ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - ตอนที่ 539 ฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า
บทที่ 539 ฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า
“ถ้าจะย้ายทะเบียนบ้านมาปักกิ่งอย่างถาวร ก็ต้องซื้อหน้าร้านที่นั่น แล้วก็ต้องซื้อบ้านสักหลังหนึ่งด้วยสินะ” สะใภ้ใหญ่พูด
หลังย้ายทะเบียนบ้านไปก็จะกลายเป็นคนที่นั่น ที่ดินในชนบททั้งหมดก็ต้องเปลี่ยนมือผู้ถือครอง นอกเสียจากจะเป็นมรดกสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่อย่างนั้นที่ดินทั้งหมดก็จะถูกเวนคืนให้กับทางหมู่บ้าน
นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีเส้นทางให้ถอยกลับได้แล้ว ต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นตลอดไป
“ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ ร้านของที่นั่นราคาแพงมาก เสี่ยวเหมยกับต้าหลินซื้อไว้ร้านหนึ่ง ควักเงินทั้งหมดที่มีในบ้านมาจ่ายก็ยังไม่พอซื้อ ฉันต้องให้หล่อนยืมเงินจึงจะซื้อมาได้” หลินชิงเหอพูด
“ชีวิตข้างนอกช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ ค่าใช้จ่ายสูงเกินไปแล้ว” พี่ชายใหญ่เอ่ยขึ้นเช่นกัน
หลินชิงเหอหัวเราะและพูดขึ้น “โอกาสประสบความสำเร็จข้างนอกก็เยอะเช่นกันค่ะ ไม่ใช่ว่าพี่ชายสามกับพี่สะใภ้สามมีชีวิตที่ดีแล้วเหรอคะ? ฉันกับชิงไป๋ไปที่นั่นแล้ว บ้านพวกเขาดูมีสง่าราศีกว่าบ้านทางนี้มาก”
พี่ชายสามโจวกับสะใภ้สามโจวก็ซื้อบ้านในเมืองไว้ด้วยหนึ่งหลังเช่นกัน ซึ่งตอนนั้นมีสภาพเป็นอพาร์ทเมนต์ จะให้อยู่ในบ้านหลังเดิมของซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยก็คงไม่อาจอยู่ได้ตลอดไป คงจะดีหากว่าพวกเขามีบ้านเป็นของตัวเองจริง ๆ สักหลัง
แต่บ้านที่ซื้อไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ต้องอยู่กันอย่างแออัดในห้องหนึ่ง แต่พอกลับมาที่ชนบททางนี้ กลับมีบ้านที่ทำจากอิฐอย่างดี อีกทั้งยังกว้างขว้างมาก
ในจุดนี้ หลินชิงเหอรู้สึกว่าพวกเขายังเด็ดขาดไม่เท่ากับน้องชายสามหลิน
บ้านเก่าของน้องชายสามหลินยังคงเป็นบ้านหลังเดิม แม้ไม่ได้มีสภาพผุพังเท่าไรนัก แต่ก็มีพื้นที่เล็กมาก เขาไม่สนใจที่จะอยู่ และได้ไปซื้อบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในตัวอำเภอ ทำให้ทั้งครอบครัวได้อยู่ในบ้านที่กว้างขวาง
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล
หลังพูดคุยกับพี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่โจวสักพักแล้ว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋จึงขอตัวกลับมาที่บ้านหลังเก่า โจวต้งเดินมานัดหมายกินข้าวเย็นที่บ้านของพวกเขาที่นั่น และหลินชิงก็รับปากไว้แล้วเช่นกัน
“บ้านของพวกเราก็เก่าแล้วเหมือนกันนะ” โจวชิงไป๋พูด บ้านหลังนี้สร้างตั้งแต่ปี 60 จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 20 ปีแล้ว
หลินชิงเหอพยักหน้า ตอนที่เธอเพิ่งมาที่นี่ บ้านหลังนี้เพิ่งสร้างขึ้นไม่กี่ปีและยังใหม่อยู่มากเป็นอย่างน้อยเมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่น บ้านของพวกเขามีห้องนอนสองห้อง ห้องครัวหนึ่งห้องและห้องน้ำที่สร้างขึ้นใหม่ในภายหลังอีกหนึ่งห้อง ซึ่งนั่นก็ถือว่ากว้างขว้างมากแล้ว
โจวชิงไป๋หัวเราะและมองภรรยาของตัวเอง หลินชิงเหอมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด “ขำอะไรคะ?”
