ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 80 แฝดสี่เป็นเด็กดีจริงๆ
ตอนที่ 80 แฝดสี่เป็นเด็กดีจริงๆ
ลู่ผิงและลู่อันทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมารับมารดากลับไป จะให้มารดาอยู่กับน้องสาวที่นี่ไปตลอดก็คงจะไม่เหมาะ คนอื่นจะนินทาพวกเขาได้
ลู่เจียวเห็นลู่ผิงและลู่อันรับประกันเช่นนี้ ก็ไม่ได้มากความอีก เดินถือถ้วยเปล่าออกไปด้านนอก
ลู่ผิงและลู่อันกวาดสายตาไปที่เตียง เห็นว่าเป็นน้องเขยตังเอง สีหน้าของเขาไม่ซีดเซียว นัยน์ตาวาววับดั่งดวงดาราบนฟากฟ้า ดูไปดูมา ไม่เหมือนผู้ป่วยติดเตียงแม้แต่น้อย
“น้องเขย อาการดูดีขึ้นไม่น้อยเลย”
“นี่เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
ลู่ผิงและลู่อัน คนหนึ่งซื่อตรง อีกคนตรงกันข้าม ทว่าทั้งสองไม่ได้คิดร้ายกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น พวกเขาให้ความเคารพเซียอวิ๋นจิ่นเป็นพิเศษ คำพูดที่เอ่ยจึงล้วนออกมาจากใจจริง
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว พวกเจ้ากินข้าวเช้าหรือยัง”
จริงๆ ลู่ผิงและลู่อันยังไม่ได้กิน พวกเขาโดนบิดาไล่ออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จะไปกินมื้อเช้าได้ที่ไหน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นขานเรียนลู่เจียวที่อยู่ด้านนอก “ลู่เจียว?”
ลู่เจียวเดินเข้ามา “เป็นอะไรไป อยากดื่มน้ำหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่ผิงและลู่อัน “พี่ๆ เจ้ายังไม่ได้กินข้าวเช้า เจ้าไปทำอะไรให้พวกเขากินหน่อยเถอะ”
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างฉงนสงสัยปราดหนึ่ง คนอย่างเซี่ยอวิ๋นจิ่นเฉยชาต่อคนนอกถึงที่สุด ตอนนี้กลับเป็นห่วงเป็นใยพี่ใหญ่และพี่รองของนาง เป็นเรื่องที่พบเห็นยากจริงๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองท่าทางนางเช่นนี้ ในแววตาแอบแฝงด้วยรอยยิ้มจางๆ แม่นางคนนี้คิดอะไรก็มักแสดงออกทางสีหน้า ถ้าจากเขาไปอาจโดนคนเอาเปรียบก็ได้ ฉะนั้นเขาต้องดูแลนาง
ลู่เจียวเดินออกไป ตอนผ่านลู่ผิงและลู่อัน เพียงนางเหลือบมองพวกเขาปราดหนึ่ง สองพี่น้องก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ
ลู่เจียวเดินไปบอกเถียนซื่อ “ท่านแม่ ทำบะหมี่ไข่ต้มมะเขือเทศให้พี่ๆ กินหน่อยเถอะ”
เถียนซื่อมองลู่เจียวครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ เจียวเจียวยอมให้อภัยพี่ชายแล้ว
เถียนซื่อคิดแล้วก็ปรายตามองสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองของตนพริบตาหนึ่ง ทั้งสองรีบส่งยิ้มให้เถียนซื่อ
เถียนซื่อลุกขึ้นกลับออกมาพร้อมลู่เจียว สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองที่อยู่ด้านหลังกำลังเชยชมแฝดสี่
“เด็กๆ ละมุนละไมยิ่งนัก”
