ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - ตอนที่ 402 ความเห็นสนับสนุน
บทที่ 402 ความเห็นสนับสนุน
เห็นหล่อนเป็นแบบนี้แล้ว หลินชิงเหอก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่ากลัวไปเลย อาสะใภ้สี่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อตำหนิหนูหรอกจ้ะ”
เธอรู้นิสัยของหลานสาวคนนี้ดี หล่อนไม่มีทางทำตัวแบบสวี่เชิ่งเหม่ยหรอกต่อให้มีความกล้าที่จะทำก็ตาม
หลินชิงเหอเองจึงไม่เป็นกังวลนัก เธอแค่วางแผนจะมาดูสถานการณ์เท่านั้น จะว่าไปแล้วเธอเองก็เป็นคนพาเอ้อร์นีมาที่นี่โดยที่แม่ของหล่อนไม่ได้มาอยู่ด้วย ซึ่งในฐานะที่เป็นอาสะใภ้ของหล่อนแล้วเธอจึงมีสิทธิ์ถามอะไรก็ได้
“อาสะใภ้สี่อย่ากังวลไปเลยค่ะ หนูจะไม่มีวันทำให้ตระกูลโจวของเราเสื่อมเสียแน่” เอ้อร์นีตอบ
หลินชิงเหอยิ้ม “อารู้อยู่แล้วจ้ะ หนูไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก บอกอามาเถอะ อามีเวลาอยู่แค่ครึ่งชั่วโมง”
“หนูจะไม่คบกับหวังหยวนค่ะ หนูบอกเขาไปแล้วว่าไม่คู่ควรกับเขา” โจวเอ้อร์นีเม้มปากและเอ่ยขึ้น
ซึ่งความเป็นจริงแล้วหล่อนรู้สึกหดหู่ใจนิดหน่อย
ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้มีอะไรดลใจหวังหยวนกันแน่ ก่อนหน้าเขาเคยมาหาหล่อนแบบลับ ๆ แต่ช่วงนี้เขาแทบจะมาหาอย่างเปิดเผยและถึงกับตรงดิ่งไปรับหล่อนหลังเลิกเรียนถึงที่ชั้นเรียนภาคค่ำทีเดียว
ในวันแรกที่เห็นเขา หล่อนก็รู้สึกตกใจและหวาดกลัวว่าหู่จือกับกังจือจะรู้เรื่องนี้ แต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่มีใครรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย
โจวเอ้อร์นีบอกหวังหยวนว่าไม่ให้มาหา แต่หวังหยวนก็ไม่ฟังและยังคงมารับหล่อนกลับ
ความจริงแล้วตอนที่หลินชิงเหอมาพูดเรื่องนี้ โจวเอ้อร์นีก็เกิดความรู้สึกโล่งใจได้ในท้ายที่สุด
“อาสะใภ้สี่คะ หนูบอกเขาไปชัดเจนแล้วว่าพวกเราไม่ใช่คนที่จะเดินทางสายเดียวกัน แต่เขาเหมือนจะคิดต่างไปจากนั้นและไม่ฟังหนูเลยค่ะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยด้วยความรู้สึกอับจนปัญญาเล็กน้อย
“เกิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือจ๊ะ?” หลินชิงเหอถามด้วยรอยยิ้ม
“หลายวันก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าตัวเขาขาดพนักงานบัญชีน่ะค่ะ เขาเป็นคนบอกหนูเอง” โจวเอ้อร์นีตอบพลางก้มหน้า
หลินชิงเหอฟังแล้วก็ประหลาดใจ มันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย?
เธอเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมโจวเอ้อร์นีดูเหมือนมีท่าทางอิดออดยามจะต้องไปที่โรงงานผลิตเสื้อผ้า และทำไมหวังหยวนถึงได้ลากลูกชายคนรองของเธอไปเจอหน้าพ่อแม่สามีของเธอหรือไม่ก็มานั่งเล่นที่ร้านเกี๊ยวอยู่เป็นประจำ
ทุกอย่างล้วนพุ่งตรงไปที่เฒ่าหวัง ซึ่งเธอไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นเหตุผลที่แท้จริง
หลินชิงเหอนึกย้อนกลับไป ต่อให้นึกดูแล้วมันก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนักว่าหวังหยวนมาหาเอ้อร์นีโดยเฉพาะ
อ่านก่อนใคร
“พวกเธอสองคนปิดบังกันเนียนจังนะ” หลินชิงเหอส่ายหน้าพลางหัวเราะ
“อาสะใภ้สี่คะ” โจวเอ้อร์นีเม้มปาก
หลินชิงเหอมองหล่อนแล้วก็เอ่ยขึ้น “แล้วหวังหยวนตอบหนูว่าอย่างไรบ้างจ๊ะ?”
