ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 663 การหมั้นหมายของฉินเคอวั่งและเกาเชี่ยนเชี่ยน(2)
- Home
- ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก
- ตอนที่ 663 การหมั้นหมายของฉินเคอวั่งและเกาเชี่ยนเชี่ยน(2)
ตอนที่ 663 การหมั้นหมายของฉินเคอวั่งและเกาเชี่ยนเชี่ยน(2)
…………….
ตอนที่ 663 การหมั้นหมายของฉินเคอวั่งและเกาเชี่ยนเชี่ยน(2)
ฉินเจี้ยนเซ่อได้รับข่าวแล้วก็ตอบโดยไม่ลังเล “กลับสิ ลูกชายหมั้นทั้งที ผมต้องกลับแน่นอน”
“ก็ดีแล้วค่ะ เหลือเวลาอีกครึ่งเดือน รีบสะสางงานให้เรียบร้อย แล้วกลับมางานหมั้นลูกชายนะคะ”
“ได้”
เดิมทีฉินเจี้ยนเซ่ออยากจะถามคำถามเพิ่มเติม แต่ว่าวันนี้ทั้งคู่คุยกันทางโทรศัพท์ ซูหว่านอี๋กลัวสิ้นเปลืองค่าโทร จึงวางสายไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเจี้ยนเซ่อได้แต่เก็บคำถามเหล่านั้นเอาไว้ เตรียมรอให้กลับถึงปักกิ่งแล้วค่อยถามอย่างละเอียดอีกที
เรื่องหมั้นหมายระหว่างฉินเคอวั่งกับเกาเชี่ยนเชี่ยนเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นซูหว่านอี๋จึงเริ่มจัดการหลายๆ อย่างหลังจากวันนั้น ครั้นแจ้งฉินเจี้ยนเซ่อแล้ว หล่อนก็แจ้งนายท่านเหยาและเจี่ยงสือเหิง จากนั้นก็แจ้งครอบครัวเซี่ย และครอบครัวเสิ่น
ส่วนทางเซี่ยเจ๋อหลี่นั้น ฉินมู่หลานเป็นคนไปบอกด้วยตัวเอง
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินข่าวนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ออกมาดี เขาเองก็พลอยยินดีด้วยใจจริง “ได้เลย ผมจะไปแน่นอน”
“ครอบครัวเชี่ยนเชี่ยนยอมรับเคอวั่งอีกแล้วเหรอ ครั้งนี้ทำไมเร็วจัง กำหนดวันหมั้นหมายแล้วด้วย”
ฉินมู่หลานพยักหน้า “อืม ทางครอบครัวฝ่ายหญิงอยากให้เร็วหน่อย”
ทั้งสามคนเดาไว้ในใจแล้ว
“มู่หลาน เพราะคำพูดของอาเกา ทางครอบครัวเกาถึงได้ยินยอมเรื่องเชี่ยนเชี่ยนกับเคอวั่งเหรอ”
“นั่นสิ เพราะอย่างนี้แหละ แต่ยังไงความรู้สึกดีๆ ระหว่างเคอวั่งและเชี่ยนเชี่ยนสำคัญกว่าสิ่งใด ไม่ว่าตระกูลเกาจะยอมเพราะอะไร ขอแค่เขาสองคนได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว”
ทั้งสามคนคิดในใจตรงกัน พากันหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า “ครั้งนี้ถือว่าได้ผลลัพธ์ดีเกินคาด”
ที่โต๊ะยา ผู้อาวุโสฉินก็กำลังเชิญผู้อาวุโสลั่วกับชุยจวี๋มาร่วมงานหมั้น “ที่บ้านไม่ได้จัดงานใหญ่หรอก แค่ญาติมิตรกับเพื่อนสนิทมารวมตัวกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“ได้เลย พวกเราสองคนต้องไปให้ได้”
ผู้อาวุโสลั่วกับชุยจวี๋ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ต่างพากันพยักหน้าตอบรับ
อย่างไรก็ตามฉินมู่หลานไม่รู้ว่าทางตระกูลเกาได้ค้นหาที่อยู่ของเกาซู่ฟางในเมืองปักกิ่งไว้แล้ว
เกาจู่ต๋ามองบ้านเก่าๆ ที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ซู่ฟาง กลับไปกับเราเถอะ เธอกลับมาปักกิ่งทำไมถึงไม่กลับไปบ้านล่ะ”
เกาซู่ฟางหันไปมองเกาจู่ต๋าด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมกับกล่าวว่า “ที่นั่นไม่ใช่บ้านของฉัน ฉันไม่มีบ้านมานานแล้ว”
เมื่อพูดจบสีหน้าของหล่อนก็ยิ่งเย็นชาขึ้น
ครั้งนี้เกาเชี่ยนเชี่ยนและเกาซุนชิวต่างก็มาด้วย เดิมทีเกาเชี่ยนเชี่ยนอยากจะเดินเข้ามาพูดอะไรเพิ่มเติม แต่เกาซุนชิวได้รั้งไว้ เมื่อเห็นเกาซุนชิวส่ายหน้าให้กับตัวเอง เกาเชี่ยนเชี่ยนจึงไม่ได้พูดอะไรและทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ
“พี่สะใภ้ นั่นใครเหรอ?”
