ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 661 สิ่งของยังคงเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนที่ 661 สิ่งของยังคงเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนที่ 661 สิ่งของยังคงเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว
หวังซิ่วฟางเห็นเจียงกั๋วเซิ่งลังเลไม่ยอมตอบเสียทีจึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แต่ก็ยังยิ้มและพูดว่า “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้”
วันนี้ที่บ้านมีแขก มาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพวกหลินเซี่ยก็น่ากระอักกระอ่วนใจเกินไป
หล่อนเป็นผู้หญิง จึงไม่แปลกที่จะอยากถ่ายภาพแต่งงานกับคู่ชีวิตของตัวเอง
แต่หล่อนก็เข้าใจดีว่าไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะเป็นเหมือนเฉินเจียเหอ หลอนที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งจึงลดความหวังลง ไม่ได้หวังว่าจะเป็นเหมือนหลินเซี่ยที่ได้พบกับชายหนุ่มที่คล้อยตามเธอและคิดทุกอย่างแทนเธอ
นั่นไม่ใช่โชคชะตาของหล่อน
อีกอย่าง เจียงกั๋วเซิ่งยังเป็นถึงผู้อำนวยการโรงงาน การที่เขาอยากแต่งงานกันเงียบ ๆ เป็นเรื่องที่หล่อนเข้าใจได้
แม้ในใจจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ความเอาใจใส่ของเจียงอวี่เฟยก็ทำให้หล่อนรู้สึกอบอุ่นใจมาก
แม้จะไม่ได้ถ่ายภาพชุดแต่งงาน ไม่จัดงานแต่ง ขอเพียงเจียงกั๋วเซิ่งปฏิบัติต่อพวกหล่อนแม่ลูกด้วยความจริงใจ และอยู่ร่วมกับเจียงอวี่เฟยได้อย่างรักใคร่กลมเกลียว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หล่อนผ่านเรื่องต่าง ๆ มามาก จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพิธีรีตองมากนัก
หวังซิ่วฟางกำลังจะกลับเข้าไปในครัว เจียงกั๋วเซิ่งก็โพล่งขึ้นมาว่า
“เสี่ยวหวัง คุณอยากถ่ายรูปแต่งงานไหม?”
หวังซิ่วฟางเงยหน้ามองเขา แต่ไม่ได้ตอบ
หล่อนใช้ความเงียบตอบคำถามของเจียงกั๋วเซิ่ง
เจียงกั๋วเซิ่งเข้าใจความคิดของหวังซิ่วฟาง เขาจึงลุกขึ้นเดินไปหาหล่อนแล้วอธิบายว่า “ผมคิดว่าพวกเราต่างก็ผ่านการแต่งงานมาแล้วจึงอยากทำอะไรให้เรียบง่ายที่สุด ผมมีหนวดเครารกรุงรัง หน้าก็เหี่ยวย่นไปหมดแล้ว ถ้าให้ยืนอยู่ข้างคุณแล้วถ่ายรูปออกมาคงจะไม่เหมาะสมกัน ที่ทำงานบางทีก็ให้ถ่ายรูปเพื่อการทำงานอยู่บ่อย ๆ ผมปวดหัวกับเรื่องนี้มาก”
หวังซิ่วฟางฟังคำพูดของเจียงกั๋วเซิ่งแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น
เขาไม่อยากถ่ายรูปเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร?
เพราะเจียงกั๋วเซิ่งเป็นผู้อำนวยการโรงงาน หวังซิ่วฟางจึงมักรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขา รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า
ที่แท้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับหล่อนเหมือนกัน?
หวังซิ่วฟางพลันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เฉินเจียเหอที่นั่งดูมาแต่ต้นเอ่ยขึ้นมายิ้ม ๆ
“ผู้อำนวยการเจียง แต่ละช่วงวัยล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัว เซี่ยเซี่ยเป็นช่างแต่งหน้า ถึงตอนนั้นค่อยให้หล่อนแปลงโฉมให้คุณ โกนหนวด แต่งหน้าแต่งตัวนิดหน่อย แค่นี้ก็ดูเด็กลงแล้ว”
ไม่มีใครจะเข้าใจเจียงกั๋วเซิ่งได้ดีไปกว่าเฉินเจียเหอ
เพราะเขามักจะรู้สึกไม่มั่นใจต่อหน้าภรรยาเพราะเรื่องอายุเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ คนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างเขาจึงเอ่ยให้กำลังใจเจียงกั๋วเซิ่งอย่างหาได้ยาก
เจียงอวี่เฟยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว ช่างภาพร้านเช่าชุดแต่งงานของเซี่ยเซี่ยมีฝีมือมาก เขาเก่งมาก ๆ เป็นช่างภาพมืออาชีพ ภาพที่ถ่ายออกมาล้วนดูดีทั้งนั้น เขาจะต้องถ่ายภาพพ่อให้ออกมาหล่อแน่นอนค่ะ”
เจียงกั๋วเซิ่งลูบหน้าพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ “หน้าตาอย่างพ่อจะหล่อได้สักแค่ไหนเชียว?”