“ข้ายังไม่เคยเห็นพวกเขาเลย นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะโตขนาดนี้แล้ว”
สตรีทุกคนเกิดมาก็ชอบของสวยงาม พอเห็นแฝดสี่ ทั้งสองก็เอ็นดูจนแสดงสัญชตญาณคนเป็นแม่ออกมา
“พวกเจ้าชื่ออะไรหรือ”
แฝดสี่ไม่เคยเจอพวกนางสองคนจึงงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อได้ยินสะใภ้ใหญ่ตระกูลลู่ถาม ต้าเป่าก็ตอบกลับอย่างมีมารยาท “ข้าชื่อจริงว่าเซี่ยเหวินเหยา ชื่อเล่นต้าเป่า”
“ข้าจริงชื่อว่าเซี่ยเหวินเจีย ชื่อเล่นว่าเอ้อร์เป่า”
“ข้าจริงชื่อว่าเซี่ยเหวินเซ่า ชื่อเล่นว่าซานเป่า”
“ข้าจริงชื่อว่าเซี่ยเหวินอวี่ ชื่อเล่นว่าซื่อเป่า”
แฝดสี่เพิ่งจะแนะนำตัวเสร็จ ลู่เจียวก็เดินเข้ามาบอกพวกเขาว่า “นี่คือป้าสะใภ้ใหญ่และป้าสะใภ้รอง พวกเจ้าทักทายผู้ใหญ่เร็ว”
พอแฝดสี่รู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร จึงทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“ป้าสะใภ้ใหญ่ ป้าสะใภ้รอง”
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองแห่งตระกูลลู่พยักหน้าไม่หยุด ชอบใจจนยิ้มไม่หุบ จากนั้นก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้เอาของขวัญอะไรมาฝากหลานๆ เลย
ทั้งสองรู้สึกประดักประเดิดทันที ภายในใจลอบต่อว่าสามี อย่างน้อยก็ควรเดินทางตอนเช้าไม่ใช่หรือ ลากพวกเราออกมากลางดึกอย่างนี้ ไม่ทันได้เตรียมของขวัญของฝากมาให้เด็กๆ แล้วทีนี้จะทำอย่างไร
ลู่เจียวมองพวกนางแล้วหันมาหาแฝดสี่ “ครั้งนี้ป้าสะใภ้ใหญ่และป้าสะใภ้รองรีบร้อนจึงไม่ได้เอาของขวัญมาด้วย ครั้งหน้าค่อยให้พวกเจ้าแล้วกัน”
แฝดสี่พลันขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง “ขอบคุณป้าสะใภ้ทั้งสองแล้ว”
สะใภ้ทั้งสองต่างประทับใจในความรู้เดียงสาของสี่แฝด ในใจก็อุทานว่า โอ้สวรรค์ ช่างรู้ความโดยแท้
สะใภ้รองมีลูกสาวเพียงคนเดียวนามว่าเถาจื่อ ปีนี้เพิ่งจะสองขวบ ยังพูดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนสะใภ้ใหญ่มีลูกชายคนเดียวนามว่าหู่จื่อ เทียบไม่ได้กับแฝดสี่แม้แต่น้อย เจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจหน่อยก็กลิ้งโวยวายบนพื้น
สะใภ้ใหญ่ครุ่นคิดในใจอย่างจริงจัง ถ้าครั้งหน้าลูกชายยังกลิ้งโวยวายบนพื้น นางจะถลกหนังเขาเสียเลย
ในขณะที่คนด้านนอกพูดคุยกัน ลู่อัน ลู่ผิงและลู่กุ้ยก็ออกมาจากเรือนตะวันออก
ตอนที่ทั้งสามเผชิญหน้ากับเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รู้สึกค่อนข้างกดดันและวางตัวไม่ถูกอย่างยิ่ง พวกเขาเป็นคนหยาบ น้องเขยกลับเป็นถึงซิ่วไฉ คำพูดที่เอ่ยออกจากปาก บางครั้งก็อาจจะไร้มารยาทเกินไป ฉะนั้นจึงไม่อยากอยู่กับน้องเขยนานเกินไป
ลู่ผิงและลู่อันเพิ่งเดินออกมา ลู่เจียวก็บอกแฝดสี่ “นี่คือลุงใหญ่และลุงรอง ส่วนน้าเล็กพวกเจ้าก็รู้จักแล้ว ยังไม่ทักทายลุงๆ อีก”
