ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - ตอนที่ 361 ประจบประแจง
บทที่ 361 ประจบประแจง
โจวข่ายมาที่บ้านคุณปู่คุณย่าเพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็น
เขาสัญญากับคุณย่าไว้ว่าจะมาทานอาหารเย็นที่นี่
คืนนี้พวกเขากินเนื้อแกะกัน โดยนำเนื้อแกะไปตุ๋นรวมกับหัวไชเท้า ฝีมือการทำอาหารของซูต้าหลินอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขาลงรายการแกงเนื้อแกะไว้ในรายการอาหารสำหรับลูกค้าแล้ว ซึ่งรสชาติของมันช่างสมบูรณ์แบบ
โจวข่ายพอใจกับอาหารเย็นวันนี้มาก จากนั้นเขาก็ไปนั่งที่เก้าอี้เพื่อดูทีวี เก้าอี้ทุกตัวล้วนบุฟูกหนานุ่ม ทำให้นั่งได้อย่างสะดวกสบาย
“พี่ใหญ่ พี่สอนมวยให้ผมได้ไหมครับ?” ซูสวิ่นเดินมาถาม เขามองลูกพี่ของเขาด้วยสายตาชื่นชมอยู่บ้าง
“ตอนนี้พี่อิ่มเกินไปน่ะเลยยังสอนนายไม่ได้ แต่หลังจากนั้นจะสอนให้นายสักหนึ่งหรือสองกระบวนนะ เวลาที่นายอยู่ในโรงเรียน ใครก็ตามที่มาหาเรื่องนาย นายจะได้สู้พวกเขาได้” โจวข่ายบอก
ดวงตาของซูสวิ่นเบิกกว้างเป็นประกาย
“เจ้าใหญ่ ทำไมสอนอะไรแบบนี้ให้น้องล่ะ?” โจวเสี่ยวเหมยไร้คำพูดไป
ซูต้าหลินเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ผมสอนอะไรแบบนี้มันผิดตรงไหนเหรอครับ? แม่ผมสอนเราว่าแบบนี้น่ะครับ ว่าอย่าไปรังแกคนอื่น แต่ถ้าคนอื่นกล้ารังแกเราก็ให้เราสู้กลับทันที อย่าทิ้งไว้ข้ามคืน ถ้าสู้พวกเขาไม่ได้ก็ค่อยหนี ไม่อย่างนั้นเราจะถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวน่ะครับ” โจวข่ายตอบ
ถึงจะมีอายุเท่านี้ เขาก็ยังรู้สึกว่าแม่ของเขามีเหตุผลอย่างยิ่ง
โจวเสี่ยวเหมยหัวเราะ “พี่สะใภ้สี่ของฉันช่างร้ายกาจจริง ๆ ถ้าพวกเขาทำร้ายลูกของอีกฝ่าย หล่อนจะไม่รำคาญเสียงก่นด่าของคนพวกนั้นในหมู่บ้านเลยเหรอ?”
หล่อนรู้ว่ามีผู้หญิงบางคนในหมู่บ้านที่ก่นด่าคนอื่นได้อย่างเจ็บแสบมาก พวกหล่อนด่าน้ำไหลไฟดับได้มากกว่าชั่วโมงหนึ่งเลยทีเดียว
“แม่ผมบอกว่ามันเป็นเรื่องของหล่อน เราไม่เห็นต้องสนใจเลย เราไม่เป็นฝ่ายทุกข์ร้อนก็พอแล้วครับ” โจวข่ายยิ้มกริ่ม
ซูเฉิงกับซูสวิ่นต่างมองด้วยความอิจฉา แม่ของพวกเขาไม่อนุญาตให้พวกเขาต่อสู้เลย
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไม่ได้พูดอะไร
ทั้งคู่เคยเห็นสะใภ้สี่จับสะใภ้รองทุ่มลงพื้นมากับตาแล้ว
สะใภ้สี่เป็นคนมีการศึกษา เธอไม่ตะโกนโพนทะนาใคร แต่ถ้าถูกหาเรื่องขึ้นมาจริง ๆ การจับคนทุ่มข้ามบ่าแบบสวย ๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครคนนั้นหมอบกระแตได้
หลังจากนั้นสะใภ้รองก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้น ต่อให้หล่อนจะพูดจาลับหลังสะใภ้สี่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง
“พวกนาย การสู้กันเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่พวกนายไม่รังแกคนอื่นก็ไม่ต้องไปกลัว แต่สุดท้ายแล้วอย่าให้คนอื่นรังแกพวกนายได้ถูกไหม?” โจวข่ายพูด
“พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว” ซูสวิ่นพยักหน้า
