ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 657 อาเล็ก
ตอนที่ 657 อาเล็ก
…………….
ตอนที่ 657 อาเล็ก
เมื่อกู้วั่งหลานรับฟังเช่นนั้น เขาก็พูดพลางหัวเราะ “เพื่อนร่วมชั้นของพวกคุณเก่งกันมาก ตอนแรกที่เข้ามาทำงานก็ยังไม่ชำนาญมากเท่าไร แต่เข้ามาทำงานได้ไม่กี่ครั้งก็เริ่มมีความชำนาญแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โรงงานยาไม่ขาดคนแล้ว เมื่อไหร่ที่ต้องการคนเพิ่ม เราค่อยเพิ่มคน”
เซี่ยปิงหรุ่ยรับฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องให้เพื่อนร่วมชั้นแนะนำเพื่อนเข้ามา”
เมื่อพูดจบประโยค เซี่ยปิงหรุ่ยก็ตั้งใจจะลุกขึ้นเพื่อไปหาเซี่ยฉางกู้เพื่อให้เขาช่วยนำเรื่องนี้ไปแจ้งผู้อาวุโสลั่ว ทว่ากู้วั่งหลานกลับร้องเรียกเธอ “ปิงหรุ่ย คุณกับมู่หลานอยู่พอดี ผมมีเรื่องหนึ่งจะปรึกษากับพวกคุณ”
เมื่อเห็นลักษณะที่จริงจังเช่นนั้นของกู้วั่งหลาน เซี่ยปิงหรุ่ยจึงนั่งลงอีกครั้งพร้อมกับถามว่า “ผู้จัดการกู้มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“มีโรงงานยาที่เมืองจินต้องการทำความร่วมมือกับเรา”
“ความร่วมมือเหรอ?”
ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยต่างเหลือบมองกู้วั่งหลานด้วยสายตาที่แปลกใจและถามว่า “ร่วมมือกันเรื่องอะไรคะ?”
“ยาบำรุงร่างกายของเราขายดีมาก แม้กระทั่งที่เมืองจินก็ยังรู้ข่าว ดังนั้นจึงมีคนติดต่อผมมาและสอบถามว่าสามารถให้โรงงานยาของเขาเป็นผู้ดำเนินการ แล้วเปิดร้านซิ่งหลินในเมืองจิน เพื่อจำหน่ายยาบำรุงร่างกายเพียงอย่างเดียวได้ไหม แต่ห้องขายยาที่นั่นไม่จำเป็นให้เราต้องจัดการ เราแค่จัดหายาบำรุงร่างกายและยาเม็ดตัวอื่นๆ ที่เราเปิดตัวออกมาเท่านั้น”
เมื่อฉินมู่หลานรับฟังเช่นนั้น ก็รู้ได้ในทันทีว่านี่คือการขอซื้อแฟรนไชส์
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่คุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก จึงไม่ได้พูดอะไร แต่หันไปมองฉินมู่หลานแทน
ฉินมู่หลานจึงหันไปถามกู้วั่งหลานว่า “เงื่อนไขที่ปลายทางเสนอมาเป็นยังไงคะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ กู้วั่งหลานก็บอกว่า “ปลายทางเสนอมาค่อนข้างมาก ผมก็เลยนำเรื่องนี้มาปรึกษา” เมื่อพูดจบเขาก็หยิบสัญญาฉบับหนึ่งส่งให้พร้อมกับพูดว่า “ถ้าหากการร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ยอดขายของโรงงานยาของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในเวลานั้นโรงงานยาของเราคงต้องยุ่งวุ่นวายอีกครั้ง”
ฉินมู่หลานพิจารณาสัญญาตรงหน้าอย่างละเอียด และพบว่าปลายทางในเมืองจินให้ข้อเสนอมาค่อนข้างมาก แต่เธอไม่ค่อยรู้จักโรงงานยาแห่งนี้เท่าใดนัก
“แล้วคุณได้หาข้อมูลโรงงานยาหุยชุนที่เมืองจินนี้แล้วหรือยังคะ?”
