ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 715 ภาวะกระเพาะร้อน(2)
ตอนที่ 715 ภาวะกระเพาะร้อน(2)
……….
ตอนที่ 715 ภาวะกระเพาะร้อน(2)
ขณะนั้นเซี่ยปิงหรุ่ยก็เดาตัวตนของเด็กสาวตรงหน้าได้ หล่อนยกยิ้มแล้วพูดกับเด็กสาวว่า “เหยาเหยาใช่ไหม หมอขอจับชีพจรหน่อยนะ รับรองว่าจะวินิจฉัยและรักษาโรคของคุณได้แน่นอน”
“จริง…จริงเหรอคะ?”
เหยาเหยามองไปที่เซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความลังเลใจ
ทว่าบิดาของเหยาเหยากลับมองไปที่เซี่ยปิงหรุ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยว่า “คุณดูอายุไล่เลี่ยกับลูกสาวผมเลย จะรักษาโรคให้ได้จริงหรือ?”
เซี่ยปิงหรุ่ยกลับยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ฉันเริ่มเรียนแพทย์แผนจีนตั้งแต่อายุสามขวบ โรคส่วนใหญ่ล้วนแก้ไขได้”
“อะไรนะ..เริ่มเรียนแพทย์แผนจีนตั้งแต่อายุสามขวบเลยเหรอ?”
บิดาของเหยาเหยารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนเซี่ยปิงหรุ่ยก็กลับพยักหน้าเป็นเชิงรับแล้วกล่าวว่า “ใช่ค่ะ ตระกูลของฉันเป็นแพทย์แผนจีน”
คราวนี้สายตาบิดาของเหยาเหยาที่มองเซี่ยปิงหรุ่ยก็พลันเปลี่ยนไป รีบโบกมือเรียกบุตรสาวแล้วกล่าวว่า “เหยาเหยา ไปให้คุณหมอดูอาการเร็วเข้า”
เหยาเหยาเดินเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงให้เซี่ยปิงหรุ่ยจับชีพจร
เซี่ยปิงหรุ่ยจับชีพจรอย่างละเอียด แล้วสอบถามเหยาเหยาเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และข้อสรุปสุดท้ายที่ได้ก็คือภาวะกระเพาะอาหารร้อน
“อาการไม่รุนแรง หมอจะสั่งยาให้ กลับไปแล้วก็ให้กินยาตามเวลาทุกวัน สามวันก็จะดีขึ้นค่ะ”
“จริงหรือคะคุณหมอ?”
“ค่ะ แต่คุณต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกินด้วย พยายามดื่มน้ำอุ่น แล้วก็ให้กินอาหารอุ่น ๆ อย่ากินของเย็น ๆ”
เหยาเหยาได้ยินแล้วก็รีบจดจำไว้ทันที “ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
พ่อของเหยาเหยาก็จำทุกสิ่งที่เซี่ยปิงหรุ่ยพูดอย่างตั้งใจ
แต่แล้วเหลียงเจินชิงกลับพูดแทรกขึ้นมาว่า “พวกคุณเชื่อเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งแต่กลับไม่เชื่อฉันอย่างนั้นเหรอ ลูกสาวของคุณอาเจียนและกินอะไรไม่ได้สองวัน มันอาจเป็นสัญญาณการเกิดโรคใหม่ ๆ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับโรคเดิมเลยก็ได้”
หมอคนอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างเงียบไม่พูดอะไร
เหลียงเจินชิงทำงานมาหลายปี ขณะที่เซี่ยปิงหรุ่ยยังเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัด พวกเขาเลยเผลอเชื่อเหลียงเจินชิงโดยอัตโนมัติ คิดว่าสิ่งที่หล่อนพูดนั้นถูกต้อง
เหยาเหยาและบิดาของหล่อนถึงกับอึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินสิ่งที่เหลียงเจินชิงพูด ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้นี้เลย
