ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 703 รายงานตัวที่โรงพยาบาลปักกิ่ง(2)
- Home
- ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก
- ตอนที่ 703 รายงานตัวที่โรงพยาบาลปักกิ่ง(2)
ตอนที่ 703 รายงานตัวที่โรงพยาบาลปักกิ่ง(2)
……….
ตอนที่ 703 รายงานตัวที่โรงพยาบาลปักกิ่ง(2)
หลังจากฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยออกจากมหาวิทยาลัย ทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปที่ร้านซิ่งหลินทันที วันนี้ที่ร้านค่อนข้างว่าง เซี่ยปิงชิงและคังอันเหอจึงนั่งคุยกันอยู่ พอเห็นฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยมา ก็เลยเชิญชวนเข้ามาคุยด้วย
“มู่หลาน ปิงหรุ่ย อีกหน่อยทุกคนก็คงยุ่งจนไม่มีเวลา วันนี้ไปกินข้าวด้วยกันดีไหม?”
ได้ยินคำพูดของเซี่ยปิงชิง ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยก็พยักหน้า ตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้มาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ
ถึงตอนเที่ยงพวกเธอก็พากันไปร้านอาหาร เมื่อกินอาหารเสร็จ ฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงหรุ่ยก็แยกย้ายกลับบ้าน
พอฉินมู่หลานกลับถึงบ้าน ก็พบว่าฉินเคอวั่งกลับมาแล้ว จึงถามว่า “เคอวั่ง ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจัง ไม่ได้ออกไปเที่ยวกับเชี่ยนเชี่ยนต่อเหรอ?”
วัยรุ่นหนุ่มสาวกำลังคบหากัน แต่ทำไมน้องชายกลับมาบ้านเร็วขนาดนี้
ฉินเคอวั่งได้ยินก็ส่ายหัวแล้วตอบว่า “เคยไปเที่ยวมาทั่วปักกิ่งแล้ว ก็ไม่มีที่ไหนน่าเที่ยวแล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงอดกล่าวไม่ได้ว่า “เวลามีแฟนสาว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็น่าจะมีความสุขทั้งนั้น แต่นายกลับบอกว่าไม่มีอะไรสนุก ถ้าเชี่ยนเชี่ยนได้ยินคงไม่พอใจแน่”
ฉินเคอวั่งได้ฟังแล้วไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเงียบไปเสียเฉย ๆ
เห็นฉินเคอวั่งเป็นเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงอดถามไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป เคอวั่ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“พี่ วันนี้เชี่ยนเชี่ยนบอกกับผมว่าพอถึงปีสุดท้าย ให้ผมไปฝึกงานที่บริษัทออกแบบด้วยกัน”
พอได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานก็อดถามไม่ได้ว่า “บริษัทออกแบบปักกิ่งใช่ไหม?”
“ใช่”
“เท่าที่ฉันรู้ บริษัทออกแบบปักกิ่งเป็นบริษัทที่คนใฝ่ฝันอยากเข้าไปทำงานมากติดอันดับ นายจะได้ไปเรียนรู้งานไง ไม่ดีเหรอ?”
กับพี่สาวของตน ฉินเคอวั่งก็ไม่มีอะไรปิดบัง
“แต่ผมคิดไว้ว่าพอปีสุดท้ายจะไปฝึกงานที่เซินเจิ้น ถ้าไปฝึกงานที่บริษัทออกแบบกับเชี่ยนเชี่ยนก็คงไปเซินเจิ้นไม่ได้ แถมไม่เป็นอิสระด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานจึงกล่าวว่า “ที่มหาวิทยาลัยน่าจะมีข้อตกลงเรื่องฝึกงานนะ เรื่องบริษัทฝึกงานก็น่าจะสำคัญ นายก็ควรไปหาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ จะได้ไม่เสียรู้ทีหลัง”
ก่อนหน้านี้ฉินเคอวั่งไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพราะเขาได้ยินมาว่าขอแค่นำใบรับรองฝึกงานมาก็พอ แต่พอได้ยินพี่สาวพูดอย่างนี้ เขาก็รู้สึกว่าควรจะสืบหาข้อมูลให้ดีเสียก่อน จึงลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่ ผมออกไปข้างนอกแป๊บนะ ก่อนกินข้าวเย็นจะกลับมา”
“ได้ ไปเถอะ”
ฉินเคอวั่งไปที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง พอกลับมาถึงบ้านก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี
ฉินมู่หลานอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ว่า “เป็นไง ที่มหาวิทยาลัยมีข้อตกลงเรื่องฝึกงานยังไงบ้าง?”
