ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 783 พบกัน
ตอนที่ 783 พบกัน
ในห้องโถง ลู่เจียวไม่ได้รีบร้อนถามเอ้อร์เป่าเรื่องคุณหนูเกิ่ง แต่ถามเรื่องอื่นเช่นเรื่องความเป็นอยู่ของเขาในค่ายทหารซีหนาน แม้ว่าเอ้อร์เป่าสุขุมขึ้นมากแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นหนุ่มอายุสิบห้า พอได้ยินท่านแม่ถาม ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ายทหารซีหนานสองปีมานี้อย่างตื่นเต้น
“ปีก่อนข้าได้เป็นหัวหน้ากอง คนพวกนั้นไม่ยอมรับ เจ็ดคนมาท้าประลองข้า ปรากฏถูกข้าจัดการจนลุกไม่ขึ้น ต่อมาพวกเขาจึงไม่ได้กล่าวอันใดอีก”
“ข้าเป็นคนที่มุ่งจะเป็นแม่ทัพ จะสู้พลทหารไม่ได้หรือ”
เอ้อร์เป่าเล่าด้วยรอยยิ้มกระจ่าง เล่าจบเขาก็คิดถึงซื่อเป่า ร้อนใจถามว่า “ท่านแม่ เหตุใดซื่อเป่าอยู่ๆ จึงไม่ใช่น้องชายข้าแล้ว ไปเป็นองค์ชายรองอันใดนั่น เขาไม่ใช่น้องชายฝาแฝดข้าหรือ”
เอ้อร์เป่าเหมือนยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ เห็นอยู่ว่าเป็นน้องชายที่เติบโตมาด้วยกัน เหตุใดจึงต้องเข้าวังไปเป็นองค์ชายรอง
ลู่เจียวถอนหายใจกล่าวว่า “เป็นความจริง นี่เป็นเรื่องที่ท่านพ่อเจ้าเป็นคนทำ ส่งซื่อเป่ามาเป็นบุตรชาย แม่อีกคน แม่เองก็คิดว่าซื่อเป่าเป็นบุตรชายแม่ จนกระทั่งท่านพ่อเจ้าสอบจ้วงหยวนได้ จึงได้บอกความจริงเรื่องนี้กับแม่”
“แต่ก่อนหน้านี้ท่านพ่อเจ้าไม่รู้ว่าว่าบิดาซื่อเป่าเป็นองค์ชายแคว้นต้าโจว เขาจึงได้อุ้มซื่อเป่ากลับมา เลี้ยงดูดังบุตรชายตนเอง ปรากฏซื่อเป่ากลับเป็นโอรสฮ่องเต้”
เอ้อร์เป่าขมวดคิ้วแน่น “ท่านแม่ วันหน้าเขาจะเป็นน้องชายข้าหรือไม่”
ลู่เจียวยื่นมือไปกุมมือเอ้อร์เป่า พยักหน้ามั่นใจ “เป็น แม้เขาเข้าวังเป็นองค์ชายรอง เขาก็ยังเป็นบุตรชายที่ท่านพ่อกับท่านแม่เลี้ยงดูมา เป็นน้องชายพวกเจ้า ดังนั้นไม่ว่าเมื่อใด พวกเจ้าต้องจดจำไว้ว่าเขาก็คือน้องชายพวกเจ้า พวกเจ้าต้องช่วยเหลือเขา”
เอ้อร์เป่าได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็พยักหน้า “ท่านแม่ ข้าทราบแล้ว”
ลู่เจียวไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก แต่หันไปเอ่ยอย่างไม่จริงจังนักว่า “หญิงที่ตามเจ้ากลับมาเป็นคุณหนูเกิ่งหรือ เจ้ามีใจต่อนางหรือ เจ้าชอบนางหรือ”
พอลู่เจียวกล่าว เอ้อร์เป่าก็ลูบศีรษะท่าทางเก้กัง ส่ายหน้ากล่าวว่า “ความจริงก็ไม่อาจเรียกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ เป็นความต้องการของแม่ทัพเกิ่ง เขาถามข้า ให้ข้าเขียนจดหมายมาถามท่านพ่อกับท่านแม่”
