหลานมาก
ตั้งแต่บ้านของเสิ่นเถี่ยจวินถูกยึด เซี่ยหลานย้ายออกไป พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
หลินเซี่ยตอบ “อาเจียง แม่ฉันสบายดีค่ะ จริงด้วย ลืมบอกข่าวดีไปเลย อวี้หลงฟื้นแล้วนะคะ”
ได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย ตะเกียบในมือของเจียงกั๋วเซิ่งสั่นเล็กน้อย เขามองหลินเซี่ยอย่างเหลือเชื่อ “เซี่ยเซี่ย เธอว่าไงนะ อวี้หลงฟื้นแล้ว?”
หลินเซี่ยพยักหน้ายิ้ม ๆ “ใช่แล้วค่ะ เขาฟื้นแล้ว”
ดวงตาเจียงกั๋วเซิ่งฉายแววยินดี เขามองหลินเซี่ยอย่างคาดหวัง “สวรรค์ เป็นข่าวดีจริง ๆ เด็กคนนั้นรู้สึกตัวแล้ว ฟื้นได้ยังไง? ได้แพทย์แผนจีนคนนั้นฝังเข็มจนฟื้น?”
หู่จือที่กำลังตักข้าวอยู่ได้ยินพวกเขาพูดถึงน้าอวี้หลง เขาก็หยุดตักข้าว ใบหน้าเล็ก ๆ เชิดขึ้นอย่างภูมิใจ “คุณปู่ผู้อำนวยการครับ ผมเป็นคนปลุกน้าเอง ผมพูดกับน้าแล้วเขย่าน้าไปสองทีก็ตื่นแล้ว”
แม้ครั้งนี้หู่จือจะทำอะไรบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ผลลัพธ์ออกมาดี ทั้งยังเป็นช่วงปีใหม่ จึงไม่เหมาะที่จะดุเด็ก ๆ
เซี่ยหลานยังชมว่าหู่จือเป็นผู้มีพระคุณของเสิ่นอวี้หลง หลินเซี่ยและคนอื่น ๆ จึงไม่ได้ตำหนิหู่จือ ทำให้หู่จือยิ่งได้ใจใหญ่
ตอนนี้ไม่ว่าใครพูดถึงเสิ่นอวี้หลง หู่จือเป็นต้องโม้ว่าเขาเป็นคนทำให้น้าฟื้นขึ้นมาเอง
เจียงกั๋วเซิ่งและคนอื่น ๆ ไม่ได้ถือสาคำพูดไร้เดียงสาของหู่จือ
“หู่จือ เวลาผู้ใหญ่คุยกันห้ามพูดแทรก ไม่รู้เหรอ? ตั้งใจกินข้าว” เฉินเจียเหอมองหู่จือด้วยสีหน้าไม่พอใจ หู่จือกลัวจนรีบก้มหน้าก้มตาตักข้าว
หลินเซี่ยอธิบาย “แพทย์แผนจีนเย่กับคุณหมอเย่ช่วยกันรักษาเขา ก่อนช่วงปีใหม่ก็มีสัญญาณว่าจะฟื้นแล้ว มารู้สึกตัวในช่วงปีใหม่พอดี หู่จือเป็นคนแรกที่พบค่ะ”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” เจียงกั๋วเซิ่งถอนหายใจโล่งอก “ดีจริง ๆ อวี้หลงฟื้นแล้ว นี่เป็นข่าวที่ดีมาก เด็กคนนั้นลำบากมามาก ในที่สุดคุณหมอเซี่ยก็ผ่านช่วงที่ยากลำบากที่สุดมาได้เสียที”
เขาเห็นเสิ่นอวี้หลงมาตั้งแต่เล็กจนโตแล้วต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงแบบนี้ ในฐานะเพื่อนบ้านก็อดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้ ทั้งสงสารเสิ่นอวี้หลงและเห็นใจเซี่ยหลาน
เจียงกั๋วเซิ่งถามหลินเซี่ย “ตอนนี้อวี้หลงอยู่ที่ไหน? พวกเราอยากไปเยี่ยมเขา ฉันก็คิดถึงอวี้หลงเหมือนกัน ฉันไปเยี่ยมครั้งล่าสุดก็ตอนที่เขาเพิ่งเข้าโรงพยาบาล นี่ก็ผ่านมาปีหนึ่งแล้วสินะ”
หลินเซี่ยตอบว่า “อาเจียง ตอนนี้แม่ฉันกับอวี้หลงย้ายไปอยู่บ้านคุณตาแล้ว อีกไม่กี่วันน่าจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลอีก ผ่านไปอีกสักพักถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็น่าจะย้ายกลับไปอยู่กับผู้อาวุโสเย่”
“ได้ งั้นฝากเธอทักทายเขาแทนฉันด้วย ผ่านไปอีกสักพักฉันค่อยไปเยี่ยมเขาก็แล้วกัน”
ในฐานะอดีตเพื่อนบ้าน ได้ยินข่าวดีแบบนี้ เจียงกั๋วเซิ่งกับเจียงอวี่เฟยต่างก็รู้สึกยินดีจากใจจริง