ริ้วรอยบนใบหน้าก็คงไม่หายไปหรอก
“พ่อ ในใจน้าหวัง พ่อหล่อที่สุดแล้ว ต่อไปนี้รูปภาพก็จะแขวนไว้ในบ้านเรา ไม่ให้คนนอกดูสักหน่อย แค่น้าหวังชอบก็พอ” คำพูดของเจียงอวี่เฟยทำให้หวังซิ่วฟางหน้าแดงก่ำ หนีกลับเข้าไปในครัว
หลินเซี่ยเห็นพี่สาวหวังที่เมื่อก่อนเป็นคนมีชีวิตชีวาแสดงท่าทางเขินอายแบบนั้นออกมา มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่อยู่
พี่สาวหวังได้พบกับรักแท้จริง ๆ ด้วย
ผู้หญิงจะแสดงความอ่อนหวานออกมาต่อหน้าคนที่ตนรักเท่านั้น
พอหวังซิ่วฟางเข้าไปในครัว ใบหน้าสะสวยของเจียงอวี่เฟยฉายแววจริงจังขณะเอ่ยเตือนเจียงกั๋วเซิ่ง
“พ่อ พ่อจะลังเลอะไรอีก? ช่วยดูสถานการณ์หน่อยได้ไหม ถ้ายังเป็นแบบนี้อีก น้าหวังจะพาเสี่ยวฮวากลับบ้านแล้วนะ”
เมื่อเจียงอวี่เฟยเตือนเช่นนี้ เจียงกั๋วเซิ่งก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
“ได้ พ่อจะเก็บไปคิดดู แต่การพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแขกมันเหมาะสมแล้วเหรอ?”
เจียงอวี่เฟยปอกกล้วยให้หลินเซี่ยพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เหมาะไม่เหมาะอะไรกัน? เซี่ยเซี่ยไม่ใช่คนนอกสักหน่อย เฉินเจียเหอยังเป็นเพื่อนร่วมงานของน้าหวัง มีแต่คนกันเองทั้งนั้น”
“แล้วเจียวั่งล่ะ” เจียงกั๋วเซิ่งจ้องมองลูกสาวด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย เริ่มซักไซ้ไล่เลียง “เจียวั่งไม่ได้สนิทกับพวกเราสักหน่อย ลูกทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้ ระวังเขาจะหัวเราะเยาะเอา”
เจียงอวี่เฟยกลอกตาพึมพำ “ไม่สนิทอะไรกัน? เราเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกันนะ”
“อ้อ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยสินะ” เจียงกั๋วเซิ่งมองเฉินเจียวั่งแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจียวั่ง ลูกสาวฉันมีนิสัยเอาแต่ใจ ต่อไปก็ไปมาหาสู่กับหล่อนให้น้อยไว้จะดีกว่า”
เจียงอวี่เฟย “…”
เฉินเจียวั่งดื่มน้ำ แต่ไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเจียงกั๋วเซิ่ง
“หนูไปทำกับข้าวนะ”
เจียงอวี่เฟยกลัวว่าถ้าหล่อนเร่งเร้าต่อไป พ่อของหล่อนจะยอมเจ็บตัวทั้งคู่ จึงตัดสินใจกลับเข้าไปในครัว
เจียงกั๋วเซิ่งคุยเรื่องงานกับเฉินเจียเหอ ส่วนเฉินเจียวั่งนั่งอยู่เฉย ๆ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยคำพูดของเจียงกั๋วเซิ่งที่บอกว่าลูกสาวมีนิสัยเอาแต่ใจ วันหน้าอย่าคบหากับหล่อนเลย
เขาครุ่นคิดเจตนาเบื้องหลังคำพูดของเจียงกั๋วเซิ่ง
ขณะที่หลินเซี่ยลุกขึ้นมายืนตรงหน้าต่าง มองดูอาคารหอพักของครอบครัวที่อยู่ด้านล่าง รวมถึงอาคารเก่าทรุดโทรมฝั่งตรงข้าม
ความรู้สึกหลากหลายยากจะเก็บซ่อน
ในอดีต เธอเคยอาศัยอยู่ในอาคารฝั่งตรงข้ามนานเกือบยี่สิบปี
ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำหลายสิบปีในชาติก่อนของเธอ
ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป บ้านหลังนั้นถูกปิดตาย ไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว
เรื่องของตระกูลเสิ่นกลายเป็นหัวข้อพูดคุยสัพเพเหระหลังอาหารของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่
เธอไม่รู้ว่าเสิ่นอวี้หลงจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าได้รู้ว่าตัวเองไม่มีบ้านให้กลับไปอีกแล้ว
จะยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้ได้หรือไม่?
สำหรับเสิ่นอวี้หลง ไม่ใช่แค่ไม่มีบ้านให้กลับ พ่อก็ไม่มีแล้วเหมือนกัน
หลินเซี่ยยืนอยู่ที่หน้าต่าง ในใจรู้สึกหดหู่มาก
เฉินเจียเหอยืนอยู่ข้างหลังเธอ “เซี่ยเซี่ย กินข้าวได้แล้ว”
หลินเซี่ยหันกลับมา เห็นหวังซิ่วฟางกับเจียงอวี่เฟยกำลังยกอาหารขึ้นโต๊ะ
เธอหยุดความคิดไว้เท่านั้นแล้วเดินตามเฉินเจียเหอไปนั่ง
ขณะกำลังจะกินข้าว โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
เป็นเซี่ยหลานที่โทรมา
“เซี่ยเซี่ย ลูกอยู่ไหน? วันนี้ว่างไหม? อวี้หลงบอกว่าคิดถึงลูกแล้ว อยากคุยด้วย”
หลินเซี่ยกลัวเซี่ยหลานจะเศร้าใจจึงไม่ได้บอกว่าเธออยู่ที่บ้านพักของโรงงานเครื่องจักร เพียงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่ ฉันมาเยี่ยมญาติ ฝากบอกอวี้หลงว่าจะไปหาช้าหน่อยนะคะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รู้สึกเศร้าแทนอวี้หลงเลยค่ะ หลับไปหนึ่งปีกว่า ตื่นมาอีกทีทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนไปหมดแล้ว
ไหหม่า(海馬)