ลู่เจียวได้ฟังก็เลิกคิ้วถามว่า “เช่นนั้นพวกเรายังไม่เห็นด้วย เหตุใดเจ้าจึงได้เข้าไปใกล้ชิดกับนางแล้ว”
พูดถึงเรื่องนี้ เอ้อร์เป่าก็เหมือนถูกใส่ความ “ท่านแม่ เริ่มแรกนางแต่งกายเป็นหญิงปลอมตัวมาเป็นพลทหาร ปะปนมาอยู่กองข้า ข้าไม่รู้ว่านางเป็นหญิง ไม่รู้ว่านางเป็นหลานสาวแม่ทัพเกิ่ง ต่อมาจึงได้รู้”
ลู่เจียวได้ฟังเอ้อร์เป่าก็เริ่มไม่พอใจ พวกนางยังไม่ทันเห็นด้วย ตระกูลเกิ่งก็ทำเช่นนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง
ลู่เจียวมองเอ้อร์เป่าถามว่า “เจ้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้หรือไม่”
เอ้อร์เป่าเห็นสีหน้าลู่เจียวเคร่งขรึมก็ร้อนใจขึ้นมาทันที เขานั่งตัวตรง กล่าวว่า “ข้าฟังคำท่านพ่อกับท่านแม่ หากท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เห็นด้วย ข้าก็ไม่แต่ง”
ลู่เจียวได้ฟังเขาก็ทั้งโมโหและนึกขำ ถามว่า “ข้าถามเจ้า เจ้าชอบไม่ชอบนาง มาสนใจท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เห็นด้วยอันใดกัน เจ้าเองต้องการแต่งหรือไม่”
เอ้อร์เป่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ค่อยอยากแต่งภรรยา ข้าคิดแต่งสร้างความชอบเป็นแม่ทัพ แต่แม่ทัพเกิ่งอยากให้ข้าแต่งกับหลานสาวเขา ข้าอยู่กองทัพเขาไม่อาจปฏิเสธได้”
เอ้อร์เป่าเล่าจบ ลู่เจียวก็แค่นหัวเราะ “หากเจ้าไม่อยากแต่งหรือว่าตระกูลเกิ่งจะบังคับให้เจ้าแต่งได้ แม้รากฐานตระกูลเซี่ยจะไม่ได้สูงส่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องหวั่นเกรงเขา นับประสาอันใดกับกองทัพแคว้นต้าโจวมีมากมาย เจ้าก็ใช่ว่าต้องอยู่ค่ายทหารซีหนาน ตอนนั้นให้เจ้าไปค่ายทหารซีหนาน ก็เพราะห่างจากเมืองหนิงโจวไม่ไกล เจ้าคิดถึงบ้านก็จะได้กลับมาอยู่ได้ ตอนนี้เจ้าโตแล้ว ไปประจำค่ายอื่นได้แล้ว ไม่มีปัญหา”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ เอ้อร์เป่าก็รีบกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะไปค่ายซีเป่ย”
ค่ายซีเป่ยเป็นประตูใหญ่สู่ทางเหนือของแคว้นต้าโจว เป็นพื้นที่ที่มักต้องปะทะกับพวกชนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนอยู่เสมอ หากเขาไปซีเป่ย ก็จะได้สร้างความดีความชอบได้เร็ว
ลู่เจียวคิดไม่ถึงว่าเอ้อร์เป่าจะคิดแต่จะไปซีเป่ยเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาไม่ต้องเปลืองแรงเกลี้ยกล่อมแล้ว
“ได้ พวกเราส่งเจ้าไปค่ายทหารขุนพลหวัง”
“แล้วทางตระกูลเกิ่ง?”