“ที่โรงเรียนมีใครรังแกพวกนายหรือเปล่า?” โจวข่ายถาม
“ไม่มีหรอกครับ แต่ผมก็ยังอยากเรียนรู้ไว้ บางทีอาจได้ใช้ในอนาคต” ซูสวิ่นบอก
“เอาล่ะ งั้นตอนนี้เรานั่งลงก่อน” โจวข่ายบอก
แต่ก่อนที่เขาจะได้สอนอะไรให้ญาติผู้น้อย แม่เฒ่าจูที่อยู่บ้านข้าง ๆ ก็เข้ามาเยี่ยม
“นี่คุณย่าจูนะ” ท่านแม่โจวแนะนำ
“สวัสดีครับคุณย่าจู” โจวข่ายพยักหน้าและเอ่ยทักทาย
“สวัสดี สวัสดี” แม่เฒ่าจูรู้สึกยินดีปรีดา นับตั้งแต่ที่โจวข่ายกลับมาเขาก็แวะมาที่นี่ทุกวัน แต่มักจะมาตอนที่นางไม่อยู่เสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงไม่เคยเห็นเขาจนกระทั่งตอนนี้
หลังประเมินดูครั้งนี้แล้ว แม่เฒ่าจูก็พอใจอย่างมาก
เด็กหนุ่มคนนี้ช่างกระฉับกระเฉงมีพลัง แถมยังสูงและบึกบึน เขาช่างดูดีตั้งแต่แรกเห็น
“ฉันได้ยินคุณย่าของเธอพูดถึงอยู่เนือง ๆ น่ะจ้ะ หลังปีใหม่นี้เธอจะมีอายุแค่ 18 เท่านั้น ทำไมถึงตัวสูงนักล่ะจ๊ะ?” แม่เฒ่าจูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ยิ่งนางมองโจวข่าย นางก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากได้เด็กหนุ่มคนนี้มาเป็นหลานเขยของนาง
“เป็นกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ผมน่ะครับ พวกเขาตัวสูงเหมือนกัน” โจวข่ายตอบอย่างถ่อมตนเล็กน้อย
“ฉันได้ยินว่าแม่ของเธอเป็นอาจารย์ภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งงั้นเหรอ?” แม่เฒ่าจูถาม
“ครับ” โจวข่ายพยักหน้า
“พ่อเธอตอนนี้เป็นเจ้าของกิจการงั้นเหรอ? แล้วทำงานได้เงินเยอะไหม?” แม่เฒ่าจูถามต่อ
ถ้าหลานสาวของนางได้แต่งงานจริง มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรู้เรื่องราวทั่วไปของอีกฝ่ายก่อน การได้ยินมาจากท่านแม่โจวนั้นไม่นับ ต้องได้ยินจากปากเด็กหนุ่มคนนี้โดยตรงจะดีกว่า
“ผมไม่รู้ว่ากิจการเป็นอย่างไรบ้างเพราะไม่ใช่คนจัดการเรื่องนี้น่ะครับ พ่อผมเป็นคนจัดการ แต่จากที่ผมเห็นก็นับว่าพอใช้ได้อยู่นะครับ” โจวข่ายตอบขณะเหลือบมองนาง
“หลังจากนั้นในอนาคตเธอจะเข้ากองทัพงั้นเหรอ? นั่นนับว่าดีมากเลย เหมาะกับพ่อหนุ่มอย่างเธอแล้ว” แม่เฒ่าจูเอ่ย
โจวข่ายได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไร
แม่เฒ่าจูเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรอีกต่อไป นางจึงหันไปคุยกับท่านแม่โจวแทน “หลานชายคุณตัวสูงตัวโตขนาดนี้เลยนะคะ ช่างเป็นเด็กที่ดูดีจริง ๆ”
ท่านแม่โจวยิ้มอย่างถ่อมตน “แกสูงเกินไปหน่อยน่ะค่ะ”
เป็นเพราะมีคนอื่น ๆ อยู่มาก แม่เฒ่าจูจึงไม่เอ่ยอะไรมากนัก เรื่องที่เหลือนางจะพูดกับท่านแม่โจวเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้พวกนางดูทีวีด้วยกันไปก่อน
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว การเลี้ยงลูกหลานของตระกูลโจวไม่นับว่าเลวร้ายเลย
โดยเฉพาะพ่อแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้ที่กตัญญูต่อผู้ใหญ่ หากเด็กหนุ่มคนนี้ได้แต่งงานกับหลานสาวของนางในอนาคต เขาก็คงกตัญญูต่อนางด้วยเหมือนกัน
หลานสาวของแม่เฒ่าจูมีชื่อว่าจูเจินเจิน