นับว่าสวรรค์มีตา
แม้เสิ่นเถี่ยจวินจะไม่ใช่คนดี แต่เซี่ยหลานกับเสิ่นอวี้หลงไม่ได้ทำอะไรผิด สมัยก่อนตอนเป็นเพื่อนบ้านกันพวกเขาก็เข้ากันได้ดี
เจียงอวี่เฟยบอกว่ารอให้เสิ่นอวี้หลงตรวจสุขภาพอาการมั่นคงดีแล้ว หล่อนกับคุณพ่อค่อยไปเยี่ยมเสิ่นอวี้หลง
หลังจากได้ยินข่าวดี บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็รื่นเริงกว่าเดิม ทุกคนมีความสุข เจียงกั๋วเซิ่งยังให้เจียงอวี่เฟยรินเครื่องดื่มให้ทุกคนเพื่อฉลองให้กับเสิ่นอวี้หลง
หลินเซี่ยดูออกว่าเจียงกั๋วเซิ่งรู้สึกยินดีแทนเสิ่นอวี้หลงจากใจจริง เขาเป็นคนซื่อตรงจริงใจ ไม่เหมือนกับเสิ่นเถี่ยจวินที่เป็นคนเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว
ชาติก่อน เจียงกั๋วเซิ่งถูกเสิ่นเถี่ยจวินกับพวกใส่ร้ายจนกลายเป็นแพะรับบาป ถูกตัดสินให้รับโทษ เจียงอวี่เฟยก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ ต้องเร่ร่อนไปเรื่อย
หลินเซี่ยรู้สึกดีใจมากที่ชาตินี้เธอช่วยเหลือพ่อลูกคู่นี้ได้
เจียงอวี่เฟยเห็นว่าพ่อของเธออารมณ์ดีเพราะเรื่องเสิ่นอวี้หลง จึงยิ้มถามว่า
“พ่อ พ่อรีบตอบมาเถอะว่าจะถ่ายรูปแต่งงานกับน้าหวังหรือไม่ถ่าย?”
เจียงกั๋วเซิ่งได้ยินคำพูดของเจียงอวี่เฟยก็หันไปมองหวังซิ่วฟางพร้อมรอยยิ้ม ตอบอย่างเต็มอกเต็มใจว่า “เสี่ยวหวัง เรื่องนี้สิทธิ์ตัดสินใจเป็นของคุณ ถ้าคุณบอกว่าถ่ายรูปแต่งงานก็ถ่าย บอกว่าจัดงานแต่งก็จัด ผมไม่มีข้อแย้ง ผมจะให้ความร่วมมือเต็มที่”
การเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างฉับพลันของเจียงกั๋วเซิ่งทำให้หวังซิ่วฟางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจียงกั๋วเซิ่งจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ จึงพูดว่า
“อย่าฝืนตัวเองเลยค่ะ”
เจียงกั๋วเซิ่งโบกมือ “ไม่ฝืน ผมเอาอย่างคนหนุ่มสาวสักครั้งบ้างจะเป็นไร”
หลินเซี่ยกับเฉินเจียเหอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำพูดของเจียงกั๋วเซิ่งก็หันมาสบตากัน
ความจริงแล้ว หลินเซี่ยพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าทำไมเจียงกั๋วเซิ่งถึงเปลี่ยนท่าทีกะทันหันแบบนี้
เพราะว่าหลังจากที่เสิ่นเถี่ยจวินถูกสอบสวน เจียงกั๋วเซิ่งก็ได้ขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งผู้อำนวยการของเสิ่นเถี่ยจวิน กลายเป็นหัวหน้าใหญ่ ฉะนั้นแล้วในเรื่องส่วนตัวจึงพยายามใช้ชีวิตให้เงียบ ๆ ที่สุด เพราะกลัวว่าถ้าโอ้อวดเกินไป พวกเซี่ยหลานรู้แล้วจะไม่สบายใจ
มีคำกล่าวไว้ว่า ตอนที่คนอื่นหิวโหย การไม่กินข้าวเสียงดังต่อหน้าพวกเขาถือเป็นความเมตตาอย่างหนึ่ง
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นอวี้หลงฟื้นคืนสติ เซี่ยหลานก็ราวกับพบฟ้าหลังฝน มีความหวังให้ใช้ชีวิตต่อไป
ภาระทางใจของเจียงกั๋วเซิ่งจึงทุเลาลง
เมื่อเจียงอวี่เฟยเห็นว่าในที่สุดผู้เป็นพ่อก็ยอมตกปากรับคำ เต็มใจให้ความร่วมมือ หล่อนก็เหลือบมองอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้พ่อหล่อนจงใจปฏิเสธพอเป็นพิธี?
