ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 681 ช่วยชีวิต(2)
ตอนที่ 681 ช่วยชีวิต(2)
…………….
ตอนที่ 681 ช่วยชีวิต(2)
ผู้คนต่างขยับถอยออกไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหน เพราะยังอยากดูว่าหญิงสาวที่ไม่เหมือนหมอคนนี้จะช่วยคนไว้ได้ไหม
“อือ…”
หลังจากที่ฉินมู่หลานดึงเข็มออกแล้ว หญิงชราก็ค่อย ๆ ได้สติ เหลือบมองไปที่คนรอบข้างอย่างสับสนและนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นลม
“เธอ…ช่วยฉันไว้เหรอ?”
เมื่อเห็นว่าคนฟื้นแล้ว ฉินมู่หลานจึงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “คุณยายกลับไปนอนพักที่เตียงเถอะค่ะ แล้วพักผ่อนให้เต็มที่นะคะ”
“ขอบใจนะ”
พูดจบ คุณยายก็ดูเขินอายเล็กน้อย เมื่อก่อนยังสงสัยในฝีมือของเธอ แต่พอตัวเองเป็นลมไป ก็เป็นเธอคนนี้ที่ช่วยไว้ หญิงชราที่เพิ่งแยกแยะดีชั่วได้จึงรีบขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉินมู่หลานพูดจบก็หันไปทางฉินเคอวั่ง “เคอวั่ง พยุงคุณยายไปที่เตียงเถอะ”
“ครับ”
เมื่อฉินเคอวั่งได้ยินดังนั้นก็รีบไปพยุงหญิงชราขึ้น โดยมีเกาเชี่ยนเชี่ยนเข้าไปช่วยอีกแรง พอคุณยายนอนลง พนักงานบนรถไฟก็ไล่ทุกคนให้แยกย้าย “ทุกท่านแยกย้ายได้แล้วค่ะ คุณยายท่านนี้ต้องพักผ่อน”
เห็นการรักษาด้วยตาตัวเอง ผู้คนต่างมองฉินมู่หลานด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่คิดว่าคนอายุยังน้อยจะมีฝีมือทางการแพทย์ดีขนาดนี้ แค่แทงเข็มไปไม่กี่ที คุณยายก็ฟื้นขึ้นมาได้ราวกับปาฏิหาริย์
“คุณหมอ ขอบคุณคุณหมอมากเลย ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณยายจะเป็นยังไง”
“ใช่ ๆ ไม่คิดเลยว่าคุณหมอจะมีฝีมือทางการแพทย์ที่ดีขนาดนี้”
หลังจากที่ผู้คนสรรเสริญ พวกเขาก็แยกย้ายกันไป
ส่วนฉินมู่หลานก็เดินกลับมาที่เตียง เมื่อเห็นคุณยายลืมตาขึ้นมานอนอยู่ ก็หยิบขวดยามาส่งให้แล้วพูดว่า “คุณยายคะ ยานี้สามารถบรรเทาอาการของคุณยายได้ กินครั้งละ 2 เม็ดนะคะ อีกอย่างตับของคุณยายมีปัญหา เมื่อถึงเซินเจิ้นแล้วไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยนะคะ”
ครั้งนี้หญิงชราไม่ปฏิเสธแล้ว แต่พูดด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจสุดขีดว่า “ได้ ขอบใจเธอมากนะ”
หลังจากรับขวดยามา คุณยายก็รีบกินไป 2 เม็ด ไม่รู้ว่าเป็นอุปาทานหรือไม่ เพราะนางรู้สึกว่าตัวเองไม่ทรมานเท่าใดแล้ว จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง
คุณยายชื่อว่าถังเยว่เซียน กำลังจะไปหาบุตรชายที่เซินเจิ้น แต่ครั้งนี้นางแอบไปคนเดียวไม่ได้บอกบุตรชาย และไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องบนรถไฟ
“ขอบคุณแม่หนูจริงๆ”
ฉินมู่หลานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ ฉันก็แค่บังเอิญเจอเข้าพอดี”
พอเห็นฉินมู่หลานที่ไม่ถือตนและไม่โอ้อวด หญิงชราก็รู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
ฉินมู่หลานเห็นว่าหญิงชราอาการดีขึ้นเยอะแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม แต่หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน พวกเขายังต้องนั่งรถไฟอีกนาน คงทำได้แค่อ่านหนังสือฆ่าเวลา
เส้นทางผ่านไปอย่างยาวนานและราบรื่น ตั้งแต่ที่ฉินมู่หลานได้ช่วยหญิงชราเอาไว้ เวลามองหน้ากันพวกเธอก็ยิ้มแย้มให้กันตลอดทาง ทำให้เกิความสบายใจตลอดการเดินทาง
พอใกล้มาถึงสถานีปลายทางแล้ว เซี่ยเจ๋อเหว่ยก็เริ่มเก็บข้าวของแล้วก็มายืนอยู่ที่ทางเดิน “มู่หลาน กำลังจะถึงแล้ว เตรียมตัวลงเลย”
ฉินมู่หลานเห็นว่ามีคนเริ่มต่อแถวกันเป็นจำนวนมาก เธอจึงพูดว่า “ช้าๆหน่อยก็ได้ค่ะพี่ใหญ่ รอคนอื่นลงไปก่อนแล้วค่อยลงก็ได้”
เซี่ยเจ๋อเหว่ยเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนั้น จึงได้ถอยกลับมา
คุณยายก็ไม่ได้รีบลงจากรถไฟ แต่ลงตามหลังฉินมู่หลาน และลงไปด้วยกัน
“แม่ ทางนี้…”
เมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟ ก็มีชายวัยกลางคนสวมชุดจงซานเดินตรงมาทางนี้