“ทางมหาวิทยาลัยจะจัดหาบริษัทฝึกงานให้ แต่ก็หาบริษัทฝึกงานเองได้ด้วย แต่ผมได้ไปถามคนอื่น ๆ มาแล้ว ได้ความว่าไปฝึกงานที่บริษัทใหญ่ ๆ จะช่วยให้จบการศึกษาได้ดีขึ้น”
ฉินมู่หลานพยักหน้าเห็นด้วย “แน่นอน ถ้านายไปฝึกงานที่บริษัทของพ่อที่เซินเจิ้น ประวัติของนายคงดูไม่ดีเท่าไร เทียบไม่ได้เลยกับการไปฝึกงานที่บริษัทออกแบบปักกิ่ง”
ทางด้านของซูหว่านอี๋เดิมทีก็ไม่รู้เรื่องอะไร หล่อนรอฟังลูก ๆ คุยกันจนจบก็รีบหันไปหาฉินเคอวั่งพร้อมเอ่ยว่า “เคอวั่ง ลูกจะไม่ไปฝึกที่บริษัทการออกแบบแล้วไปฝึกงานที่บริษัทของพ่อแทนเหรอ?”
“ยังไม่ตัดสินใจดีครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากฉินเคอวั่ง ซูหว่านอี๋ก็รีบพูดขึ้นทันที “อะไรกัน มีอะไรให้ต้องลังเลอีก ก็ไปฝึกที่บริษัทการออกแบบสิ ลูกยังเรียนไม่จบนะ สิ่งที่ควรทำก็คือตั้งใจเรียนให้ดีแล้วก็จบออกมาด้วยคะแนนที่ดีที่สุด ส่วนเรื่องอยากหารายได้อะไรน่ะ ก็รอให้ได้ใบปริญญาก่อนค่อยว่ากัน”
ฉินเคอวั่ง ได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็เหมือนจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
ใช่แล้ว ตอนนี้เขายังเรียนไม่จบ สิ่งที่ควรทำก็คือตั้งใจเรียนให้ดี เรื่องหาเงินรอให้เรียนจบแล้วค่อยคิดก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่เซินเจิ้นก็มีพี่เจ๋อเหว่ยอยู่ มีทั้งพ่อและลุงเซี่ยด้วย เขาไม่ต้องรีบขนาดนั้น “เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อเห็นว่าลูกชายคิดได้แล้ว ซูหว่านอี๋ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ขณะที่ฉินมู่หลานก็อดขำไม่ได้ “ที่จริงแล้วโอกาสการฝึกงานที่บริษัทการออกแบบปักกิ่งเป็นโอกาสที่ดีมากนะ นายยจะได้เรียนรู้กับรุ่นพี่เก่ง ๆ หลายคน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฉินเคอวั่งก็ค่อย ๆ เห็นภาพ
เขาใจร้อนเกินไป ว่าแล้วเขาก็รีบหันไปหาแม่กับพี่สาว พร้อมเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ปีหน้าผมจะไปฝึกที่บริษัทการออกแบบพร้อมเชี่ยนเชี่ยน”
จากนั้นเอ่ยกับฉินมู่หลานว่า “พี่ พรุ่งนี้พี่ก็จะไปฝึกที่โรงพยาบาลปักกิ่งกับพี่ปิงหรุ่ยแล้วสินะ พวกพี่เก่งจังเลย ไม่ต้องเรียนอะไรในมหาวิทยาลัยแล้ว ได้ฝึกงานก่อนล่วงหน้า พอถึงเทอมสุดท้ายจะทำอะไรก็ได้ รอรับใบปริญญาก็พอ”
ส่วนซูหว่านอี๋ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็รีบกำชับฉินมู่หลานว่าเมื่อฝึกงานที่โรงพยาบาลปักกิ่งก็อย่าหักโหมเกินไป
หล่อนเคยได้ยินมาว่านักศึกษาฝึกงานต้องทำงานหนักมาก ไม่รู้ว่าว่าถ้าฉินมู่หลานไปฝึกที่โรงพยาบาลปักกิ่งแล้ว เธอจะต้องทำงานมากมายขนาดไหน
ฉินมู่หลานได้ยินแล้วจึงอดหัวเราะไม่ได้ “หนูเคยไปออกตรวจที่โรงพยาบาลปักกิ่งมาแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ไปฝึกงานก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร มากสุดก็คงได้แต่ตรวจคนไข้”
เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ซูหว่านอี๋ก็ว่าจริง ลูกสาวเก่งขนาดนั้นย่อมไม่เหมือนนักศึกษาฝึกงานทั่วไป ยิ่งกว่านั้นฉินมู่หลานยังคุ้นเคยกับโรงพยาบาลปักกิ่งอยู่แล้ว คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เป็นหล่อนที่คิดมากไปเอง
เช้าวันใหม่ เซี่ยปิงหรุ่ยก็มาหาฉินมู่หลานตั้งแต่เช้าตรู่
“มู่หลาน เราไปด้วยกันเลยไหม”
“ไปสิ ฉันก็กำลังจะออกพอดี”
ฉินมู่หลานตื่นเช้าและส่งลูกสองคนไปโรงเรียนแล้ว พอเธอกลับมาเตรียมตัวจะออกไป เซี่ยปิงหรุ่ยก็มาพอดี
ไม่นานนัก ทั้งสองก็มาถึงโรงพยาบาลปักกิ่ง หลี่ปิ่งฉวนเห็นพวกเธอกันมาด้วยกันเขาก็ยิ้มร่าอย่างเบิกบาน “เจอคุณสองคนพอดี เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปดูแผนกที่จะไปครับ”
“หมอหลี่ ฉันกับมู่หลานอยู่แผนกเดียวกันไหมคะ?”
นี่เป็นคำถามที่เซี่ยปิงหรุ่ยสนใจมาก ดังนั้นพอเห็นหลี่ปิ่งฉวน หล่อนก็รีบถามทันที
หลี่ปิ่งฉวนได้ยินเช่นนั้นก็หยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “พวกคุณทั้งสองไม่ได้อยู่แผนกเดียวกัน หมอฉินอยู่แผนกเดียวกับผม ส่วนคุณถนัดเรื่องแพทย์แผนจีน ดังนั้นจึงถูกจัดให้ไปที่แผนกการแพทย์แผนจีน”
พอได้ยินคำตอบ เซี่ยปิงหรุ่ยก็ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรนะ…ฉันกับมู่หลานไม่ได้อยู่แผนกเดียวกัน เราก็ทำงานด้วยกันไม่ได้น่ะสิ อีกอย่างมู่หลานก็ถนัดเรื่องการแพทย์แผนจีนเหมือนกัน ให้หล่อนไปแผนกการแพทย์แผนจีนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
หลี่ปิ่งฉวนได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบว่า “หมอฉินจะไปแผนกการแพทย์แผนจีนได้ยังไง ในแผนกของเรามีคนไข้จำนวนมากที่รอให้หมอฉินรักษาอยู่เลย” พูดจบเขาก็รีบมองไปที่เซี่ยปิงหรุ่ยและพูดว่า “ตามมาก่อน ผมจะพาคุณไปแผนกแพทย์แผนจีน”
พอเห็นว่าหลี่ปิ่งฉวนอยากจะกันท่าหล่อนออกไปโดยเร็วที่สุด เซี่ยปิงหรุ่ยก็รู้สึกพูดไม่ออก
ส่วนฉินมู่หลานก็หันไปยิ้มให้เซี่ยปิงหรุ่ยพลางพูดว่า “ปิงหรุ่ย ถ้าฉันมีเวลาว่าง ฉันก็จะไปหาเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเราก็ทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกัน เราจะไม่ได้ทำงานร่วมกันได้ยังไงล่ะ”
หลี่ปิ่งฉวนรีบพยักหน้า “นั่นน่ะสิ”
เซี่ยปิงหรุ่ยคิด ๆ ดูแล้วก็เห็นด้วย จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ท้ายที่สุดหล่อนก็ไปที่แผนกแพทย์แผนจีนก่อน ส่วนฉินมู่หลานตามหลี่ปิ่งฉวนไปที่แผนกศัลยกรรมทรวงอก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ดีแล้วที่มาปรึกษากับคนอื่นๆ ก่อนน่ะเคอวั่ง ใจร้อนวูบเดียวนี่เสียโอกาสใหญ่หลวงเลยนะ
อยู่โรงพยาบาลเดียวกันยังไงก็เจอแหละ
ไหหม่า(海馬)
……….