“เรียบร้อยแล้ว”
กู้วั่งหลานรีบหยิบเอกสารของโรงงานยาหุยชุนขึ้นมาพูดว่า “แต่ผมยังไม่ได้สอบถามจนครบถ้วน เดิมทีคิดว่าจะสอบถามเพิ่มเติมอีก แล้วค่อยมารายงานคุณ แต่ไม่นึกว่าวันนี้พวกคุณจะเข้ามาที่นี่ ผมก็เลยถือโอกาสเล่าไปก่อน”
ฉินมู่หลานพยักหน้าเมื่อได้ยินคำนี้ แล้วอ่านเอกสารอย่างตั้งใจอีกครั้ง พออ่านจบเธอก็ส่งเอกสารให้เซี่ยปิงหรุ่ย
เซี่ยปิงหรุ่ยรับไปอ่าน พออ่านจบไม่ได้พูดอะไร เพราะหล่อนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้จริงๆ จึงไม่แสดงความคิดเห็น
ส่วนฉินมู่หลานมองไปที่กู้วั่งหลานแล้วพูดว่า “จากที่ดูภาพรวมโรงงานแห่งนี้ดูดีอยู่นะคะ แต่คุณสอบถามเพิ่มเติมอีกทีแล้วกัน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็เซ็นสัญญากับทางนั้นได้เลยค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนี้กู้วั่งหลานก็พยักหน้าแล้วตอบรับ “ครับ”
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานเห็นด้วยกับเรื่องนี้ กู้วั่งหลานอดหัวเราะไม่ได้แล้วพูดว่า “ถ้าความร่วมมือในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ โรงงานของเราก็คงจะขาดแคลนแรงงาน พวกเพื่อนร่วมชั้นของคุณสามารถแนะนำญาติและเพื่อนๆ มาสมัครได้ และเราอาจต้องรับคนเพิ่มอีก”
เซี่ยปิงหรุ่ยยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ฉันจะแจ้งให้เพื่อนร่วมชั้นทราบอีกทีค่ะ”
“ครับ”
หลังจากนั้นกู้วั่งหลานก็พาฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยเดินชมโรงงาน และในที่สุดเซี่ยปิงหรุ่ยก็หาโอกาสบอกเซี่ยฉางกู้เรื่องให้เขากลับบ้าน
เซี่ยฉางกู้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่ง ผมจะกลับไป”
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าได้บอกแล้วจึงยิ้มแล้วบอกลาเซี่ยฉางกู้
หลังจากฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยจากไป กู้วั่งหลานก็กลับเข้าไปในห้องทำงานด้วยสีหน้าค่อนข้างหม่นหมอง เดิมทีเขายังนึกว่าทางบ้านตระกูลอวี๋คงจะมีเรื่องให้ปวดหัว แต่กลับไม่คาดคิดว่าเล่อฉยงเยี่ยนจะมีเวลามาหาเขา และเขาก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยสุมไฟเรื่องความขัดแย้งในตระกูลอวี๋ให้ลุกโชนมากขึ้น โดยให้เหตุผลว่าเล่อฉยงเยี่ยนไม่รู้จักกาละเทศะ
ส่วนทางด้านเล่อฉยงเยี่ยน เมื่อถูกอวี๋เฉิงอี้พากลับไปก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง จนกระทั่งไปถึงบ้านเล่อฉยงเยี่ยนจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เหล่าอวี๋ คุณแอบสงสัยฉันมาตลอด แล้วแอบสืบเรื่องราวของเสี่ยวเตี๋ยมานานแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
อวี๋เฉิงอี้มองเล่อฉยงเยี่ยนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ก่อนหน้านี้เขาชอบเล่อฉยงเยี่ยนมากจริงๆ แม้จะรู้ว่าหล่อนผ่านการแต่งงานมาแล้วสองครั้ง เขาก็ยังไม่ลังเลที่จะแต่งงานกับหล่อน
ชีวิตหลังแต่งงานของทั้งคู่ก็ถือว่าราบรื่นดี ต่อมาได้มีลูกสาวชื่อเสี่ยวเตี๋ย ทว่าตั้งแต่เมื่อสองปี ก่อนอุปนิสัยของเล่อฉยงเยี่ยนก็เปลี่ยนแปลงไป เอาแน่เอานอนไม่ได้ ตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็เพิ่งสังเกตว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่กู้วั่งหลานกลับมาที่ปักกิ่ง
เมื่อคิดถึงตรงนี้อวี๋เฉิงอี้ก็ถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “วันนี้คุณไปโรงงานยาซิ่งหลินได้ยังไง?”
