ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 704 ฉันไม่สะดวก(1)
ตอนที่ 704 ฉันไม่สะดวก(1)
……….
ตอนที่ 704 ฉันไม่สะดวก(1)
หลี่ปิ่งฉวนพาฉินมู่หลานไปที่แผนกศัลยกรรมทรวงอกและแนะนำด้วยความตื่นเต้น “ทุกคนมานี่เร็ว คุณหมอฉินมาทำงานในแผนกของโรงพยาบาลของเราแล้ว”
ทันใดนั้นทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อมองดูฉินมู่หลานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคยพบกับฉินมู่หลาน แต่เคยได้ยินชื่อเสียงของเธอมาบ้าง เมื่อได้เห็นตัวจริงของเธอ พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อสายตา หญิงสาวอายุน้อยคนนี้คือหมอฉินในตำนานเหรอ?
“ยินดีต้อนรับคุณหมอฉิน”
ทุกคนยิ้มและปรบมือต้อนรับฉินมู่หลานด้วยรอยยิ้ม เธอก็ยิ้มและทักทายทุกคนกลับเช่นกัน
หลี่ปิ่งฉวนจึงเริ่มแนะนำสมาชิกในแผนก “หมอฉิน ท่านนี้คือหมอหลิว ท่านนั้นคือหมอเหลย ถัดไปคือหมอฉิน และนั่น…”
หลังจากการแนะนำรอบครบทุกคน ฉินมู่หลานก็เริ่มจำชื่อและใบหน้าของพวกเขาได้
เมื่อหลี่ปิ่งฉวนเห็นว่าแนะนำทุกคนหมดแล้ว เขาจึงหันไปทางฉินมู่หลานแล้วพูดว่า “คุณหมอฉิน ผมจะพาคุณไปดูห้องทำงานนะครับ”
“ได้ค่ะ”
โรงพยาบาลให้ความสำคัญกับฉินมู่หลานมากขนาดว่าจัดห้องทำงานไว้ให้เธอ ซึ่งนี่ถือเป็นกรณีพิเศษที่ไม่ใช่แพทย์ทุกคนจะได้รับ
หลังจากฉินมู่หลานและหลี่ปิ่งฉวนจากไปแล้ว แพทย์ในแผนกศัลยกรรมทรสงอกก็รวมตัวกันเพื่อพูดคุย
“ที่แท้ห้องทำงานนั้นก็เตรียมไว้ให้คุณหมอฉิน ผมคิดว่า…” หมอร่างอ้วนเตี้ยต้องการพูดอะไรบางอย่างแล้วรีบหุบปากไป เขาคิดว่าห้องนั้นน่าจะเตรียมไว้ให้หมอหลิวที่เป็นหมออาวุโสของแผนกและเป็นหมอผู้มากประสบการณ์ แต่กลับกลายเป็นว่ามันถูกจัดเตรียมไว้ให้หมอฉินที่เพิ่งย้ายมาใหม่
หลิวซิ่นเหลือบมองเก๋อฮั่นเตี่ยนหมอร่างอ้วนท้วนแล้วพูดว่า “หมอฉินเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลของเราต้องการตัว การจัดเตรียมห้องทำงานไว้ให้หล่อนถือว่าเหมาะสมแล้ว”
“แต่หล่อนแค่มาฝึกงานไม่ใช่เหรอ?”