เมื่อเห็นหลานสาวมีท่าทางเอียงอายไปเธอก็ยิ้มกริ่ม “อย่าอายไปเลยจ้ะ อาเองก็เคยประสบกับอะไรแบบนี้มาแล้ว”
หญิงสาวไม่ได้จงใจจะสอบปากคำเรื่องพวกนี้กับหลานสาวของเธอหรอก แต่เพื่ออยากตรวจสอบดูว่าหวังหยวนจริงใจกับหลานสาวของเธอหรือไม่?
ความจริงแล้วหลินชิงเหอก็พอจะบอกได้อยู่เหมือนกันว่าหวังหยวนตั้งใจหรือจริงใจหรือไม่ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงไปเยี่ยมท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวล่ะ?
ฟังจากปากลูกชายคนรองแล้ว ดูเหมือนว่าคุณปู่คุณย่าของเขาก็มีความชมชอบในตัวหวังหยวนและมีความประทับใจดี ๆ กับเขาด้วย
“เขาบอกว่าคนแซ่หวังอย่างเขาเป็นคนรักใคร่ภรรยา ซึ่งหนูจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับเขาเลยค่ะ” โจวเอ้อร์นีหน้าแดงแล้วก็ก้มหน้า
ในดวงตาของหลินชิงเหอทอประกายระยับ “แล้วยังไงอีกจ๊ะ?”
“หนูรู้สึกว่าพวกเราไม่คู่ควรต่อกันน่ะค่ะ เลยบอกเขาไปว่าครอบครัวของหนูยากจนและพ่อแม่ก็เป็นชาวไร่ชาวนา เขาบอกว่าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นและอย่าให้หนูคิดมากนัก ในอนาคตหนูแค่ดูแลลูก ๆ อยู่กับบ้านเท่านั้น พอหนูบอกไปว่าหนูไม่อยากทำ เขาก็บอกว่างั้นเขาดูแลลูก ๆ ให้เอง” โจวเอ้อร์นีหน้าแดงซ่าน
ชายคนนั้นช่างเป็นนักเลงโดยแท้ เขาถึงกับกล้าเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา มันทำให้คนฟังรู้สึกอับอายได้จริง ๆ
หลินชิงเหอมองปฏิกิริยาของหลานสาวแล้วก็ทราบได้ว่าหล่อนเองมีใจให้เขาอย่างชัดเจน
เธอไม่รู้สึกประหลาดใจนัก จากมุมมองของเธอแล้ว หวังหยวนเป็นชายหนุ่มที่รักษาสัจจะ เดิมทีเธอคิดว่าเขาจะเป็นเสือผู้หญิงเสียอีก แต่หลังจากมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมา 2 ปีแล้ว เธอก็พบว่าเขาไม่ใช่ทายาทคนรวยรุ่นที่สองที่มีนิสัยแบบนั้น
บุคลิกลักษณะของเขาเข้าข่ายว่ายอดเยี่ยมทีเดียว
บอกได้ว่าเขามีภาษีดีเยี่ยมทั้งในเรื่องภูมิหลังครอบครัวและแหล่งทรัพย์สิน ยิ่งกว่านั้นในสถานที่อย่างเมืองหลวงแล้ว ครอบครัวของเขาก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวยขนานแท้ครอบครัวหนึ่ง
เรื่องทั้งหมดพวกนี้เธอได้ยินมาจากเฒ่าหวัง
ถ้ามองแค่ตัวเขาอย่างเดียวแล้ว เขานับว่าดีไม่น้อย แต่ติดปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือทั้งสองครอบครัวมีฐานะห่างไกลกันเกินไป
“หนูรู้ค่ะว่าการที่คนอย่างเขาอยากจะคบกับหนูมันเป็นหนทางการไต่เต้าสู่ฐานะที่สูงกว่าของหนู แต่อาสะใภ้สี่คะ หนูไม่เคยคิดที่จะเลื่อนฐานะของตัวเองขึ้นสูงเลยค่ะ หนูบอกเขาไปหลายครั้งแล้วว่าครอบครัวของหนูต่างชั้นวรรณะกับครอบครัวของเขาเกินไป” โจวเอ้อร์นีบอก
คลิกๆ
ในดวงตาของหล่อนฉายแววขรึมลงหลายส่วน
“ครอบครัวของเขากับหนูต่างกันมากจริง ๆ นั่นแหละ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
นี่คือความจริง และเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้
“แต่หนูก็ไม่ได้แย่ ยิ่งกว่านั้นครอบครัวโจวของเราก็ไม่ได้แย่เหมือนกันนี่จ๊ะ” หลินชิงเหอเปลี่ยนประเด็น เธอมองโจวเอ้อร์นีก่อนเอ่ยต่อ “มีนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ในตระกูลโจวกี่คนกันล่ะ? เรามีฐานะค่อนข้างยากจนก็จริง แต่พื้นหลังครอบครัวของเรานั้นขาวสะอาด ซื่อสัตย์ และพึ่งพาตัวเอง พ่อหนู แม่หนู และลูกชายที่เป็นนักศึกษาอย่างหยางหยางก็ล้วนเป็นคนขยันและมานะอุตสาหะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีลูกสาวอย่างหนูมาช่วยค้ำจุนครอบครัวทางแม่หรอกจ้ะ”