แต่ไม่ว่าอย่างไร ยอมถ่ายรูปแต่งงานก็ดีแล้ว
หล่อนจึงพูดว่า
“เซี่ยเซี่ย งั้นเธอไปนัดช่างภาพร้านเช่าชุดแต่งงานของเธอล่วงหน้าได้เลย จัดให้พ่อกับน้าหวังเป็นลูกค้ารายแรกหลังปีใหม่ของที่ร้านเลยนะ”
“ไม่มีปัญหา”
เจียงอวี่เฟยปากไวใจเร็ว พูดว่า “งั้นก็ตกลงตามนี้ ฉันเพิ่งไปร่วมอัดรายการกับอาหญิงเซี่ยอวี่มาพอดี ได้เงินมานิดหน่อย ฉันรับผิดชอบค่าถ่ายรูปแต่งงานให้พ่อกับน้าหวังเอง ส่วนเรื่องงานแต่งฉันไม่แทรกแซง พ่อกับน้าหวังคุยกันเองเลย”
เจียงกั๋วเซิ่งได้ยินว่าลูกสาวจะออกค่าถ่ายรูปแต่งงานให้ เขาก็ปลื้มใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
ลูกสาวใช้เงินเขามานับยี่สิบปี ในที่สุดก็ได้คืนเสียที
เจียงกั๋วเซิ่งมองลูกสาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ขอบตารื้นโดยไม่รู้ตัว
มีลูกสาวที่เอาใจใส่เข้าอกเข้าใจแบบนี้ถือเป็นบุญวาสนาของเขาแล้ว
ปีที่แล้ว หวังซิ่วฟางเล่าให้ฟังว่าที่บ้านพักของโรงงานผลิตรถยนต์มีชายสูงวัยคนหนึ่งแต่งงานใหม่แล้วลูกชายไปอาละวาดที่งานแต่ง จนพ่อลูกต้องไปสถานีตำรวจ ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกัน
เขาช่างโชคดีที่มีลูกสาวรู้ความและละเอียดอ่อนแบบนี้ ยังแนะนำหวังซิ่วฟางกับลูกสาวให้เขาด้วยตัวเอง
ไม่เสียแรงที่เขาเป็นทั้งพ่อและแม่ให้หล่อนมาจนโต
พอพูดถึงงานแต่ง หวังซิ่วฟางก็พูดความคิดของตัวเองออกมา
“ไม่จัดงานแต่งดีกว่า ฉันกับเหล่าเจียงคุยกันแล้วว่าจะเชิญญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมากินข้าวด้วยกันก็พอ ไม่ต้องจัดงานใหญ่โตให้สิ้นเปลือง”
เจียงกั๋วเซิ่งพูด “ทำตามที่น้าหวังของลูกว่าก็แล้วกัน”
หลินเซี่ยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะบอกซานเหย่จัดคิวให้พวกคุณ”
พอพูดถึงช่างภาพ เจียงอวี่เฟยก็อดสงสัยไม่ได้
“จริงด้วย เซี่ยเซี่ย ซานเหย่คนนี้เขาเป็นใครมาจากไหนเหรอ? ตอนฉันไปอัดรายการกับอาหญิงเซี่ยอวี่ก็บังเอิญเจอช่างภาพที่ถ่ายรูปให้อาหญิงเซี่ยอวี่ เขาพูดถึงชื่อซานเหย่ด้วยท่าทางชื่นชมมากทีเดียว ยังพูดประมาณว่าเสียดายอีกด้วย”
“เขาเคยทำงานในสำนักข่าว คงมีเพื่อนฝูงในวงการด้วยกระมัง”
หลินเซี่ยถอนหายใจ “เขาเก่งมากเลยนะ ตอนนี้มาทำงานอยู่ร้านเช่าชุดแต่งงานของฉัน น่าเสียดายฝีมือจริง ๆ”
“มิน่าล่ะ” เจียงอวี่เฟยยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเขาเก่งขนาดนี้ งั้นฉันจะแนะนำเขาให้พี่สาวลินดา อย่าฝังกลบคนเก่งไว้แบบนี้เลย”
ได้ยินบทสนทนาระหว่างหญิงสาว เฉินเจียวั่งที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปทางเจียงอวี่เฟย
เห็นเจียงอวี่เฟยยิ้มสดใสขณะพูดถึงช่างภาพคนนั้น เขาก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ และเนื้อในถ้วยก็ไม่อร่อยเหมือนเดิมอีกต่อไป
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจียวั่งชอบเขาแล้วก็บอกไปเลย เอาแต่เล่นตัวอมพะนำอยู่เดี๋ยวไม่มีโอกาสได้บอกนะ สาวเค้าเป็นดาวดังขนาดนั้น
ไหหม่า(海馬)