ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 842 ชอบ
ตอนที่ 842 ชอบ
เซียวเจินมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างที่สุด ยามนี้รอบกายเขาไม่ได้มีกลิ่นอายความมั่นใจดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว รอบกายมีแต่ความดำทะมึนเย็นเยียบ
หลังกลับมาเกิดใหม่ นางเลือกคนเช่นเซียวเจิน ยามนี้หลินจิงนึกเสียใจภายหลังเป็นครั้งที่ร้อย
แต่นางไม่อาจแสดงออก ผู้ใดให้ตอนนี้นางเป็นอนุคนผู้นี้เล่า
“ท่านอ๋อง อย่าทำเช่นนี้ได้หรือไม่เพคะ พวกเรามาคิดหาทางกันใหม่ ดีหรือไม่เพคะ อ๋องหมิงตอนนี้เป็นเพียงแค่รัชทายาท ไม่ใช่ฮ่องเต้แคว้นต้าโจว พวกเรายังมีโอกาสเพคะ”
เซียวเจินกัดฟันคำรามลอดไรฟันว่า “ยังมีวิธีอันใดอีก วิธีที่พวกเราคิดได้ก็คิดออกมาหมดแล้ว”
แต่ไรมาพวกเขาลงมือกับเซียวเหวินอวี๋มาตลอด แต่คนผู้นี้คล้ายว่าชะตากำหนดให้มาเป็นดาวข่มเขา ไม่ว่าเขาลงมืออย่างไร ก็จัดการอีกฝ่ายไม่ตาย
อ๊ากๆ ๆ เซียวเจินคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็สูญเสียการควบคุมตนเองหมดสิ้น
หลินจิงพลันเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ข้ารู้สึกว่าเมื่อก่อนพวกเราใช้ผิดวิธี พวกเราจัดการเซียวเหวินอวี๋จะมีประโยชน์อันใด พวกเราควรจัดการ…”
หลินจิงพลันไม่พูดอะไรต่ออีก มองเซียวเจินด้วยสีหน้าหวาดกลัว เซียวเจินพลันรับรู้ความหมายในวาจานาง จัดการเซียวเหวินอวี๋ไร้ประโยชน์ พวกเขาควรจัดการเซียวอวี้
คิดถึงว่าเซียวอวี้ที่ลำเอียงรักเซียวเหวินอวี๋ ในใจเซียวเจินก็เกลียดเซียวอวี้ขึ้นมาทันที แทบจะรอลงมือต่อเซียวอวี้ไม่ไหว
แต่เซียวอวี้เป็นฮ่องเต้แคว้นต้าโจว ไม่อาจวางอุบายเขาได้โดยง่าย
เซียวเจินขมวดคิ้ว คิดแผนไม่ออก
ณ ตระกูลเซี่ย
สุขภาพลู่เจียวดีขึ้นไม่น้อย ตอนนี้ลงมาเดินได้แล้ว
นางตามต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ามา มอบของที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ให้สองพี่น้อง
“นี่คือทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเจ้าที่ท่านพ่อกับท่านแม่มอบให้ ก่อนหน้านี้ซื่อเป่าเข้าวัง แม่ได้มอบให้เขาไปส่วนหนึ่งแล้ว นี่เป็นของพวกเจ้า พวกเจ้าล้วนได้เหมือนกัน”
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าก้มหน้ามองอย่างตกใจ คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ให้พวกเขาทีหนึ่งมากมายเพียงนี้
สองพี่น้องรีบลุกขึ้นส่งของคืนใส่มือลู่เจียว “ท่านแม่ ท่านแม่อยู่ดีๆ มามอบเงินทองให้พวกเราทำไมกัน ตระกูลเรามอบให้ท่านแม่จัดการ”
ลู่เจียวหัวเราะเอ่ยว่า “นี่คือเงินส่วนตัวของพวกเจ้า แม่ยังเป็นนายหญิงของตระกูลอยู่ บิดามารดาไม่แยกบ้าน วันหน้าของที่พวกเจ้าใช้ก็ยังคงเป็นกองกลางออกให้ พวกนี้แม่มอบให้พวกเจ้าส่วนตัว พวกเจ้าสองสามีภรรยาจะใช้อันใดส่วนตัวก็ให้ใช้เงินตนเองได้ อิสระกว่าสักหน่อย”