“พ่อกับแม่ของหนูเป็นคนให้กำเนิดหนูมา หนูก็เลยอยากจะกตัญญูต่อพวกเขาน่ะค่ะ” โจวเอ้อร์นีตอบ
หลินชิงเหอยิ้มกว้างและมองหล่อนอย่างชื่นชม “อาดีใจมากที่หนูคิดได้แบบนั้น แต่ถึงอย่างไรอาก็อยากจะพูดกับหนูตรง ๆ อยู่ดี”
“ค่ะ อาสะใภ้สี่ อาพูดมาได้เลยค่ะ” โจวเอ้อร์นีรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าประเด็นหลักจึงมองอาสะใภ้สี่ของหล่อนอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย
“ส่วนตัวอาเองขอเสนอว่าหนูควรลองคบกับหวังหยวนดูนะจ๊ะว่าจะไปด้วยกันได้ไหม” หลินชิงเหอมองหลานสาวด้วยสายตาจริงจังและเอ่ยต่อ “หวังหยวนเป็นผู้ชายที่ดีจริง ๆ นะจ๊ะ”
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติภายนอกหรือนิสัยใจคอ หวังหยวนถือว่าไม่เลวเลย
และเป็นอย่างที่เธอบอกไว้ตั้งแต่ต้น ว่าต่อให้ตระกูลโจวจะค่อนข้างยากจนและสิ้นไร้ไม้ตอก มันก็ไม่จำเป็นเลยที่ลูกสาวของพวกเขาจะเป็นฝ่ายค้ำจุนครอบครัว
นอกจากนี้พี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ยังมีลูกชายคนโตที่จะเป็นว่าที่อาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ หลังจบการศึกษาแล้วเขาก็จะได้ชามข้าวเหล็ก ซึ่งครอบครัวของหล่อนก็มีเขา
แต่ก็เป็นอย่างที่โจวเอ้อร์นีบอก พ่อแม่ของหล่อนเป็นคนเลี้ยงดูหล่อนจนเติบใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาถึงกับให้พี่สาวของหล่อนและตัวหล่อนเองได้ไปโรงเรียน แม้จะได้เรียนเพียง 3 ปีเท่านั้นก็นับว่าเป็นเรื่องหาดูได้ยากในหมู่บ้านแล้ว พ่อแม่รักพวกหล่อนมากเหลือเกิน แต่ด้วยฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวที่มีอย่างจำกัด พวกเขาจึงส่งพวกหล่อนได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น
พูดตามความเป็นจริงแล้ว สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามต่างรักใคร่ลูกสาวของพวกหล่อนอย่างแท้จริง
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่บรรดาลูกสาวจะรู้สึกอยากตอบแทนพวกหล่อน
“เทียบกับครอบครัวของหวังหยวนแล้วมันมีระยะห่างอยู่ก็จริง แต่หวังหยวนก็ไม่ได้พึ่งพาทางบ้านของเขานะจ๊ะ หนูลองคิดดูสิ พ่อแม่ของเขาไม่จำเป็นต้องอยู่กับเขา ส่วนพ่อแม่ของหนูก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหนูเลยเหมือนกัน หนูใช้วิธีส่งเงินกลับไปเป็นค่าเลี้ยงดูแล้วโทรศัพท์ไปไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเป็นบางครั้งบางคราวก็ได้ ถ้ามีเวลาว่างค่อยไปเยี่ยมพวกเขา แบบนั้นก็นับได้ว่าเป็นการตอบแทนพระคุณแล้ว ในอนาคตข้างหน้าจะมีแต่พวกเธอสองคนที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ตราบใดที่พวกเธอรักใคร่กันดี เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยจ้ะ” หลินชิงเหอบอก
“อาสะใภ้สี่คะ ช่องว่างระหว่างหนูกับเขาไม่ได้เล็กเลยนะคะ” โจวเอ้อร์นีไม่คิดว่าอาสะใภ้สี่ของหล่อนจะให้การสนับสนุนเมื่อรู้เรื่องนี้ หล่อนจึงเอ่ยอย่างลังเล
“เป็นธรรมดาที่จะมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเธอสองคน ภูมิหลังของเขาเป็นยังไง? แล้วภูมิหลังของหนูเป็นยังไง? เขาอายุเยอะกว่าหนูมากนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ อาก็ไม่หมายตาเขาหรอก” หลินชิงเหอตอบอย่างไม่สนใจ
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เรื่องนี้เอ้อร์นีลองถามคุณอาเสี่ยวเหมยดูก็ได้ค่ะว่าระหว่างคนที่เลือกเองกับคนที่อาสะใภ้สี่เลือกให้ต่างกันอย่างไรบ้าง เชื่ออาสะใภ้สี่ไม่มีพลาดค่ะบอกเลย
ไหหม่า(海馬)