เมื่อเห็นว่าสามีไม่เพียงแต่ไม่ตอบคำถาม แต่กลับซักถามพฤติกรรมของหล่อน เล่อฉยงเยี่ยนก็โมโหขึ้นทันที
“อวี๋เฉิงอี้ คำพูดของคุณหมายความว่ายังไง ที่ฉันไปหากู้วั่งหลานเพื่อทวงความยุติธรรม นอกจากคุณจะไม่ช่วยฉันแล้วก็ยังจะมาซักไซ้ฉันอีก คุณกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง คุณไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน” เมื่อพูดถึงตรงนี้เล่อฉยงเยี่ยนก็ตะโกนระบายความคับข้องใจออกมาเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้ทุกอย่างล้วนไม่เป็นใจ
อวี๋เฉิงอี้รู้สึกเหนื่อยหน่ายเมื่อเห็นเล่อฉยงเยี่ยนเต็มไปด้วยความโกรธ
“คุณไปพักผ่อนเถอะ ผมจะไปหาพ่อกับแม่” ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเขารู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของเขา พวกท่านก็โวยวายไปยกใหญ่ เขาต้องไปพูดจาโน้มน้าวพ่อแม่ต่อไป
เมื่อก่อนเขาไม่รู้สึก แต่ในวันนี้อวี๋เฉิงอี้รู้สึกเหนื่อยจริงๆ ภรรยาของเขาก็สงสัยและกล่าวโทษเขา ส่วนพ่อแม่ก็ตำหนิและไม่เข้าใจเขา เขาต้องรับมือกับทั้งสองฝ่ายอย่างยากลำบาก
ฉินมู่หลานไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แม้จะรู้เธอก็คงจะรู้สึกสะใจ
หลังจากที่เธอและเซี่ยปิงหรุ่ยออกมาจากโรงงานยาแล้ว ต่างคนต่างก็กลับบ้าน แต่ทันทีที่เธอกลับมาก็เจอฉินเคอวั่ง
เมื่อฉินเคอวั่งเห็นพี่สาวกลับมาก็รีบพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ วันนี้เข้าไปที่ร้านซิ่งหลินกับโรงงานยาอีกแล้วเหรอ?”
ฉินมู่หลานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่ถุงในมือของฉินเคอวั่งแล้วถามว่า “จะออกไปข้างนอกเหรอ?”