เก๋อฮั่นเตี่ยนอดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา รู้สึกอึดอัดใจที่เด็กสาวอายุน้อยผู้ยังเรียนไม่จบเข้ามาทำงานข้ามหน้าข้ามตาพวกเขา
อย่างไรก็ตามหลิวซิ่นก็ส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก
เด็กสมัยนี้ดีแต่พูด จะมีความสามารถเท่าไรกันเชียว
หลังจากที่หลิวซิ่นพูดจบ เขาก็เดินกลับไปที่ที่นั่งของเขา และทิ้งความเงียบงันเอาไว้เบื้องหลัง
เก๋อฮั่นเตี่ยนก็ออกไปกับแพทย์อีกคน และพูดด้วยความขุ่นเคือง
“เค่อเยวียน คงไม่ใช่ว่าหลังจากนี้เราต้องฟังคำสั่งของฉินมู่หลานหรอกนะ นายเห็นการแสดงออกของหมอหลี่หรือเปล่า มองหล่อนราวกับเป็นเทพธิดาเชียว”
ฉินเค่อเยวียนเหลือบมองเก๋อฮั่นเตี่ยนแล้วพูดว่า “ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีกนะ คุณไม่เห็นหรือว่าหมอหลิวไม่ได้พูดอะไรเลย มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดรู้จักหมอฉิน ต่อไปนี้ต้องระวังคำพูดนะ”
อย่างไรก็ตามเก๋อฮั่นเตี่ยนไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้เลย
“แล้วทำไมไม่บอกความจริงกับพวกเราล่ะ? ตอนนี้ฉินมู่หลานเป็นเด็กฝึกงานในโรงพยาบาลของเรา นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้”
ฉินเค่อเยวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “หล่อนเป็นเด็กฝึกงานก็จริง แต่ไม่ใช่เด็กฝึกงานธรรมดาแน่ หล่อนมีความสามารถมาก ผมได้ยินมาว่าทักษะทางการแพทย์ของหล่อนดีกว่าหมอหลี่ด้วยซ้ำ”
“แต่ผมก็ว่ามันฟังดูเกินจริงไปหน่อย ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์ของฉินมู่หลานจะดีแค่ไหน หล่อนก็ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ จะมีความสามารถดีกว่าหมอหลี่ได้ยังไง”
เขาและฉินเค่อเยวียนเพิ่งมาประจำที่โรงพยาบาลปักกิ่งได้ไม่นาน เคยได้ยินเรื่องของฉินมู่หลานมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นทักษะทางการแพทย์ของเธอด้วยตาของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ปักใจเชื่อ
“ใครจะรู้”
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ฉินมู่หลานเดินตามหลี่ปิ่งฉวนไปที่ห้องทำงาน เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หมอหลี่คะ นี่คือห้องทำงานของฉันเหรอ? แบบนี้จะดีเหรอคะ ฉันเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานน่ะค่ะ”
อย่างไรก็ตามหลี่ปิ่งฉวนโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม คุณเป็นแพทย์ที่ทางโรงพยาบาลของเราคัดเลือกมาเป็นพิเศษ ไม่ใช่นักศึกษาฝึกงาน”
และเขาก็พูดถึงเรื่องการออกตรวจ “ก่อนหน้านี้คุณยุ่งมากจึงไม่ค่อยได้เข้ามาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยจำนวนมากถามถึงคุณ เมื่อรู้ว่าคุณจะมาที่นี่ในอีกหกเดือนข้างหน้า ก็ทำให้ทุกคนดีใจกันมากและบอกว่าในที่สุดก็ได้ตรวจรักษากับคุณอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ฉินมู่หลานก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ยังมีคนอยากมาตรวจรักษากับฉันด้วยเหรอคะ?” แม้เธอจะตกลงรับการคัดเลือกพิเศษจากโรงพยาบาลปักกิ่ง แต่ก็มาเข้าตรวจที่นี่ไม่บ่อยนัก คิดไม่ถึงว่ายังมีคนจำเธอได้