เซี่ยปิงหรุ่ยขมวดคิ้วมองเหลียงเจินชิง หมอคนนี้ยังไม่คิดว่าตัวเองวินิจฉัยผิดอีกสินะ
“หัวหน้าแผนกหลิน คุณมาได้ทันเวลาพอดีเลย ที่นี่มีคนไข้คนหนึ่งที่ต้องการให้คุณช่วยดูให้หน่อย”
เซี่ยปิงหรุ่ยตาไวเห็นหลินหย่งเฉียงเข้า ก็รีบเรียกตัวมาทันที “หัวหน้าแผนกหลิน คนไข้คนนี้ก่อนหน้านี้ได้รับการวินิจฉัยจากหมอเหลียง แต่หล่อนวินิจฉัยผิด แถมยังไม่ยอมรับเสียด้วย”
“หัวหน้าแผนกหลิน ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”
เหลียงเจินชิงรีบปฏิเสธ และจ้องมองเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความโกรธ คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้จะกล้าฟ้องความเท็จ “การวินิจฉัยของฉันไม่ผิด คนไข้คนนี้มีอาการของโรคใหม่อย่างแน่นอน”
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่พูดอะไร และคว้าประวัติทางการแพทย์ของเหยาเหยาไปยื่นให้หลินหย่งเฉียง “หัวหน้าแผนกหลิน ลองดูประวัติก่อนนะคะ จากนั้นก็ตรวจชีพจรของเหยาเหยา แล้วคุณจะรู้เองว่าระหว่างฉันกับหมอเหลียง ใครกันแน่ที่วินิจฉัยผิด”
หลินหย่งเฉียงไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องแบบนี้ เขาจึงหยิบประวัติมาอ่านอย่างละเอียดจากนั้นก็หันไปมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วว่า “ขอมือหน่อยครับ ผมขอตรวจชีพจรหน่อย”
เหยาเหยามองเซี่ยปิงหรุ่ยสลับกับหลินหย่งเฉียง จากนั้นก็ยื่นมือไป
หลินหย่งเฉียงตรวจชีพจรของเหยาเหยา แล้วก็ถามคำถามสองสามข้อ จากนั้นเบนสายตามองไปที่ใบสั่งยาของเซี่ยปิงหรุ่ย ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ใบสั่งยาตรงกับอาการมาก ให้ใช้ยานี้ต่อไปได้เลย”
พูดจบก็ยื่นใบสั่งยานั้นกลับให้กับเหยาเหยาพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คนไข้ไปรับยาแล้วกินยาตามที่หมอแนะนำได้เลย”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว”
แม้เหยาเหยาจะไม่รู้จักหลินหย่งเฉียง แต่ก็เห็นว่าหมอหลายคนต่างก็ยำเกรงเขา รวมทั้งยังให้เขาเป็นคนวินิจฉัยอีกด้วย แสดงว่าเขาต้องเป็นหมอที่มีความสามารถอย่างแน่นอน ในเมื่อเขายังพูดอย่างนั้น ย่อมแสดงว่าใบสั่งยาของหมอหญิงคนเมื่อครู่ไม่มีปัญหาแน่ ๆ
หลังจากที่เหยาเหยาและบิดาของหล่อนจากไปแล้ว หลินหย่งเฉียงก็ขมวดคิ้วมองเหลียงเจินชิงแล้วพูดว่า “คุณนี่ประมาทจริง ๆ ไม่ซักถามให้ละเอียดก็บอกให้เด็กสาวคนนั้นไปตรวจช่องปากเลย กลายเป็นทำให้โรคของคนไข้รุนแรงขึ้น ทำให้หล่อนมีอาการหนักขึ้นในสองวันนี้ ผมหวังว่าครั้งต่อไปจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหย่งเฉียง เหลียงเจินชิงก็รู้สึกขายหน้า สีหน้าของหล่อนพลันดูไม่สู้ดีนัก
แต่หลินหย่งเฉียงเป็นหัวหน้าแผนกแพทย์แผนจีน หล่อนจึงจำต้องก้มหัวลงและพูดว่า “ค่ะ หัวหน้าแผนกหลิน”