“ใช่ ผมนัดกับเพื่อนๆเอาไว้ จะกลับไปบ้านเก่า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉินเคอวั่งก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “อ้อ ใช่แล้ว ตอนที่ผมกลับมา ผมเจอพี่ซุนชิวด้วย หล่อนรู้ว่าพี่ไม่ว่างเลยไม่ได้มาหาพี่ แต่ก็ไปที่ร้านซิ่งหลินนะ เหมือนจะไปซื้อยาบำรุงให้ผู้ใหญ่ในบ้าน”
“อื้ม งั้นพี่รีบไปเถอะ”
ฉินเคอวั่งโบกมืออำลาฉินมู่หลาน ทว่าจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนจะต้องไปเช่นกัน จึงรีบวิ่งตามฉินมู่หลานไปพร้อมกับกล่าวว่า “พี่ ผมไปด้วย ผมจะไปซื้อยาที่ร้านซิ่งหลินด้วย”
ฉินมู่หลานเหลือบมองฉินเคอวั่งด้วยความสงสัยพลางถามว่า “นายจะซื้อยาอะไร?” ความจริงถ้าฉินเคอวั่งต้องการสิ่งใดก็สามารถบอกกับเธอได้
ฉินเคอวั่งหัวเราะและตอบว่า “ผมจะไปซื้อยาถอนพิษ พวกเราจะไปที่บ้านเก่าซึ่งอยู่ห่างไกลพอสมควร ดังนั้นผมจึงอยากซื้อยาถอนพิษมาติดตัวไว้เป็นการป้องกัน”
การกระทำที่รอบคอบย่อมเป็นสิ่งที่ดี ฉินมู่หลานจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด เธอยังได้พูดถึงยาชนิดอื่นให้ฉินเคอวั่งฟังด้วย “ถึงตอนนั้นนายก็ค่อยดูยาอื่นๆ เพิ่มเติมไปด้วย และขอให้ผู้อาวุโสลั่วและปู่จัดยาอื่นๆ ให้นายอีกเล็กน้อย”
“ได้ครับ”
ฉินเคอวั่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายโดย เขาตั้งใจจะซื้อของฝากให้แก่เพื่อนร่วมชั้นอีกหลายคนด้วย
เมื่อพี่น้องทั้งสองมาถึงที่ร้านซิ่งหลิน เกาซุนชิวก็ยังคงอยู่ที่นั่น เธอเองก็เพิ่งจะซื้อยาบำรุงร่างกายเสร็จ เมื่อหันมาและเห็นฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งเดินเข้ามาจึงกล่าวว่า “มู่หลาน กลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม วันนี้เธอมาได้ถูกเวลาจังเลย เห็นเคอวั่งบอกว่าเธอตั้งใจจะเข้าไปหาฉันใช่ไหม”
เกาซุนชิวพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่ ฉัน…”
กระนั้นคำพูดของเกาซุนชิวยังไม่ทันจบประโยคดีก็ถูกเสียงอันแสนยินดีจากทางประตูขัดจังหวะเสียก่อน “คุณหมอฉิน ฉันโชคดีจริงๆที่มาเจอเธออยู่ที่ร้าน”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองและพบว่าเป็นเกาซู่ฟางกำลังเดินเข้ามาหา
คราวนี้เกาซู่ฟางเดินมาคนเดียว ทันทีที่เห็นฉินมู่หลาน หล่อนก็รีบเดินเข้ามาหาทันทีพร้อมกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณหมอฉิน พอดีที่บ้านทำขนมถั่วแดงและขนมลาม้วนตัว ฉันเลยเอามาให้ชิม แต่ไม่คาดคิดว่าเธอจะมาที่นี่พอดี” เอ่ยจบจึงรีบหยิบขนมที่เตรียมมาออก
ฉินมู่หลานเห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า “อาเกา ไม่จำเป็นต้องลำบากเลยค่ะ”
เกาซู่ฟางตอบกลับ “คุณหมอฉิน พอดีที่บ้านฉันทำไว้ค่อนข้างเยอะฉันก็เลยเอามาฝาก ฉันแวะมาซื้อยาให้น้องสามีน่ะ ยาเชียนจินหวานที่ซื้อไปครั้งก่อนเธอกินแล้วได้ผลดีมาก ฉันเลยจะซื้อไปให้เธออีก”
ได้ยินเช่นนี้ใบหน้าของเซี่ยปิงหรุ่ยก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
“ได้ผลก็ดีแล้วค่ะ” แน่นอนว่าหล่อนดีใจ ยารักษาที่ตนปรุงขึ้นได้รับการยอมรับ
ส่วนเซี่ยปิงชิงรีบหยิบยาเชียนจินหวานจากบนชั้นวางส่งให้กับเกาซุนชิวแล้วกล่าวว่า “อาเกาคะ ฉันจัดยาให้น้องสามีคุณอีกสองขวดนะคะ”
เมื่อเกาซู่ฟางได้ฟังดังนั้น จึงรีบยิ้มรับมาแล้วรีบจ่ายเงิน
เกาซุนชิวที่อยู่ข้างๆ งุนงงเล็กน้อยและมองไปทางเกาซู่ฟาง แล้วเรียกหล่อนอย่างไม่แน่ใจ “อา…อาเล็ก”
เมื่อเกาซู่ฟางถูกเกาซุนชิวเรียกว่าอาเล็ก หล่อนก็ขมวดคิ้วมองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างละเอียด ก่อนที่รูปลักษณ์ของคนตรงหน้าจะค่อยๆ ทับซ้อนกับภาพของเด็กสาวคนหนึ่งในความทรงจำ ด้วยเหตุนี้สีหน้าของหล่อนจึงซีดลง “เธอคือซุนชิวจากบ้านใหญ่เหรอ?”