วันต่อมานางก็นำหลานสาวมาเยี่ยม ท่านแม่โจวเห็นแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่หลานสาวของคุณเหรอคะ อ้า! สวยจังเลย”
ได้ยินดังนี้แล้ว แม่เฒ่าจูก็ดีใจหน้าบานและเอ่ยเร่งหลานสาว “เจินเจิน หนูรออะไรอยู่? สวัสดีคุณย่าโจวสิลูก”
“สวัสดีค่ะคุณย่าโจว” จูเจินเจินเอ่ยเสียงแผ่วราวกับยุงบิน
เด็กสาวแบบนี้ไม่ได้อยู่ในความชอบของท่านแม่โจวสักเท่าไหร่ นางชอบเด็กสาวที่เปิดเผยใจกว้างมากกว่า ไม่มีสะใภ้คนไหนมีท่าทางชวนให้อารมณ์เสียแบบนี้เลย
แต่นี่เป็นหลานสาวของคนอื่น ท่านแม่โจวจึงไม่ได้เอ่ยอะไร นางทำเพียงยิ้มเป็นการรับรู้ “ฉันไปหั่นไชเท้าก่อนนะ หลานชายบอกว่าเขาอยากกินไชเท้าเปรี้ยวหวาน เลยยังไม่มีเวลาคุยกับคุณน่ะค่ะ”
“ก็ได้ค่ะ งั้นคุณไปทำก่อนเถอะ” แม่เฒ่าจูยิ้ม
จากนั้นนางก็พาจูเจินเจินกลับมาที่บ้าน ก่อนเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “เจินเจิน ย่าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ทำตัวสุภาพมากกว่านี้? หนูรู้จักมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นบ้างไหม?”
“คุณย่า ครอบครัวของหล่อนย้ายมาจากต่างเมือง พวกเขาจะดีอย่างที่ย่าพูดได้อย่างไรล่ะคะ?” จูเจินเจินเอ่ยอ้อมแอ้ม
“หนูจะไปรู้อะไร? แม่ของเสี่ยวข่ายน่ะเป็นถึงอาจารย์ภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวนะ ส่วนพ่อของเขาก็เป็นเจ้าของร้าน ย่าได้ยินมาว่าย่าโจวพูดว่าธุรกิจของพวกเขายังดีมาด้วย เสี่ยวข่ายเองก็โดดเด่นออกขนาดนั้น หนูไม่อยากได้แบบนี้แล้วแบบไหนล่ะที่หนูอยากได้?” แม่เฒ่าจูเอ่ย
“คุณย่า ที่คุณย่าพูดมาก็ถูกนะคะ แต่หนูยังไม่ทันเห็นเขาเลย” จูเจินเจินค้อมศีรษะ
ต่อหน้าท่านแม่โจวหล่อนดูเป็นคนถ่อมตัว แต่ส่วนตัวแล้วหล่อนไม่ได้เป็นแบบนั้น
“หนูยังไม่เชื่อสายตาย่าอีกเหรอ? ย่าไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่มีชีวิตชีวาขนาดนี้เลย ต่อให้เขาจะอ่อนกว่าหนูหนึ่งปีมันก็ไม่เป็นไร เขาสูงกว่าหนูมาก ถ้าไม่เชื่อย่าลองไปถามปู่ดูก็ได้ ปู่ของหนูเคยเจอเสี่ยวข่ายมาแล้ว” แม่เฒ่าจูเอ่ย
“คุณอย่าเพิ่งออกตัวแรงนักเลย ผมรู้สึกว่าเสี่ยวข่ายอาจไม่สนใจเจินเจินด้วยซ้ำ” เฒ่าจูเอ่ยอย่างอดไม่ได้
แม่เฒ่าจูไม่ชอบคำพูดเหล่านี้เลย “ทำไมเขาจะไม่สนใจผู้หญิงอย่างเจินเจินล่ะคะ? ยิ่งกว่านั้นอนาคตเขาก็จะได้เป็นทหาร เจินเจินก็ต้องอยู่บ้าน ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเจินเจินแล้ว จะมีอะไรให้เขาไม่ชอบกันล่ะ? เจินเจินยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
เฒ่าจูถึงกับเงียบไป
“คุณย่า เมื่อไหร่เขาจะมาอีกคะ? หนูอยากไปเห็นเขาสักหน่อย” จูเจินเจินเอ่ยพลางก้มหน้า
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
๕๕๕ ซูสวิ่นเดี๋ยวนี้เลือดร้อนขึ้นนะคะ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยทำท่าจะร้องไห้ตอนรู้ว่าต้องฆ่ากระต่ายมากินอยู่เลย
เจ้าใหญ่ขายดีเกินไปแล้วค่ะ มีแต่คนจะแย่งตัวไปเป็นเขย แต่ดูแล้วจะสู้บ้านเวิงได้เหรอ บ้านนั้นแม่ไฟเขียวแบบเต็มที่แล้วนะ
ไหหม่า(海馬)