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นสีหน้าอึดอัดของเหลียงเจินชิงก็ยกยิ้มมุมปาก
ทันใดนั้นเอง หลินหย่งเฉียงก็หันไปมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วพูดว่า “คุณคือหมอฝึกหัดที่มาฝึกงานในแผนกของเราใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ หัวหน้าแผนกหลิน ฉันชื่อเซี่ยปิงหรุ่ย มาฝึกงานที่นี่ในภาคเรียนนี้ค่ะ”
หลินหย่งเฉียงพยักหน้าก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก คุณยังเรียนไม่จบเลย แต่ก็สามารถตรวจคนไข้ได้แล้ว ยอดเยี่ยมมาก เป็นคนรุ่นใหม่ที่แซงหน้าคนรุ่นเก่าไปเสียแล้ว”
เมื่อเห็นหลินหย่งเฉียงชมเซี่ยปิงหรุ่ย เหลียงเจินชิงก็พูดด้วยความไม่พอใจว่า “หัวหน้าแผนกคะ เสี่ยวเซี่ยเก่งอยู่แล้วนี่คะ หล่อนน่ะเรียนแพทย์มาตั้งแต่สามขวบแล้ว เวลาที่เรียนแพทย์ของหล่อนนานกว่าฉันเสียอีก”
น้ำเสียงของเหลียงเจินชิงเต็มไปด้วยการเสียดสี เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในคำพูดที่เซี่ยปิงหรุ่ยพูดเมื่อครู่เลย
แต่หลินหย่งเฉียงกลับมองมาที่เซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วถามว่า “เสี่ยวเซี่ย คุณเรียนแพทย์ตั้งแต่สามขวบจริง ๆ เหรอ?”
“จริงค่ะ สามขวบก็เริ่มเรียนแล้ว เด็กในตระกูลของเรา พอเริ่มพูดได้นิดหน่อยก็ต้องเริ่มท่องจำชื่อสมุนไพรต่าง ๆ แล้วค่ะ จริง ๆ แล้วถ้าจะว่ากันตามจริงก็ต้องบอกว่าเริ่มเรียนก่อนสามขวบด้วยซ้ำ”
“เหอะ…”
เมื่อครู่นี้เหลียงเจินชิงถูกเซี่ยปิงหรุ่ยถอนหงอก หล่อนจึงเก็บโทสะไว้ในใจ พอมาได้ยินเซี่ยปิงหรุ่ยพูดอะไรที่ฟังดูเหลือเชื่อแบบนี้อีกก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้
ก่อนหน้านี้หลินหย่งเฉียงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหลียงเจินชิงเป็นคนแบบนี้ เขาจึงขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าไม่พอใจนัก แต่เขาก็ยังคงสงสัยในคำพูดของเซี่ยปิงหรุ่ยอยู่ดี เพราะไม่มีใครที่เริ่มเรียนแพทย์ตั้งแต่เด็กขนาดนั้น เขาจึงได้ถามความสงสัยของตัวเองออกมา
“ไม่ทราบว่าหัวหน้าแผนกหลินเคยได้ยินชื่อตระกูลเซี่ยจากซีอานหรือเปล่านะคะ”
“อะไรนะ…”
หลินหย่งเฉียงได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความแปลกใจ นึกถึงชื่อสกุลของหล่อนแล้วก็พูดด้วยความไม่เชื่อ “เธอ…เธอเป็นคนของตระกูลเซี่ยจากซีอานงั้นเหรอ?”
เซี่ยปิงหรุ่ยพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ค่ะ ฉันเป็นทายาทตระกูลเซี่ยสายตรงจากซีอาน”
ไหน ๆ ก็ไม่อยากทำงานในสำนักงานแล้ว หล่อนก็ขอเปิดเผยฐานะของตัวเองเลยก็แล้วกัน จะได้ให้คนอื่นรู้ว่าเซี่ยปิงหรุ่ยไม่ใช่หมอฝึกหัดธรรมดา ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เบื้องหลังของปิงหรุ่ยไม่ธรรมดานะป้า ป้าอย่าไปงัดข้อด้วยเลย เดี๋ยวขายหน้าหนักกว่าเดิม
ไหหม่า(海馬)
……….