เมื่อเห็นว่าเกาซู่ฟางพูดชื่อหล่อนออกมา เกาซุนชิวจึงมั่นใจแล้วว่าตนเองจำคนไม่ผิด จึงพูดด้วยความตื่นเต้น “อาเล็กจริงๆ ด้วย หลายปีที่ผ่านมานี้อาหายไปไหนมาคะ ที่บ้านพากันตามหาอาแต่ก็หาไม่พบเลย”
ทว่าเมื่อเกาซู่ฟางได้ยินดังนี้ กลับพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เธอจำผิดแล้ว ฉันไม่ใช่อาเล็กของเธอ”
เกาซู่ฟางพูดจบก็รับยาแล้วรีบเดินจากไป
“อาเล็กคะ…”
เมื่อเห็นเกาซู่ฟางเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เกาซุนชิวก็พลันตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนรีบวิ่งตามออกไป แต่เมื่อวิ่งออกไปก็ไร้ซึ่งวี่แววของเกาซู่ฟางแล้ว
ฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงหรุ่ยมองหน้ากัน ไม่คิดเลยว่าเกาซู่ฟางจะเป็นอาหญิงของเกาซุนชิว ทั้งๆ ที่พวกเธอรู้อยู่ว่าตระกูลของเกาซุนชิวนั้นไม่ธรรมดา อีกอย่างเกาซู่ฟางก็ดูเหมือนแม่บ้านธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
เกาซุนชิวตามไม่ทันจึงรีบหันกลับมาแล้วถามฉินมู่หลานด้วยความร้อนใจ “มู่หลาน ที่แท้เธอก็รู้จักกับอาเล็กอยู่แล้ว เธอรู้ไหมว่าอาพักอยู่ที่ไหน?”
พอได้ฟังเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็ส่ายหน้า “ไม่รู้ หล่อนเคยเป็นคนไข้ของฉันเท่านั้น ฉันไม่รู้เรื่องที่บ้านของหล่อนเลย”
เกาซุนชิวได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้า แต่ไม่นานก็หันไปหาฉินมู่หลาน แล้วถามว่า “มู่หลาน แล้วหลังจากนี้หากน้องสาวฉันมาที่นี่ เธอช่วยถามไถ่หล่อนให้หน่อยได้ไหม แล้วก็บอกข่าวฉันด้วย”
ฉินมู่หลานเห็นเกาซุนชิวทำท่าร้อนรนเช่นนั้น จึงพยักหน้าตอบว่า “ได้ ฉันจะช่วยถามให้นะ”
พอเห็นฉินมู่หลานตอบรับ เกาซุนชิวก็รีบกล่าวขอบคุณ “มู่หลาน ขอบคุณนะ”
เนื่องจากยังต้องบอกข่าวนี้แก่ที่บ้าน หล่อนจึงกล่าวลาทุกคนในร้านซิ่งหลินและกลับออกไปทันที
เซี่ยปิงหรุ่ยมองเกาซุนชิวที่ออกไปอย่างรีบร้อน แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ฉันไม่เคยเห็นซุนชิวเป็นแบบนี้เลยนะ ดูเหมือนว่าอาเล็กคนนี้จะสำคัญกับหล่อนมาก”
ฉินมู่หลานพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ แต่ดูท่าทางของอาเล็กเหมือนไม่คิดจะยอมรับซุนชิวเลย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
