ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 648 คุณช่างโง่เขลา(1)
ตอนที่ 648 คุณช่างโง่เขลา(1)
…………….
ตอนที่ 648 คุณช่างโง่เขลา(1)
เมื่อได้ยินเซี่ยปิงหรุ่ยพูดเช่นนั้น ทังเยว่ซินก็ขมวดคิ้วมองหล่อนอย่างไม่พอใจ แต่ก่อนที่จะพูดต่อ ฟู่โฮ่วหลิ่นก็เสริมขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว ร้านซิ่งหลินมีหมอที่เก่งมาก ขาของผมก็ได้รับการผ่าตัดโดยคุณหมอฉิน ผลลัพธ์เลยออกมาดีเยี่ยม”
“ได้ยินไหมว่าที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอฉิน คุณปู่ลั่ว คุณปู่ฉิน และยิ่งกว่านั้นก็คือตัวฉันเอง ล้วนมีฝีมือในการรักษาดีเยี่ยม ดังนั้นอย่าพูดจาส่งเดชใส่ร้ายว่าร้านซิ่งหลินไร้ความสามารถในการรักษา” เซี่ยปิงหรุ่ยไม่ยอมให้ใครมาตั้งคำถามเรื่องฝีมือของร้านซิ่งหลิน ดังนั้นเมื่อมองไปที่ทังเยว่ซิน สายตาจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ในขณะที่ทังเยว่ซินเองก็โกรธเคืองเซี่ยปิงหรุ่ยที่เข้ามาขัดจังหวะหล่อน
นับตั้งแต่ที่แต่งงานเข้าตระกูลฟู่ หล่อนก็ไม่เคยต้องอดทนต่อความอึดอัดใดๆ เลย เพราะเวลานั้นฟู่โฮ่วหลิ่นเดินทางไปยังซีหนานนานแล้ว แต่ในวันนี้หล่อนถูกพนักงานในร้านซิ่งหลินแห่งนี้พูดจาเหน็บแนมจนไม่สามารถกลืนความโกรธนี้ลงไปได้ แต่ก่อนที่หล่อนจะทันได้พูด คังอันเหอก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
“อ้าว…โฮ่วหลิ่น มาทำอะไรที่นี่”
เมื่อฟู่โฮ่วหลิ่นเห็นคังอันเหอ เขาก็มีสีหน้าแย้มยิ้มและพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ กลับมาแล้วเหรอ”
“มาหาฉันเหรอ”
คังอันเหอได้ยินฟู่โฮ่วหลิ่นพูดเช่นนั้นก็คิดว่าเขาคงมาหาหล่อน และในเวลานี้หล่อนก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศดูแปลกๆ ไป “ปิงหรุ่ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเธอมาหยุดอยู่ตรงนี้กัน”
เซี่ยปิงหรุ่ยเหล่ตาไปที่ทังเยว่ซินและพูดขึ้นว่า “มีคนสงสัยว่าร้านซิ่งหลินของเราไม่มีฝีมือในการรักษา และจะพาลูกเลี้ยงของตัวเองไปโรงพยาบาลด้วย”
เมื่อพูดถึงลูกเลี้ยง เซี่ยปิงหรุ่ยก็ได้เน้นเสียงหนักขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับสายตาที่เหลือบมองอย่างดูถูก ทำให้ทุกคนมองออกได้ในทันทีว่าในดวงตาของหล่อนมีแววเย้ยหยันอยู่
ฟู่โฮ่วหลิ่นเห็นเช่นนั้น ก็อดที่จะยิ้มมุมปากไม่ได้
หญิงสาวตรงหน้าคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมา พูดจาโผงผาง กล้าพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจ จนทังเยว่ซินหน้าดำเป็นก้นหม้อไปแล้ว
เมื่อคังอันเหอได้ยินเซี่ยปิงหรุ่ยพูดเช่นนั้น หล่อนก็หันไปมองทังเยว่ซินเช่นกัน “ที่แท้คุณก็เป็นแม่ของโฮ่วหลินเองหรือ วันนี้ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ได้พบกันที่นี่”