“ตอนนั้นทำไมคุณถึงยอมรับผมเหรอ?” โจวชิงไป๋พูดขึ้นพร้อมดวงตาฉายแววแห่งความสุข
เขารู้ว่าในสายตาของเธอแล้ว เขาในตอนนั้นเป็นคนแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ เขายังจำได้ดีในตอนที่ตัวเองกลับมา แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดจาเย็นชาใส่ แต่ก็รักษาระยะห่างอย่างชัดเจน ซึ่งเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากจึงจะสามารถนอนกอดภรรยาเขานอนได้
หลินชิงเหอได้ยินก็หัวเราะบ้างเช่นกัน
ทำไมตอนนั้นเธอถึงยอมรับเขากันล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าถูกความเป็นบุรุษของเขาทำให้สับสนงุนงงอย่างนั้นหรือ
หน้าตาเดิมของเขาดูดีทีเดียว ทั้งยังตัวใหญ่ล่ำสันและเป็นคนจริงจัง แม้เขาจะว่าง่ายและไม่ค่อยพูดจา แต่เธอกลับชอบความเป็นผู้ชายพูดน้อยแต่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวของเขามาก
อีกทั้งเขายังให้สิทธิ์เธอในการตัดสินใจเรื่องในบ้าน โดยที่เขาจะไม่ปริปากพูดขัดเลยสักประโยค และเธอก็รู้สึกสบายใจเมื่อมีเขาอยู่ด้วย
ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนให้เขากลับบ้าน(ห้อง)หรือ หลังจากนั้นพวกเขาถึงได้ใช้ชีวิตอยู่กันแบบนี้เรื่อยมา
พอตอนนี้มานึกดูแล้วเธอก็รู้สึกว่ามันน่าตลกจริง ๆ นั่นแหละ คราวนี้ใบหน้าของหลินชิงเหอจึงมีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นมาบ้างเช่นกัน
“เข้าห้องไปนอนเล่นสักพักดีไหมครับ? ” โจวชิงไป๋เดินเข้ามาโอบเอวของเธอ
“เอนหลังสักหน่อยก็ดีค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า การหลับกลางวันก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกัน
สองสามีภรรยาไม่ได้ทำสิ่งใด พรุ่งนี้จะเป็นวันฌาปนกิจศพของท่านแม่หลิน จึงไม่มีอารมณ์แบบเราสองคนมีกันและกันได้
หลังจากงีบหลับไปตื่นหนึ่ง โจวต้งกับไฉ่ปาเม่ยก็ชวนไปกินข้าว ซึ่งคุณป้าไฉ่เองก็อยู่ด้วยเช่นกัน
นั่นทำให้การสนทนามีรสชาติมากขึ้น หลังกินข้าวเสร็จแล้วหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ไม่ได้รีบกลับบ้าน ยังอยู่คุยกับโจวต้งอีกไม่น้อย พอเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้วถึงได้ขอตัวกลับบ้าน
“ต่อไปโจวต้งจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน” โจวชิงไป๋พูดขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน
“ใช่ค่ะ” หลินชิงเหอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
โจวต้งคนนี้เป็นคนฉลาด อีกทั้งยังซื่อสัตย์ เมื่อก่อนเขาเติบโตมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้เขาทั้งขยันและอดทน และยังรู้จักประมาณตนอยู่เสมอ
อย่างในปีนี้พี่ชายสามของไฉ่ปาเม่ยอยากร่วมมือกับเขาด้วย แต่โจวต้งไม่ได้ตอบตกลง
เขาแนะนำให้พี่ชายสามของไฉ่ปาเม่ยไปทำธุรกิจคนเดียว หากมีเรื่องให้เขาช่วยเหลือได้เขาก็จะช่วย แม้กระทั่งเรื่องเงินก็สามารถยืมเขาได้บางส่วน
แต่เขาไม่ยอมร่วมเปิดฟาร์มไก่ด้วยหรอก
แม้คุณป้าไฉ่จะไม่ได้พูดอะไร แต่คนเป็นพ่อแม่หรือจะไม่อยากหวังให้ลูก ๆ ของตัวเองสามัคคีกัน ทว่าคนที่สามารถทำได้นั้นมีน้อยมากจริง ๆ
เพราะพอสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นของตัวเองแล้ว มีใครบ้างที่จะไม่คิดถึงครอบครัวของตัวเอง? ทุกคนต่างก็ต้องมีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยด้วยกันทั้งนั้น
