ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 680 ช่วยชีวิต(1)
ตอนที่ 680 ช่วยชีวิต(1)
…………….
ตอนที่ 680 ช่วยชีวิต(1)
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินมู่หลาน หญิงชราก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “แม่หนู ทำไมถึงมองฉันอย่างนั้นล่ะ”
ฉินมู่หลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดออกไป “คุณยาย หนูว่าสีหน้าของคุณยายไม่ค่อยดีนะคะ หนูขออนุญาตจับชีพจรหน่อยได้ไหมคะ?”
พอได้ยินคำว่าจับชีพจร สีหน้าหญิงชราก็เปลี่ยนไป
“แม่หนูหมายความว่าฉันป่วยงั้นเหรอ ฉันรู้ดีที่สุดว่าร่างกายของฉันเป็นยังไง ฉันแข็งแรงดีอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้เธอมาจับชีพจร”
เห็นหญิงชราเริ่มไม่พอใจ เกาเชี่ยนเชี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “คุณยายคะ พี่มู่หลานเก่งเรื่องการแพทย์มากเลยนะ คุณยายลองให้หล่อนจับชีพจรไม่เสียหายอะไรนี่คะ”
แต่สีหน้าหญิงชรากลับยิ่งไม่ดีขึ้น
“ฉันไม่ป่วย จะให้เธอมาจับชีพจรทำไม อีกอย่างเธอยังเป็นเด็กสาวตัวเล็กแค่นี้ จะมีความรู้เรื่องหยูกยาแค่ไหนเชียว อย่ามารู้แบบครึ่งๆ กลางๆ เห็นคนก็อยากจะฝึกฝนแล้วคุยโวไปเรื่อย”
เสียงหญิงชราดังมาก ดังจนผู้โดยสารในห้องข้าง ๆ พากันมามุงดู พวกเขารู้เรื่องราวก่อนหน้าก็เห็นด้วยกับหญิงชราหมด เพราะฉินมู่หลานนั้นดูอ่อนเยาว์เหลือเกินราวกับไม่น่าจะมีความสามารถในการแพทย์
เกาเชี่ยนเชี่ยนและฉินเคอวั่งเห็นว่ามีคนมากมายสงสัยในตัวฉินมู่หลานก็โกรธขึ้นมา
แม้แต่เซี่ยเจ๋อเหว่ยและเกาอวิ๋นเซียวก็ยังคิดว่าคนแก่นี่ช่างถือดีเสียจริง
กลับกลายเป็นฉินมู่หลานที่ไม่แสดงออกผ่านทางสีหน้า พอหญิงชราไม่ให้จับชีพจร เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่พูดอย่างเรียบ ๆ ว่า “ถ้าคุณยายไม่ต้องการก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่พอคุณยายไปถึงเซินเจิ้นแล้ว ก็อย่าลืมไปโรงพยาบาลตรวจดูสักหน่อยเถอะค่ะ”
หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็ไม่อยากจะพูดอะไรต่อ เพราะว่าสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูดเธอก็ได้พูดไปหมดแล้ว ส่วนจะฟังหรือไม่มันก็เป็นเรื่องของคุณยายเอง
สีหน้าหญิงชราไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ตอนนี้พอได้ยินฉินมู่หลานบอกว่าจะให้ตนไปโรงพยาบาล นางก็ยิ่งรู้สึกโกรธมาก แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็เห็นว่าพวกเซี่ยเจ๋อเหว่ยมองตนเองด้วยสายตาประหลาดใจ จึงรู้สึกแปลกแยกเล็กน้อย เพราะสายตาของพวกเขาดูราวกับตนเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ
ในเวลานี้เซี่ยเจ๋อเหว่ยก็เป็นคนเริ่มพูดก่อน “มู่หลาน เราไปที่ตู้เสบียงกันเถอะ เที่ยงนี้เราไปกินที่นั่นกันดีกว่า”