ถูเฉิงเสียงเคยเรื่องราวของฟู่โฮ่วหลิ่นให้หล่อนฟัง คังอันเหอก็เพิ่งจะได้สติและรู้ว่าทำไมตนถึงรู้สึกคุ้นๆ กับชื่อของคนทั้งสองแต่แรก เพราะฟู่โฮ่วหลิ่นกับกัวอี่เชียนเป็นคนจากตระกูลฟู่และตระกูลกัวในปักกิ่ง แต่ทั้งสองได้ออกจากปักกิ่งไปนานหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้หล่อนจึงหลงลืมไป
เมื่อรู้สึกตัว หล่อนก็เข้าใจว่าทำไมฟู่โฮ่วหลิ่นถึงไม่กลับปักกิ่งมาหลายปี แถมกลับมาแบบไม่ให้คนในครอบครัวรู้ เพราะสถานการณ์ของครอบครัวเขานี่เอง หากเป็นหล่อนก็คงไม่อยากกลับมาเช่นกัน
แต่ว่า…
ฟู่โฮ่วหลิ่นไม่ต้องการให้ที่บ้านรู้ว่าเขากลับมาแล้ว แต่วันนี้ที่เขากลับเจอทังเยว่ซินที่ร้านซิ่งหลินเข้า
ทังเยว่ซินเองก็ได้ยินถ้อยคำเหน็บแนมของคังอันเหอ แต่ก็รู้จักคังอันเหอว่าหล่อนเป็นลูกสาวตระกูลคัง ปัจจุบันเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลถู
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทังเยว่ซินจึงพยายามยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ในฐานะแม่ของโฮ่วหลิ่น ฉันก็ต้องเป็นห่วงเขาอยู่แล้ว พอเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็เลยจะพาเขาไปโรงพยาบาล แต่ไม่คิดว่าร้านซิ่งหลินจะมีหมอเก่งๆ เยอะขนาดนี้ เยอะซะจนฉันกลายเป็นคนเรื่องมากไปเลย”
“ก็พูดถูกแล้วนี่ คุณนี่เรื่องมากจริงๆ การผ่าตัดของโฮ่วหลิ่นมีหมอฉินแห่งร้านซิ่งหลินเป็นคนผ่าให้ แล้วรู้ไว้เลยนะว่าโรงพยาบาลทหารและโรงพยาบาลปักกิ่งต่างก็แย่งตัวหมอฉินไปประจำ แต่หมอฉินของเราดันหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยยา เวลาว่างถึงจะไปที่โรงพยาบาลสองแห่งนั้นบ้างเป็นครั้งคราว ครั้งนี้โฮ่วหลิ่นได้เจอหมอฉินนับว่าโชคดีของเขาจริงๆ”
ได้ยินคำพูดนี้ ทังเยว่ซินก็กะพริบตาปริบๆ
ไม่คิดว่าลูกเลี้ยงที่ไม่เอาไหนจะกลับมา แถมตำแหน่งหน้าที่การงานทางซีหนานของเขากลับสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อทางครอบครัวได้รู้ข่าวคราวที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องปลดประจำการ ผู้อาวุโสที่บ้านก็โมโหสามีหล่อนอย่างมาก แถมยังสั่งให้สามีรีบเดินทางไปทางไปซีหนาน แต่ไม่รู้ว่าฟู่โฮ่วหลิ่นจะแอบมาปักกิ่งโดยที่อาการบาดเจ็บหายเป็นปลิดทิ้งได้อย่างไร
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นสีหน้าทังเยว่ซินแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจ ถามตรงๆ ว่า “คุณไม่ได้มาซื้อยาบำรุงร่างกายเหรอ จะซื้อหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเซี่ยปิงหรุ่ย ทังเยว่ซินก็ไม่อยากซื้อ
หล่อนอยากจะหันหลังเดินจากไปอย่างไม่สนใจ แต่พอคิดว่าครั้งนี้ต้องซื้อยาให้ผู้อาวุโสที่บ้าน ก็เลยต้องกลืนความไม่พอใจ แล้วพูดออกมาว่า ‘ซื้อ’
“ซื้อกี่ขวด?”
“สองขวด”
เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินดังนั้น ก็นำยาบำรุงร่างกายมาสองขวด แล้วรอรับเงิน จากนั้นก็มองทังเยว่ซินแล้วถามต่อว่า “ต้องการซื้ออะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า?”