หลี่ปิ่งฉวนพยักหน้ารัวและพูดว่า “แน่นอน คนไข้ทุกคนที่รู้ว่าคุณรู้ว่าคุณมีทักษะทางการแพทย์ที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการรับการรักษากับคุณ”
“จริงเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นในช่วงหกเดือนนี้ ฉันจะมาทำงานทุกวันจะได้ดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น”
หลี่ปิ่งฉวนก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน
“คลินิกผู้ป่วยนอกของคุณจะเริ่มพรุ่งนี้ สี่วันต่อสัปดาห์ ส่วนเวลาที่เหลือให้คุณไปที่แผนกผู้ป่วยใน” เขารู้สึกมีความสุขเมื่อคิดว่าฉินมู่หลานจะมาทำงานที่โรงพยาบาลในช่วงครึ่งปีต่อจากนี้
ฉินมู่หลานไม่ได้คัดค้านการเตรียมการเหล่านี้ เธอพยักหน้าและพูดว่า “ตกลงค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันสักพัก หลี่ปิ่งฉวนก็มองไปที่ฉินมู่หลานแล้วพูดว่า “วันนี้ไม่มีอะไรทำอีกแล้ว คุณกลับไปก่อนได้”
ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันควรกลับไปหลังจากเลิกงานดีกว่า” หลังจากรายงานตัวเสร็จในวันแรก เธอจะกลับบ้านทันทีได้อย่างไร เพราะนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอก็จะได้ฝึกงานที่โรงพยาบาลปักกิ่งแห่งนี้
เมื่อหลี่ปิ่งฉวนได้ยินสิ่งนี้ เขาก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง ถ้าอย่างนั้นแล้วแต่คุณสะดวกเลย ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อน”
“ค่ะ แล้วเจอกันนะคะหมอหลี่”
หลังจากที่หลี่ปิ่งฉวนจากไป ฉินมู่หลานก็สำรวจห้องทำงานอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นก่อนจะตัดสินใจไปหาเซี่ยปิงหรุ่ย
ส่วนเซี่ยปิงหรุ่ยได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไปโดยอย่างสิ้นเชิง หล่อนถูกจัดให้นั่งตรงมุมห้อง และคนอื่น ๆ ก็ยังมอบหมายงานจิปาถะให้อีกมากมาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยปิงหรุ่ยมาฝึกงานในโรงพยาบาล หล่อนก็ไม่แน่ใจว่างานที่ได้รับมอบหมายตอนนี้คือสิ่งที่นักศึกษาฝึกงานต้องทำหรือไม่ อย่างไรก็ตามหล่อนก็เห็นว่ามีบางสิ่งที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็ไม่รีบร้อนที่จะทำอะไร กลับนั่งที่มุมของตนเองและเริ่มคิดว่าจะใช้เวลาฝึกงานในครึ่งปีนี้อย่างไร
“เสี่ยวเซี่ย นั่งทำอะไรอยู่ ไปช่วยรินน้ำสิ”
ทว่าเซี่ยปิงหรุ่ยยังคงนั่งเฉยไม่ขยับ หันไปมองแพทย์หญิงวัยกลางคนที่พูดเมื่อกี้แล้วพูดว่า “หมอเหลียงคะ ถ้าคุณต้องการดื่มน้ำก็รินเองสิคะ ฉันรินของฉันเสร็จแล้ว”
“เธอ…”
เหลียงเจินชิงมองเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความไม่อยากเชื่อ นึกโมโหเด็กฝึกงานที่วางท่าหยิ่งยโสคนนี้ขึ้นมา “เซี่ยปิงหรุ่ย เธอได้ยินไม่ชัดเจนในสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดเหรอ? ฉันขอให้เธอรินน้ำให้เรา”
เซี่ยปิงหรุ่ยเหลือบมองเหลียงเจินชิงด้วยสายตาเย็นชาแล้วตอบว่า “แน่นอน ฉันได้ยินคุณพูดชัดเจน และฉันก็พูดชัดเจนแล้วเช่นกัน หากคุณต้องการน้ำดื่ม คุณสามารถรินเองได้ ฉันไม่สะดวก”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจอเด็กแข็งใส่แล้วเป็นไงล่ะยัยป้า มีมือเท้าก็ทำเองสิ
ไหหม่า(海馬)
……….