เซี่ยเจ๋อเหว่ยพูดแทรกทันที ทำให้หญิงชราอึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกหงุดหงิดเพราะนางยังไม่ทันได้พูดอะไร พวกเขาก็พูดแทนตนไปหมดแล้ว
แต่ฉินมู่หลานพยักหน้าเหมือนไม่ได้ยินแล้วพูดว่า “ดีเหมือนกันค่ะ”
ฉินมู่หลานกับพวกเดินตรงไปยังตู้เสบียงท่ามกลางสายตาของหญิงชรา
หลังจากทุกคนจากไป หญิงชราก็นั่งอยู่ที่เดิมด้วยความอัดอั้น สุดท้ายได้แต่ควักเอาหมั่นโถวจากถุงผ้ามากินช้าๆ และมองว่าคนหนุ่มสาวไม่รู้จักการประหยัด ทุ่มเงินไม่รู้เท่าไหร่ไปกินของในตู้เสบียง
ฉินมู่หลานกับพวกเดินไปคุยไป
“พี่ คุณยายคนนั้นทำเกินไปแล้ว ไม่รับน้ำใจก็ว่าแล้ว ยังมาทำสงสัยอีก”
เกาเชี่ยนเชี่ยนพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวแล้วพูดว่า “ใช่แล้วพี่มู่หลาน พวกเราไม่ต้องไปสนใจ”
ได้ยินสองคนคุย ฉินมู่หลานก็อดขำไม่ได้ “เพราะว่าคุณยายไม่ได้รู้จักฉัน เป็นเราๆก็ต้องสงสัย แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ”
มีแต่เกาอวิ๋นเซียวเท่านั้นที่ถามด้วยความสงสัย “คุณยายคนนั้นเป็นอะไรเหรอครับ?”
แม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าฉินมู่หลานเก่งขนาดไหน แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นเธอรักษาคนไข้ด้วยตาเปล่า จึงอดอยากรู้ไม่ได้
คนอื่นที่ได้ยินต่างก็หันมามองฉินมู่หลาน
ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ปกปิด และบอกตรงๆไปเลยว่า “หล่อนอาจกำลังมีปัญหาที่ตับ”
เมื่อฉินมู่หลานพูดอย่างนี้ เกาอวิ๋นเซียวก็ยิ่งสงสัย “คุณหมอฉินยังไม่ได้ตรวจชีพจรเลย ทำไมถึงรู้ว่าคุณยายแกเป็นอะไร หรือว่าคุณหมอจะวินิจฉัยผิด?”
เขาเห็นหญิงชราคนนั้นร่างกายแข็งแรงดี ไม่เหมือนคนป่วยเลย
“สันจมูกของคุณยายออกเขียวช้ำเล็กน้อย แสดงว่าตับอาจมีปัญหา ฉันก็ได้แต่หวังว่าหล่อนจะเชื่อแล้วไปตรวจร่างกายที่เซินเจิ้น”
“ที่แท้ดูที่สันจมูกก็รู้ว่าร่างกายเป็นอย่างไรแล้ว”
เกาอวิ๋นเซียวรู้สึกประหลาดใจ แพทย์แผนจีนวิเศษขนาดนี้เลยเหรอ แค่ดูสีหน้าก็บอกปัญหาได้ สิ่งนี้ทำให้เขามองฉินมู่หลานด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังได้ยินเป็นเรื่องเล่าลมปากแล้วมาเห็นด้วยตาตัวเองจริง ๆ เขาก็ชื่นชมความสามารถของฉินมู่หลานอย่างเต็มใจ
พวกเขาเดินกันจนไปถึงตู้เสบียงแล้วก็ซื้อข้าวกล่องเสร็จก็นั่งกินกันตรงนั้น กินเสร็จจึงกลับไปที่ตู้โดยสาร
เมื่อหญิงชราเห็นทุกคนกลับมา นางก็มีสีหน้าบึ้งตึงไม่พูดอะไร ตอนนี้นางกินหมั่นโถวเสร็จแล้วกะว่าจะหยิบกระติกน้ำร้อนมาเติมน้ำ แต่เพิ่งจะเดินได้สองก้าว จู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืดและวูบล้มลงด้านข้างทันที
“คุณยาย!!!”