ดังนั้นเพื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย ทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องร่วมมือกัน เมื่อก่อนหลินชิงเหอก็เคยให้คำแนะนำแบบนี้กับโจวต้ง และเห็นได้ชัดว่าโจวต้งเลือกที่จะฟังและทำตามแล้ว
ทำให้ตอนนี้นอกจากพี่ชายสามโจวและสะใภ้สามโจวแล้ว ในหมู่บ้านก็ไม่มีใครเทียบเท่ากับโจวต้งได้ แถมเขายังจ้างพี่เขยหรือสามีของโจวซีน้องสาวของเขาไปช่วยงานที่ฟาร์มไก่ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ชีวิตของสองพี่น้องเป็นไปได้ดีมาก เหมาะจะเรียกว่าเป็นตัวละครหวนชะตา*จริง ๆ
(*เป็นคำในอินเตอร์เน็ต หมายถึงละครที่ควรมีจุดจบไม่ดี สุดท้ายพลิกกลับมาประสบความสำเร็จได้)
โจวชิงไป๋ไปต้มน้ำ หลังจากนั้นก็รินมาให้เขาและภรรยาได้ล้างหน้า ก่อนจะใช้ล้างเท้า เสร็จแล้วพวกเขาถึงขึ้นเตียงเตาและนอนหลับไป
เนื่องจากวันพรุ่งนี้ยังมีธุระต้องทำ
ฤดูหนาวในปีนี้หนาวจริง ๆ ไม่ได้โกหก ตกกลางดึกก็มีหิมะตกทุกคืน เช้าวันต่อมาจึงมีหิมะตกค้างอยู่ไม่น้อย
หลินชิงเหอตรวจดูเวลาแล้ว หลังจากนั้นก็เดินมาพร้อมกับโจวชิงไป๋
เมื่อทั้งคู่มาถึง คนอื่น ๆ ก็มากันพร้อมหน้าแล้ว รวมทั้งพี่สาวสองคนของหลินชิงเหอและสามีของพวกหล่อนด้วย
ต่อมาย่อมต้องเป็นขั้นตอนการส่งศพ ซึ่งพิธีการทั้งหมดเป็นไปตามขั้นตอน ครั้นเสร็จสิ้นพิธีหลินชิงเหอก็เตรียมตัวกลับบ้าน
แต่พี่สาวใหญ่หลินได้รั้งตัวเธอเอาไว้ “ชิงเหอรอเดี๋ยวจ๊ะ”
พี่สาวรองหลินก็เดินตามหล่อนมาด้วย และมองน้องสาวสามของพวกหล่อนด้วยนัยน์ตาซับซ้อน
น้องสาวสามของพวกหล่อนหน้าตาดีมาตั้งแต่เกิด พวกหล่อนต่างอิจฉาที่เธอได้แต่งงานกับโจวชิงไป๋ เป็นภรรยาแบบในฝันของผู้หญิงหลายคน ต่อมาพอโจวชิงไป๋กลับชนบท ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกหล่อนจะไม่รู้สึกดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่น
หากเดาจากนิสัยของเธอแล้ว หากไม่สร้างความวุ่นวายก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ชีวิตของเธอในภายภาคหน้าต้องไม่ได้ดีอะไรแน่แล้ว
ใครจะรู้ว่าเธอไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้กับโจวชิงไป๋ กลับมาสร้างเรื่องที่บ้านแม่ของตัวเองแทน อีกทั้งยังตัดความสัมพันธ์กับบ้านแม่ ต่อมาชีวิตของเธอก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลายปีผ่านไป น้องสาวสามของพวกหล่อนกลายเป็นผู้หญิงอายุ 30 เกือบ 40 ปีแล้ว แต่กลับดูราวกับหญิงสาวอายุ 20 กว่า ๆ ก็ไม่ปาน
เห็นได้ชัดว่าเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมาก
“มีอะไรเหรอคะ” หลินชิงเหอไม่สนิทกับพวกหล่อน แต่ก็ไม่ได้หมุนกายเดินจากไป และหยุดรอฟังพวกหล่อนพูด
“ฉันได้ยินคุณพ่อพูดว่าอยากจะตามเธอไปปักกิ่งด้วยจริงเหรอ? ทำไมเธอถึงไม่ตอบตกลงคุณพ่อละ? ตอนนี้เธอรวยขนาดนั้น จะได้ดูแลคุณพ่อเสียหน่อย….”
“ชิงไป๋กลับ” พี่สาวใหญ่หลินยังพูดไม่จบ หลินชิงเหอก็ตัดบทของหล่อนทันที แล้วหันมาพูดกับโจวชิงไป๋
โจวชิงไป๋ขึ้นขี่จักรยานและสองสามีภรรยาก็จากไปทันที
ในตอนนี้พี่สาวใหญ่หลินก็โมโหจนแทบทนไม่ไหว “เธอดูหล่อนสิ ๆ หลายปีมาแล้วหล่อนก็ยังดูถูกพวกเราสองคน!”
พี่สาวรองหลินเบ้ปาก “พี่สาวใหญ่ก็ใสซื่อเกินไปแล้วค่ะ หล่อนตัดความสัมพันธ์พวกเราแล้ว คิดว่าหล่อนยังจะพาคุณพ่อไปปักกิ่งด้วยเหรอ ฝันกลางวันอยู่หรือเปล่าคะ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โจวต้งกลายเป็นเถ้าแก่ฟาร์มไก่ไปแล้วค่ะ เป็นปลื้ม
ทำไมเหรอคะพี่สาวใหญ่หลิน กะจะเกาะชิงเหอเหรอ ไม่ใช่น้องชายสามก็ลำบากหน่อยนะคะ
ไหหม่า(海馬)