ทังเยว่ซินส่ายหัวทันที แล้วหันไปถามฟู่โฮ่วหลิ่น “โฮ่วหลิ่น เธอพักอยู่ที่ไหน กลับบ้านไปกับฉันไหม”
แต่ฟู่โฮ่วหลิ่นไม่แม้แต่จะสนใจทังเยว่ซิน
ส่วนเซี่ยปิงหรุ่ยและคังอันเหอ ยิ่งไม่สนใจหล่อนไปกันใหญ่
ทังเยว่ซินไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้หล่อนอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จึงหันหลังเดินจากไป
เมื่อเห็นทังเยว่ซินจากไป คังอันเหอก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ในที่สุดก็ไปเสียที ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญจริงๆ”
ว่าจบก็หันไปหาฟู่โฮ่วหลิ่นแล้วถามว่า “โฮ่วหลิ่น ฉันพูดแบบนี้นายคงไม่โกรธกันนะ” เพราะทังเยว่ซินก็ถือเป็นสมาชิกตระกูลฟู่ ถึงแม้ว่าตัวเองจะพูดถึงความเลวร้ายในบ้านของตนได้ แต่ถ้าหากคนนอกพูดเข้าก็จะรู้สึกไม่สบายใจ
อย่างไรก็ตามฟู่โฮ่วหลิ่นกลับหัวเราะและกล่าวว่า “พี่สะใภ้อยากพูดอะไรก็ตามสบายเลย เพราะผู้หญิงคนนี้น่ารังเกียจจริงๆ”
“ใช่ หญิงที่แต่งงานกับพ่อของคู่หมั้นที่เสียชีวิตไปแล้วได้ หล่อนจะเป็นคนดีได้ยังไงกัน” เซี่ยปิงหรุ่ยอดไม่ได้ที่จะติเตียน จากนั้นจึงหันไปถามคังอันเหอว่า “อันเหอ เธอกับลูกไม่เป็นไรนะ”
คังอันเหอพยักหน้ารัวๆ และกล่าวว่า “อื้ม สบายดี”
ฟู่โฮ่วหลิ่นเพิ่งรู้ว่าคังอันเหอตั้งครรภ์แล้ว และเขาก็มาที่นี่โดยตรงโดยไม่ได้ซื้อของขวัญใดๆ มาเลย
คังอันเหอรู้เรื่องนี้แล้วก็หัวเราะก่อนจะโบกมือและกล่าวว่า “โฮ่วหลิ่น ไม่ต้องซื้อของขวัญหรอก รอให้เด็กเกิดก่อนค่อยว่ากันก็ยังทัน” แล้วกำชับฟู่โฮ่วหลิ่นอีกครั้งว่าอย่าบอกข่าวนี้กับคนอื่น “ตอนนี้ยังไม่ถึงสามเดือน ดังนั้นฉันกับเฉิงเสียงจึงยังไม่ได้บอกใคร”
ฟู่โฮ่วหลิ่นได้ยินดังนั้นแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าใจและกล่าวว่า “พี่สะใภ้วางใจเถอะ ผมเข้าใจแล้ว”
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ฉินมู่หลานก็กลับมา เมื่อเห็นฟู่โฮ่วหลิ่นอยู่ด้วยจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มาติดตามอาการเหรอ?”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานกลับมา ฟู่โฮ่วหลิ่นจึงรีบกล่าวว่า “ใช่ ผมรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากแล้ว จึงอยากให้หมอฉินตรวจดูอีกครั้ง”
“ได้ นั่งลงสิ”
ฉินมู่หลานนั่งลงแล้วตรวจชีพจรให้ฟู่โฮ่วหลิ่นอย่างละเอียด จากนั้นจึงกล่าวว่า “สบายใจได้ ฟื้นตัวได้ดีมาก วันนี้ฉันจะสั่งยาให้เพิ่ม คุณกลับไปแล้วก็กินยาให้ตรงเวลาก็พอ”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณหมอฉินมาก”
ฟู่โฮ่วหลิ่นเองก็รู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาฟื้นตัวได้ดี ตอนนี้เมื่อได้ยินฉินมู่หลานยืนยันเช่นนั้นแล้ว หัวใจก็ยิ่งผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงว่าวันนี้ทังเยว่ซินเห็นเข้าแล้ว เขาก็อยากกลับซีหนานโดยเร็วที่สุด “หมอฉิน ผมต้องใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะหายจากอาการบาดเจ็บที่ขานี้ได้เด็ดขาด”
“ซี่โครงหัก กระดูกเคลื่อน ต้องพักฟื้นเป็นร้อยวัน อาการบาดเจ็บจึงจะทุเลา แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ อย่าใจร้อนไป”
คังอันเหอที่อยู่ใกล้ๆ ก็เสริมเข้าอีกว่า “ใช่แล้วโฮ่วหลิ่น เรื่องนี้ละเลยไม่ได้ อย่างไงก็ต้องรอจนกว่าจะหายดีแล้วค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย”
“กลับไปที่ไหน?”
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่ค่อยรู้จักฟู่โฮ่วหลิ่น จึงถามออกไปอีกคำถาม
ฟู่โฮ่วหลิ่นได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ปกปิด ตอบออกไปตรงๆ ว่า “กลับเข้าค่ายทหารที่ซีหนาน ตั้งแต่อายุ 18 ปี ผมก็ออกจากบ้านเกิดและยังไม่เคยกลับมาจิงเฉิงอีกเลย เดิมทีไม่คิดจะให้ที่บ้านรู้ แต่วันนี้ดันมาเจอทังเยว่ซินเข้าพอดี ผมจึงคิดว่าจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เรื่องในครอบครัวฟู่มันช่างซับซ้อนอยู่รำไรแฮะ
ไหหม่า(海馬)