ฉินเคอวั่งที่เดินตามหลังมา เห็นคุณยายจะล้มจึงรีบเข้าไปประคองไว้
คนรอบข้างเห็นดังนั้น ต่างก็ร้องตกใจ
“มีคนเป็นลม”
“มีหมอไหม”
ผู้โดยสารรอบข้างพลันโกลาหล
ฉินมู่หลานเห็นดังนั้นจึงรีบบอกฉินเคอวั่งว่า “วางคุณยายลงบนพื้นและให้ทุกคนแยกย้ายกัน อย่ามายืนมุงอยู่ตรงนี้ อากาศจะไม่ถ่ายเท”
ได้ยินฉินมู่หลานสั่งอย่างเป็นการ ฉินเคอวั่งจึงค่อย ๆ จึงตั้งสติได้และช่วยกันประคองคุณยายลงนอน
ฉินมู่หลานเข้าไปจับชีพจรคุณยาย และทันใดนั้นก็หยิบเข็มเล่มเล็กออกมาโดยหวังจะช่วยเหลือเบื้องต้น
แต่คนข้างๆ เห็นการกระทำของฉินมู่หลานจึงรีบห้ามว่า “เด็กน้อย อย่าทำอะไรมั่วซั่วสิ แทนที่จะช่วยกลับทำให้เป็นอันตรายมากกว่าเดิม”
“คุณมาช่วยเองไหมล่ะ?”
ฉินเคอวั่งเงยหน้ามองคน ๆ นั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจที่คนคนโน้นคนนี้ไม่เชื่อใจพี่สาว หากปล่อยให้พี่สาวของเขาจับชีพจรหญิงชราแต่แรก ท่านคงไม่เป็นลมล้มลงไป แล้วตอนนี้พี่สาวจะช่วยชีวิต กลับมีคนมาขัดขวางอีก
คนนั้นได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือแล้วพูดว่า “อย่ามาสั่งมั่วซั่วนะ ฉันไม่ใช่หมอซะหน่อย”
“ไม่ใช่ก็อยู่เฉย ๆ ซะ พี่สาวผมเป็นหมอโรงพยาบาลปักกิ่งและโรงพยาบาลทหาร เป็นหมอเฉพาะทาง หล่อนช่วยคนได้แน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คนอื่นจึงเงียบเสียงลงหมด รถไฟขบวนนี้เพิ่งออกจากปักกิ่งมา พวกเขาก็รู้จักโรงพยาบาลปักกิ่งดีอยู่แล้ว ที่นั่นคือโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในปักกิ่ง ไม่ต้องพูดถึงโรงพยาบาลทหารอีก ถ้าสาวน้อยคนนี้บอกตัวตนออกไปตั้งแต่แรก พวกเขาก็คงไม่พูดจาแบบนั้นแล้ว
พอคิดได้ดังนี้ทุกคนก็มองไปที่ฉินมู่หลานด้วยสายตาเชิงตำหนิ
ในเวลานี้ ฉินมู่หลานไม่ได้สนใจผู้อื่น เธอหยิบเข็มขึ้นมาปักลงไปบนจุดฝังเข็มตามตัวหญิงชราที่หมดสติแล้ว
ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังทำการรักษา พนักงานต้อนรับก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ก็มองไปที่ฉินมู่หลานอย่างกังวลใจเช่นกัน ถ้าเกิดมีคนเป็นอะไรไปบนรถไฟ พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ
“ทุกคนอย่ามามุงกันตรงนี้ แยกย้ายออกไปค่ะ”
ตอนที่ฉินมู่หลานกำลังรักษา เธอก็พบว่าคนยิ่งมารวมกันมากขึ้น เลยพูดห้ามไว้
ฉินเคอวั่งและเซี่ยเจ๋อเหว่ยได้ยินเช่นนั้นก็รีบกันให้คนอื่นถอยออกไป
พนักงานต้อนรับก็พูดตาม “ทุกคนถอยออกไป อย่ามามุงกันที่นี่ กลับที่นั่งของตนเองไปค่ะ”
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คนเป็นลมต้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนไม่ใช่เหรอ หรือว่าการฝังเข็มก็นับเป็นวิธีหนึ่ง?
ไหหม่า(海馬)