“เอาละ แม่มอบให้ก็รับไว้ แม่ไม่ขาดแคลนเงินทองแค่นี้”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ส่งให้ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า ทั้งสองสบตากัน สุดท้ายยื่นมือไปรับไว้ส่งให้หูหลิงเสวี่ยกับจ้าวอวี้หลัว
หูหลิงเสวี่ยนึกเป็นห่วง หันไปมองแม่สามีทันที จ้าวอวี้หลัวกลับไม่คิดมาก ยื่นมือไปรับไว้ทันที และยังเอ่ยขอบคุณลู่เจียวอย่างดีใจ “ขอบคุณท่านแม่”
ลู่เจียวยิ้มพอใจ หูหลิงเสวี่ยเห็นรอยยิ้มลู่เจียวก็สบายใจ ในใจก็รู้สึกดีใจอย่างมาก
ท่านแม่ดีมากจริงๆ
ลู่เจียวมองไปยังต้าเป่ากับหูหลิงเสวี่ยกล่าวว่า “พวกเจ้าเก็บของไปอำเภอชิวกันได้แล้ว”
หูหลิงเสวี่ยรีบกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านได้รับบาดเจ็บ ข้าเป็นสะใภ้ใหญ่ ตระกูลเซี่ยควรอยู่ดูแลท่านแม่ รอให้ท่านแม่หายดี ข้าค่อยไปอำเภอชิว”
หูหลิงเสวี่ยอยากอยู่ต่อด้วยใจจริง ก่อนหน้านี้นางได้หารือกับต้าเป่าไว้แล้ว
แต่ลู่เจียวปฏิเสธทันที “ที่บ้านใช่ว่าไม่มีคน ต้องให้พวกเจ้าสองสามีภรรยาแยกจากกัน นับประสาอันใดกับต้าเป่าก็ไม่มีคนดูแล ขอเพียงเจ้าดูแลต้าเป่าให้ดี แม่ก็ดีใจแล้ว”
ลู่เจียวกล่าวจบมองไปยังต้าเป่ากับหูหลิงเสวี่ยกล่าวว่า “น้ำใจพวกเจ้า แม่รับรู้แล้ว แต่แม่ไม่อยากให้พวกเจ้าสองสามีภรรยาแยกจากกัน เอาละ ไปเก็บของออกเดินทางไปอำเภอชิวได้แล้ว”
“ตอนนี้เราแค่แยกจากกันชั่วคราว รอต้าเป่ารับตำแหน่งที่อำเภอชิวครบสามปี ก็คงได้กลับเมืองหลวง ถึงตอนนั้น เรื่องในบ้านก็มอบให้หลิงเสวี่ยจัดการ”
ต้าเป่ากับหูหลิงเสวี่ยสบตากัน สองคนต่างคุกเข่าลง “เช่นนั้นก็คงได้แต่ให้ท่านแม่ลำบากต่ออีกสามปีแล้ว”
“อืม ข้ารู้พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี ไปเถอะๆ”
ลู่เจียวยิ้มโบกมือ ต้าเป่ากับหูหลิงเสวี่ยโขกศีรษะก่อนจะลุกขึ้นกลับไปเก็บของ
ต้าเป่ากับหูหลิงเสวี่ยไปแล้ว ลู่เจียวมองไปยังเอ้อร์เป่า กล่าวว่า “เจ้าเองก็ออกเดินทางไปชายแดนได้แล้ว ถึงที่นั่นก็รีบหาซื้อบ้านเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วก็ส่งจดหมายมา ทแม่จะให้คนส่งอวี้หลัวไป”
เอ้อร์เป่ายิ้มกว้างกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจ ข้าไปถึงก็จะรีบซื้อบ้านเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วก็จะกลับเมืองหลวงมารับอวี้หลัวด้วยตนเอง ถึงตอนนั้นพอดีงานแต่งซื่อเป่า ข้าจะมาร่วมงานแต่งเขา”
ลู่เจียวคิดแล้วก็เห็นด้วย “ก็ได้”
ตอนนี้พวกชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่าเพิ่งจะถูกตีถอยร่นไปสามร้อยลี้ คงไม่มารบกวนชายแดนอีกสักระยะ ดังนั้นเอ้อร์เป่ากลับเมืองหลวงมารับอวี้หลัวก็ดี เช่นนี้ก็จะได้วางใจได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือถึงตอนงานแต่งซื่อเป่า เอ้อร์เป่าในฐานะพี่ชายไม่มาร่วมจะไม่ดี