แฝดสี่ขานเรียกอย่างพร้อมเพรียง “ลุงใหญ่ ลุงรอง”
ลู่ผิงและลู่อันก็สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง พวกเขาไม่ได้เตรียมของขวัญใดๆ มาให้หลานเลย สวรรค์ ช่างน่าอับอายขายหน้า ครั้งแรกที่เจอหลานกลับไม่เตรียมอะไรให้พวกเขาเลย น่าอายเหลือเกิน
ลู่อันที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวพลันพูดขึ้นทันที “วันนี้ลุงลืมเอาของขวัญมาให้พวกเจ้า ไว้ค่อยให้ครั้งหน้าแล้วกัน”
ต้าเป่าส่ายหัว “ท่านลุงไม่ต้องให้ของขวัญพวกเราหรอก แค่มาเยี่ยมพวกเราก็พอแล้ว”
คราวนี้พวกเขารู้สึกว่าแฝดสี่เป็นเด็กรู้ความจริงๆ
ลู่เจียวเห็นว่าเถียนซื่อต้มบะหมี่ใกล้เสร็จแล้วจึงพูดว่า “เอาเถอะ พวกเจ้าออกไปเล่นได้แล้ว ให้พวกลุงๆ ป้าๆ กินมื้อเช้ากันก่อน”
แฝดสี่กินข้าวเช้าแล้ว ได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็ไถลตัวลงจากเก้าอี้วิ่งไปข้างนอกเพื่อฝึกซ้อมวิชาป้องกันตัว
ภายในเรือน สะใภ้ทั้งสองต่างมองลู่เจียวแล้วพูดอย่างอิจฉา “น้องสาว ลูกของเจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังมาก เจ้าสอนอย่างไรหรือ”
สะใภ้ใหญ่ถึงขั้นบ่นถึงบุตรชายตัวเอง “หู่จื่อห้าขวบ ยังโตกว่าพวกเขาอีก แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ดีเท่าพวกเขาเลย”
ลู่เจียวพูดยิ้มๆ “ตอนเขากลิ้งโวยวายเอาแต่ใจก็อย่าไปสนใจ พอเขาเห็นว่าไม่มีคนสนใจก็จะลุกขึ้นมาเอง เด็กๆ พวกนี้รู้จักคิด เจ้าอย่านึกว่าเขาเป็นแค่เด็กึงตามใจไปเสียทุกเรื่อง เช่นนี้จะดับอนาคตของเขา”
สะใภ้ใหญ่ครุ่นคิด ถูกของนาง วันหลังจะไม่สนใจเขาอีก
ภายในเรือน ลู่กุ้ยเห็นลู่เจียวพูดคุยเล่นกับพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รอง จึงพาพี่ชายสองคนออกไปนอนเล่นที่เรือนตะวันตก แล้วพูดถึงเรื่องที่ลู่เจียวจะสอนเถียนซื่อทำเต้าหู้ให้พี่ชายสองคนฟัง
พวกเขาตกตะลึงทันที โดยเฉพาะเรื่องที่ลู่เจียวบอกกับท่านแม่ว่าหากพวกเขาเอาไปขายได้ก็ให้เงินพวกเขาด้วย พอย้อนคิดถึงเรื่องเงินห้าตำลึงที่พวกเขาทำเป็นเรื่องใหญ่ ก็โทษตัวเองขึ้มาทันที
ตอนที่ลู่เจียวตามพวกเขามากินมื้อเช้า ทั้งสองถึงกับน้ำตาคลอ
สะใภ้รองและสะใภ้ใหญ่มองพวกเขาอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรไป ตาถึงแดงขนาดนี้”
ลู่ผิงมองภรรยา “น้องสาวจะสอนท่านแม่ทำเต้าหู้ แล้วยังให้ท่านแม่ให้เงินพวกเรา ถ้าพวกเราช่วยเอาไปขาย”
สะใภ้ทั้งสองต่างตะลึงงัน “ทำเต้าหู้? ยังให้เงินพวกเรา? นี่มัน?”
ทั้งสองเสียใจภายหลังทันที ก่อนหน้านี้ไม่ควรทำแบบนั้นเลย
ลู่เจียวให้ลู่กุ้ยไปยืมโม่จากซย่าซื่อบ้านข้างๆ มาตั้งตรงในลานบ้าน
พอยืมโม่มาแล้ว นางก็เอาถั่วที่ให้ลู่กุ้ยแช่เมื่อคืนออกมา แล้วเอาไม้ไผ่มาทำเป็นกล่องอัดเต้าหู้อย่างง่าย
เมื่อคั้นน้ำจากถั่วแล้วก็เอาน้ำเต้าหู้ไปต้มในหม้อ ต้มเสร็จก็ตักออกมาคลายร้อนสักพัก