พอเห็นฉินมู่หลานพูดอย่างนั้น เซี่ยปิงชิงก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “แล้วเธอจะยังช่วยถามให้ซุนชิวไหม ในเมื่ออาเล็กคนนั้นกับตระกูลเกาอาจจะมีเรื่องที่ไม่อาจบอกใครได้ ถ้าเธอเข้าไปยุ่ง อาจจะทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่พอใจก็ได้นะ”
แต่ฉินมู่หลานกลับไม่คิดกังวลเรื่องนี้
“ฉันก็บอกแล้วว่าแค่ถามให้เฉยๆ ถ้าน้องสาวคนนั้นไม่คิดจะพูด หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องพูด อยู่ที่หล่อนจะตัดสินใจเอง”
ทางด้านเกาซุนชิว พอกลับถึงบ้านก็รีบไปหาพ่อของเธอทันที
“พ่อ รู้ไหมเมื่อกี้ฉันไปเจอใครมา”
เกาจู่เฉียนเห็นลูกสาววิ่งกลับมาอย่างร้อนรน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ซุนชิว ระวังหน่อย ทำไมวิ่งอย่างร้อนรนแบบนั้นล่ะ”
ทว่าเกาซุนชิวไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องเหล่านั้นเลย
“พ่อ เมื่อกี้ฉันไปเจออาเล็กมา”
โครม!!
เก้าอี้ล้มลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น เกาจู่เชียนก็ได้ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจพร้อมจ้องไปที่ลูกสาวของตัวเอง “ซุนชิว ลูก…เมื่อกี้ลูกว่ายังไงนะ?”
“พ่อ เมื่อกี้ฉันเจออาเล็ก”
“จริงเหรอ เป็นอาหญิงของลูกจริงๆเหรอ? ลูกไม่ได้เจออามาสิบกว่าปีแล้วนะ จำผิดหรือเปล่า?”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ ถึงอาเล็กจะแก่ลง แต่หน้ายังเหมือนเดิม ฉันจำได้แม่นเลย อาก็จำฉันได้ แต่ดูเหมือนว่า…อาไม่อยากจะคุยกับฉัน พอจำได้ก็เดินหนีไปเลย”
พอได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ เกาจู่เชียนก็เชื่อจริงๆ ว่าลูกสาวได้เจอเกาเกาซู่ฟางแล้ว
“หล่อน…หล่อนเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันไม่รู้ค่ะ”
“แล้วลูกไปเจออาเล็กที่ไหนล่ะ”
เกาซุนชิวรีบบอกเรื่องร้านซิ่งหลิน จากนั้นก็พูดว่า “ฉันฝากเพื่อนฉันไว้แล้ว ถ้าอาเล็กไปที่นั่น เพื่อนฉันจะช่วยถามให้ค่ะ”
“พี่ใหญ่ พี่กับซุนชิวคุยอะไรกันอยู่ เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงของตกเสียงดังเชียว”
เกาซู่ต๋าคือพ่อของเกาอวิ๋นเซียวกับเกาเชี่ยนเชี่ยน วันนี้เขามีธุระมาหาพี่ชายคนโตพอดี แต่มาถึงก็ได้ยินเสียงของตกพื้นเสียงดัง จึงรีบวิ่งขึ้นมาดู
เกาจู่เชียนเห็นน้องชายคนรองมา ก็จ้องหน้าตรงๆ แล้วพูดว่า “ฟังให้ดี น้องเล็กกลับมาที่ปักกิ่งแล้ว”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โลกกลมจริงๆ คนตระกูลเกากลับมาเจอกันแล้ว แต่ท่าทางอาเล็กเหมือนมีเรื่องผิดใจกับคนอื่นๆ ในบ้านยังไงไม่รู้
ไหหม่า(海馬)