เมื่อหญิงชราเห็นลูกชายมารับ นางก็รีบมองหาฉินมู่หลานแล้วถามขึ้นว่า “หมอฉิน พวกคุณจะไปทางไหน ให้ลูกชายฉันไปส่งดีกว่าไหม?”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณยาย เดี๋ยวพ่อฉันก็มารับแล้ว ขอบคุณนะคะ”
พอพูดจบ ฉินเจี้ยนเซ่อและเซี่ยเหวินปิงมาถึงแล้ว ทั้งสองรีบตรงเข้ามาหามู่หลานอย่างรวดเร็ว “มู่หลาน มาถึงสักทีนะ”
เมื่อหญิงชราเห็นพวกฉินมู่หลานมีคนมารับจริง ๆ จึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม แต่พอลูกชายเดินเข้ามาใกล้ คุณยายก็รีบแนะนำเป็นพิเศษ “ซวี่ไป๋ นี่คือคุณหมอฉิน ตอนที่แม่เป็นลมบนรถไฟ หล่อนเป็นคนช่วยแม่ไว้ ถ้าไม่ได้หล่อนช่วย แม่คงไม่ฟื้นขึ้นมาแน่ ๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าของถังซวี่ไป๋จึงซีดลง
“แม่ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
“วางใจเถอะ แม่ไม่เป็นไร”
ถังซวี่ไป๋เห็นใบหน้าของมารดาพอมีเลือดฝาดและไม่ได้มีท่าทีว่าจะเป็นอะไร จึงรู้สึกวางใจลงไปเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวขอบคุณฉินมู่หลานอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณคุณหมอนะครับ”
เมื่อฉินมู่หลานได้ยินจึงโบกมือพร้อมกล่าวว่า “ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราอยู่โดยสารอยู่ห้องเดียวกับคุณยายพอดี เห็นท่านเป็นลมหมดสติก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดาค่ะ” พอพูดจบเธอก็ยิ้มและกล่าวอำลา “คุณยายคะ งั้นพวกเราขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ถึงแม้ว่าฉินเจี้ยนเซ่อและเซี่ยเหวินปิงจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก เพียงพยักหน้าให้กับถังเยว่เซียนและบุตรชายเป็นการอำลา
หลังจากรอให้ฉินมู่หลานคนอื่นๆจากไป ถังเยว่เซียนจึงหันไปกล่าวกับบุตรชายว่า “ซวี่ไป๋ เราไปโรงพยาบาลกันก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของมารดา ถังซวี่ไป๋ก็เกิดความเป็นห่วงขึ้นมาอีกครั้ง “แม่ ไม่สบายตรงไหนเหรอ?”
ถังเยว่เซียนส่ายหน้า ที่จริงแล้วนางไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนเลย แต่เพราะจำคำพูดของฉินมู่หลานได้ขึ้นใจว่าเมื่อมาถึงเซินเจิ้นแล้วต้องไปตรวจร่างกาย เมื่อมาถึงแล้ว การไปโรงพยาบาลก็เป็นเรื่องที่สมควร จึงเอ่ยปากกับบุตรชายทันที
ถังซวี่ไป๋ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ และตัวเขาก็ไม่ได้ลังเลใจ รีบพามารดาไปที่โรงพยาบาลทันที
อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานและคณะก็ติดตามฉินเจี้ยนเซ่อและเซี่ยเหวินปิงมายังเกสต์เฮาส์
“ช่วงนี้พวกลูกพักที่นี่ไปก่อน หากมีปัญหาอะไรก็บอกพวกเราได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉินมู่หลานจึงกล่าวว่า “พวกเราไม่มีปัญหาค่ะ”
หลังจากจัดการให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ฉินเจี้ยนเซ่อและเซี่ยเหวินปิงก็พาทุกคนไปยังร้านอาหาร “อาจารย์เหลียงจัดเตรียมโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไปกันได้เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ฉินเคอวั่งก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ไม่เจออาจารย์ตั้งนาน ที่แท้ก็มาอยู่ที่ร้านอาหารนี่เอง”
เมื่อทุกคนมาถึง เหลียงถงก็ได้สั่งอาหารรอไว้แล้ว “เคอวั่ง มู่หลาน พวกเธอมาซะที” พูดจบก็ทักทายเซี่ยเจ๋อเหว่ยกับคนอื่นๆ
“สวัสดีค่ะ อาจารย์เหลียง”
พวกฉินมู่หลานต่างก็ยิ้มแย้มทักทายเหลียงถง
จากนั้นทุกคนก็ทยอยนั่งลง
อาหารทยอยมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว ฉินเจี้ยนเซ่อกับเซี่ยเหวินปิงรู้ว่าทุกคนเดินทางมาไกลคงจะหิว จึงรีบตักอาหารให้
พวกฉินมู่หลานรู้สึกหิวจริง ๆ บนรถไฟแม้จะมีข้าวกล่อง แต่รสชาติก็ไม่ได้ดี จึงลงมือกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากอิ่มหนำสำราญ ทุกคนก็พูดออกมาว่า “อิ่มซะที”
“ในเมื่ออิ่มแล้ว พวกเรากลับไปที่พักกันก่อนเถอะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณยายคนนี้จะมีบทบาทอะไรต่อในเซินเจิ้นไหมนะ?
ไหหม่า(海馬)