เดิมทีเฝิงตานกำลังหลับอยู่ แต่พอได้ยินเสียงด้านนอก จึงรีบวิ่งออกมาดูสถานการณ์
“ตานตาน กลับไปนอนต่อเถอะ ไม่ต้องใส่ใจ”
แต่เฝิงตานก็ยังไม่ได้จากไป มองหน้าเกาซู่ฟางอย่างแน่วแน่พร้อมกับกล่าวว่า “พี่สะใภ้ พวกเราสองคนพึ่งพาอาศัยกันมาตั้งหลายปี ฉันจะไม่ยอมให้พี่ต้องเผชิญกับปัญหานี้เพียงลำพัง”
ได้ยินเช่นนั้นเกาจู่เชียนและเกาจู่ต๋าจึงเพิ่งสังเกตเห็นเฝิงตาน เมื่อได้ยินหล่อนเรียกเกาซู่ฟางว่าพี่สะใภ้ สีหน้าของทั้งสองก็ยิ่งหม่นลงทันทีพลางเอ่ยถามว่า “คุณเป็นน้องสาวของเฝิงจัวเหรอ?”
ด้วยความที่ได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เฝิงตานจึงเงียบเสียงลง
หล่อนเป็นน้องสาวของเฝิงจัวจริง เพียงแต่พี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยถูกกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะในบ้านล้วนให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เมื่อเกาซู่ฟางแต่งเข้ามาที่บ้าน หล่อนจึงได้มีเพื่อนพูดคุยสักที แต่เกาซู่ฟางกลับไม่สนใจใครในตระกูลเฝิง รวมถึงหล่อนด้วย
และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่เฝิงจัวตาย
ตอนที่เฝิงจัวยังอยู่ ทุกคนได้รับผลประโยชน์จากความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้น แต่เมื่อเฝิงจัวตาย พวกเขาก็ไม่ได้รับความสะดวกสบายเหล่านั้นอีกแล้ว จึงพากันโทษเกาซู่ฟางและเฝิงตาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาซู่ฟาง ทุกคนต่างรู้สึกว่าตั้งแต่เฝิงจัวแต่งงานกับหล่อนก็เจอแต่โชคไม่ดี
ดังนั้นชีวิตของพวกหล่อนทั้งสองจึงยิ่งยากลำบากขึ้นทุกที สุดท้ายเกาซู่ฟางจึงเดิมพันทุกอย่างด้วยการใช้วิธีต่างๆ จนพาเฝิงตานออกจากบ้านตระกูลเฝิงได้สำเร็จ
“ตานตาน รีบเข้าไปข้างในแถอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องข้างนอกนี่”
อย่างไรก็ตามเฝิงตานกลับหัวเราะเยาะแล้วเอ่ยว่า “ตอนนั้นพวกคุณทำเรื่องแย่ๆแล้วยังมีหน้ามาขอให้พี่สะใภ้กลับบ้าน พวกคุณไม่คิดว่าหล่อนก็เป็นคนในครอบครัวเช่นกันสินะ”
เฝิงตานเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดถึงความยากลำบากของเกาซู่ฟาง เมื่อเห็นว่าคนตระกูลเกายังคงทำทีราวกับต้องการให้เกาซู่ฟางกลับไป หล่อนก็ไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไป และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกาซู่ฟางประสบพบเจอหลังจากมาอยู่บ้านตระกูลเฝิง จนกระทั่งตอนท้ายจึงกล่าวว่า “พวกคุณไม่สงสัยกันเลยเหรอว่าหลายปีมานี้พี่สะใภ้เป็นอยู่ยังไง ฉันเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังของหล่อนที่อยู่ในบ้านเฝิงให้ฟังแล้ว พวกคุณรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่าล่ะที่เคยส่งหล่อนไปที่บ้านของพวกเรา”