“ข้าจะให้ท่านพ่อเจ้าเขียนจดหมายไป ส่วนหญิงสาวตระกูลเกิ่ง อีกสักครู่ข้าจะให้คนส่งนางกลับไป”
ลู่เจียวนึกปวดหัว นางควรบอกตระกูลเกิ่งอย่างไรดี หญิงสาวย่อมชื่อเสียงด่างพร้อยเพราะติดตามบุตรชายพวกเขากลับมาเมืองหลวง จะปล่อยให้แพร่ออกไปได้หรือ
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้ว แววตาพลันส่องประกาย มองเอ้อร์เป่ากล่าวว่า “เอ้อร์เป่า เจ้ายังจำจ้าวอวี้หลัวได้หรือไม่”
เอ้อร์เป่ารีบยิ้มรับคำ “จำได้ นางเป็นเด็กน้อยเสียสติ”
ลู่เจียวไม่พอใจถลึงตาใส่เขาทีหนี่ง “ตอนนี้นางเป็นกุลสตรีแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กน้อยเสียสติดังเช่นเมื่อก่อนแล้ว เจ้าอย่าได้ใช้สายตาดังเช่นเมื่อก่อนมองนาง”
สีหน้าเอ้อร์เป่าไม่อยากจะเชื่อ ลู่เจียวมองเอ้อร์เป่ากล่าวว่า “เจ้าต้องการพบนางสักครั้งไหม”
การพบกันครั้งนี้ก็จะได้เป็นจุดสิ้นสุดของทั้งสองคน หากเอ้อร์เป่ายังคงไม่ได้สนใจจ้าวอวี้หลัว ก็จะกล่อมให้จ้าวอวี้หลัวออกเรือน
แม้ว่าจ้าวอวี้หลัวเอาแต่ยืนยันว่านางเพียงแค่ไม่เห็นคนที่อยากแต่งด้วย ไม่ได้รอเอ้อร์เป่า แต่ลู่เจียวรู้ว่าเรื่องนี้ยังเป็นปมในใจนาง
หากเอ้อร์เป่ายังคงไม่ชอบจ้าวอวี้หลัว นางก็จะต้องปล่อยวางแล้ว
เอ้อร์เป่าได้ฟังก็ลังเลถามว่า “จะไม่ดีหรือไม่ นางควรหมั้นหมายแล้ว”
หญิงอายุสิบสามสิบสี่หมั้นหมาย จ้าวอวี้หลัวปีนี้สิบหกแล้ว ตามหลักควรหมั้นหมายแล้ว เขาพบกับนางน่าจะไม่ค่อยดีนัก
ลู่เจียวสีหน้านิ่งเรียบกล่าวว่า “นางยังไม่ได้หมั้นหมาย”
เอ้อร์เป่าพลันคิดถึงว่าตอนเด็กที่จ้าวอวี้หลัวเอาแต่ไล่ตามเขา บอกว่าเป็นคู่หมายเขา นางคงไม่ได้โตขนาดนี้แล้วยังรอเขากระมัง เช่นนั้นก็เป็นบาปกรรมของเขาเสียจริง
เอ้อร์เป่าพึมพำกล่าวว่า “นางคงไม่ได้ ไม่ได้กำลังรอ…”
“นางบอกว่าเปล่า แต่ข้ารู้ว่านางคิดหาทางแก้ปมในใจที่ผ่านมา พวกเจ้าทั้งสองคนพบกันสักครั้ง หากเจ้ายังคงไม่ชอบก็บอกกับนางให้นางออกเรือน ข้าเชื่อว่านางจะปล่อยวางเจ้าลงได้จริงๆ”
นี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ลู่เจียวให้เอ้อร์เป่ากลับมา จ้าวอวี้หลัวอายุไม่น้อยแล้ว หากเอ้อร์เป่ายังคงไม่คิดสนใจนาง ก็ให้นางตัดใจออกเรือนไปเสียดีกว่า
เอ้อร์เป่ารับปาก “ตกลง”
“พรุ่งนี้แม่จะเชิญพวกนางมาเป็นแขกที่จวน เจ้าพบกับจ้าวอวี้หลัวสักครั้ง”
“ได้”
วันรุ่งขึ้นลู่เจียวไม่เพียงแต่เชิญเถียนฮวนกับจ้าวอวี้หลัว ยังเชิญเนี่ยอวี้เหยากับหูหลิงเสวี่ยและจู้เป่าจู
ต้าเป่ารู้ว่าเอ้อร์เป่ากลับมาก็กลับมาจากสำนักศึกษาไป่ลู่
หนุ่มสาวไปคุยกัน
แม้เรื่องต้าเป่ากับหูหลิงเสวี่ยไม่ได้ตกลงชัดเจน แต่ใจทั้งสองคนตรงกัน ทุกครั้งที่ได้พบกัน ในใจก็หวานล้ำ ต้าเป่ามักมอบของขวัญให้หูหลิงเสวี่ย ยังแนะนำการเขียนบทความของหูหลิงเสวี่ย สองคนอยู่ด้วยกันแล้วมีเรื่องคุยกันมากมาย
หูหลิงเสวี่ยซาบซึ้งใจลู่เจียวอย่างมากที่ส่งเสริมนาง นางพบว่าผู้หญิงเมื่อกลายเป็นคนยอดเยี่ยมแล้ว จิตใจก็กว้างไกลต่างจากเมื่อก่อน มองโลกก็กว้างขึ้น