ลู่เจียวกล่าวจบก็มองไปยังจ้าวอวี้หลัว กล่าวว่า “อวี้หลัว ไปช่วยเอ้อร์เป่าเก็บของเถอะ”
จ้าวอวี้หลัวย่อตัวลงคำนับรับคำรวดเร็ว “ท่านแม่ ข้าทราบแล้ว ข้าไปช่วยเอ้อร์เป่าเก็บของก่อน”
จ้าวอวี้หลัวแต่งเข้าตระกูลเซี่ย แต่ยังคงมีความสุขดังเดิม เพราะตระกูลเซี่ยเป็นสถานที่ที่นางคุ้นเคย ที่นี่มีคนที่นางชอบ ดังนั้นชีวิตนางแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอันใด ทุกวันนางล้วนเบิกบานใจ
นางรู้สึกว่าตนเองดึงดันมาหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ผลสำเร็จ ชีวิตที่เหลือของนางล้วนเบิกบานใจ
ต้าเป่าและเอ้อร์เป่ากับภรรยาออกไปแล้ว ลู่เจียวก็มองไปทางแฝดชายหญิง ให้พวกเขาสองคนออกไปเล่น
แฝดชายหญิงมองลู่เจียวก็รู้ว่ามารดามีเรื่องคุยกับพี่สาม สองพี่น้องจึงได้ออกไป
ในห้องลู่เจียวมองไปยังซานเป่า ถามอย่างห่วงใยว่า “ซานเป่า พี่ชายเจ้าแต่งงานแล้ว เหลือแต่เจ้ายังไม่หมั้นหมาย แม่เป็นห่วง เจ้าชอบหญิงสาวแบบไหน แม่จะช่วยเจ้าหาดู”
ซานเป่าลังเลเล็กน้อย มองลู่เจียวกล่าวว่า “ท่านแม่ ความจริงข้ามีหญิงสาวที่ชอบแล้ว เพียงแต่ เพียงแต่…”
ซานเป่าพูดไม่ออก ลู่เจียวรีบดีใจ นั่งตัวตรงมองเขา ถามว่า “ผู้ใดกัน แม่นางตระกูลใด แม่จะให้คนไปหมั้นหมายให้เจ้า”
ซานเป่ามองลู่เจียว ยามนี้พูดไม่ออก
ลู่เจียวเก็บท่าที เอ่ยขึ้นว่า “อีกฝ่ายไม่ชอบเจ้า?”
ซานเป่ารีบส่ายหน้ากล่าวว่า “ก็มิใช่ นางชอบข้า เพียงแต่…”
ลู่เจียวขมวดคิ้ว “ท่านพ่อกับท่านแม่นางไม่ค่อยดี หรือว่าความจริงเขาเป็นบุรุษ”
ซานเป่าคิดว่าตนเองฟังผิดไป แต่เห็นสีหน้าท่านแม่จริงจังก็รีบกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ นางเป็นหญิง เพียงแต่บ้านนางมีแค่ท่านพ่อนางกับนางสองคน ท่านพ่อนางเป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ นางติดตามเรียนรู้จากท่านพ่อนาง เป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ ตอนนี้ทำงานในที่ว่าการเมืองหนิงโจว”
ลู่เจียวอึ้งไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าหญิงที่ซานเป่าชอบ ถึงกับเป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ กล่าวตามตรง นางไม่ถือสาเรื่องนี้ แต่นางแค่คาดไม่ถึง
ซานเป่าใจกว้างจริงๆ
ซานเป่าเห็นลู่เจียวเงียบไป ในใจก็พลันสะดุดกึก ท่านแม่ท่าทางเหมือนไม่ค่อยยินดี ในใจเขาเสียใจ แต่ยังคงแสดงท่าทีว่า “หากท่านแม่ไม่เห็นด้วย ข้าไม่แต่งกับนางก็ได้”
ลู่เจียวเลิกคิ้วมองเขา “กล่าวเหลวไหลอันใด ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ชอบ อาชีพไม่แบ่งแยกสูงต่ำ แต่สะใภ้ตระกูลเราไม่อาจเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด ไม่ว่านางมีชาติกำเนิดเช่นไร ทำงานอันใด แต่หากนางรู้หลักการเหตุผล ไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ อิจฉาริษยา หรือเห็นแก่ตัวก็พอ”