บรรยากาศเงียบสงัดไปชั่วขณะ ในที่สุดเกาซู่ฟางก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นโดยกล่าวว่า “ต่อไปนี้พวกคุณอย่าได้ตามหาฉันอีกเลย ฉันจะไม่กลับไปที่นั่นอีก”
เมื่อคนตระกูลเกาได้รับฟังเรื่องราวของเกาซู่ฟางในบ้านตระกูลเฝิงแล้ว ความอับอาย ความละอายใจและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ยิ่งถาโถมเข้ามา
เกาจู่ต๋ายังต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เกาจู่เชียนก็ห้ามไว้ “พอแล้วจู่ต๋า เรากลับกันเถอะ”
เกาจู่ต๋าได้ฟังดังนั้นจึงไม่พูดอะไรต่อ
เมื่อทุกคนกำลังเตรียมตัวจะกลับ เกาเชี่ยนเชี่ยนก็หยุดเดินลงแล้วย้อนกลับไปหาเกาซู่ฟางพลางกล่าวว่า “อาเล็กคะ หนูกับเคอวั่งข้ากำลังจะหมั้นหมายกันในต้นเดือนหน้า อาพอจะมีเวลาว่างมาร่วมงานไหมคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเกาซู่ฟางจึงแสดงสีหน้าฉงน
“พวกเธอจะหมั้นกันแล้วเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้าเกาเชี่ยนเชี่ยน สีหน้าของเกาซู่ฟางจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังปฏิเสธ “ฉันคงไม่ได้ไปนะ ขอแสดงความยินดีกับพวกเธอด้วย”
เกาเชี่ยนเชี่ยนพยักหน้าแรงๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะอา ขอบคุณนะคะ”
เมื่อเห็นเกาเชี่ยนเชี่ยนเป็นแบบนี้ เกาซู่ฟางก็รู้ว่าหล่อนและฉินเคอวั่งรักกัน หล่อนไม่คิดเลยว่าแค่เพราะคำพูดเย้ยหยันของตนจะยิ่งทำให้เกาเชี่ยนเชี่ยนและฉินเคอวั่งใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เมื่อคิดแบบนี้ก็ถือว่าหล่อนได้ทำคุณงามความดีไว้เรื่องหนึ่งแล้ว
แต่หล่อนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับตระกูลเกาอีก
หลังจากที่ครอบครัวเกาลากลับไป เกาซู่ฟางและเฝิงตานก็กลับมายังบ้านเช่าเก่าๆ
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว พิธีหมั้นของฉินเคอวั่งและเกาเชี่ยนเชี่ยนก็มาถึงในพริบตา
ฉินเจี้ยนเซ่อรีบเดินทางกลับมาจากเมืองเผิง ทันทีที่เห็นลูกชายเขาก็แสดงความยินดีด้วยรอยยิ้ม “พ่อยินดีด้วยนะ ไม่คิดเลยว่าลูกจะถึงวัยแต่งงานแล้ว”
เมื่อพูดจบ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตัน
“ขอบคุณครับ”
“เอาล่ะ ลูกรีบไปรับเจ้าสาวเถอะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ปล่อยให้น้องสาวของบ้านได้มีชีวิตของตัวเองเถอะ อยู่ห่างกันน่าจะดีกับทั้งสองฝ่าย
ยินดีกับเคอวั่งด้วยนะที่เป็นฝั่งเป็นฝา
ไหหม่า(海馬)